ญา ทิวาราช

พักใจกับศาลาริมทาง 2

Rate this Entry
พักใจกับศาลาริมทาง ตอน รักเหนือรัก


ไม่มีใครรักจะเป็นทุกข์
แต่ทุกข์อันใดเล่าจะเท่ารัก


หากมีวาสนาเก่ากับความเพียรใหม่ กระทั่งได้พบและสามารถเลี้ยงดูรักแท้ ก็คงเป็นแรงบันดาลให้พวกคุณเต็มใจเกิดตายไปเรื่อยๆ เพื่อรักษาความเป็นอมตะแห่งรักแท้เอาไว้

แต่ ความจริงก็คือการเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่นี้ หาใช่มีแต่รักแท้ให้คุณชื่นชม รักแท้เป็นเพียงเหยื่อล่อให้เวียนวนอยู่ในมหาสมุทรแห่งทุกข์ พบทุกข์นานาเสีย ๙๙ ส่วน จึงพบสุขล่อใจจากความรักสัก ๑ ส่วน แต่ เพียงหนึ่งในร้อยส่วนนั้น มีพลังมากพอจะทำให้คุณยอมทนแล้ว กับการแบกรับความลำบากทางกาย ความโทมนัสทางใจ ความมีใจแห้งเหี่ยว ความคร่ำครวญ ความคับแค้น ความไม่ได้อย่างใจ ความจำใจประสบสิ่งไม่น่าพิสมัย และความจำจากพลัดพรากสิ่งที่รัก…

ข้อหลังนี้แหละสาหัสที่สุด โหดร้ายที่สุด เพราะไม่ว่าจากเป็นหรือจากตาย อย่างไรก็ต้องจากกัน!

บทนี้จะชวนคุณหาวิธีรักอีกแบบหนึ่ง ที่เหนือขึ้นไปกว่ารักด้วยกิเลส เพื่อให้คุณได้ทางเลือกครบสมบูรณ์ คือเห็นว่ามีการ ‘จากกัน’ อีกแบบหนึ่ง ที่เปรียบเสมือนน้ำหลากสายไหลไปรวมในมหาสมุทรเดียว และไม่ต้องจากกันอีกเลยตลอดอนันตกาล

คุณอยู่กับความไม่รู้
มากกว่าอยู่กับคนรัก


รู้ไหมคนรักเป็นอะไรให้คุณได้บ้าง?

ถ้ามองมุมกว้างครอบจักรวาลอย่างที่สุดตามพระพุทธเจ้า พวกเรากำลังหลงติดว่ายวนอยู่ในการเกิดตาย

เกิดด้วยความลืมอดีต

ตายอย่างไม่มีทางเลือกอื่นมากไปกว่าถูกกรรมเหวี่ยงไปเกิดใหม่

ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์

กายใจต่างๆ ล่อให้หลงนึกว่ามีเราเกิดมา นึกว่ามีเราตายไป นึกว่าเราได้คนรักมา นึกว่าเราเสียคนรักไป โดยย่นย่อ กายใจนี่เองคือทุกข์ทั้งแท่ง!

เช่นนี้แล้ว สิ่งใดที่เป็นเหยื่อล่ออันดับหนึ่งให้หลงติดอยู่กับความไม่รู้ว่ากายใจเป็นทุกข์ สิ่งนั้นก็คือมหันตภัยที่ใหญ่กว่าอะไรทั้งหมด!

แล้วคนรักของคุณ ชวนให้หลงนึกว่ากายใจเป็นของดี หรือเห็นตามจริงว่ากายใจเป็นทุกข์เล่า?

คน ที่คุณรักและรักคุณอย่างที่สุด คือบุคคลน่าปรารถนาสูงสุดเมื่อเทียบกับบุคคลอื่นๆในโลก แต่ขณะเดียวกันก็คือกับดักที่ทำให้คุณดิ้นไม่หลุดด้วยเช่นกัน!

ถ้า มองอย่างรู้จักแค่การมีชีวิตเดียว คนรักคือคนที่น่ารักที่สุด แต่ถ้ามองอย่างคนกำลังศึกษาว่าชีวิตคือส่วนหนึ่งในปฏิกิริยาลูกโซ่แห่งทุกข์ คนรักคือกับดักที่แกะยากที่สุด!

เมื่อพบรักแท้ คุณจะรู้สึกว่าความรักเป็นสิ่งน่าฝากใจ คือความปลอดภัยไร้กังวล และไม่ชวนให้คิดแสวงหาความสุขอื่นที่เหนือกว่า ความหลงนึกว่ารักแท้คือที่สุดแห่งสุขนั่นแหละ สัญญาณบอกว่าคุณติดกับเข้าแล้วอย่างจัง

ที่ แท้แล้ว แม้แต่คนรักเองก็อาจพลิกผันเป็นทุกข์ หรือกระทั่งเป็นภัยต่อคุณได้ทุกเมื่อ ด้วยความที่ต่างฝ่ายต่างก็เชื่อกิเลสที่ขับดันให้งับเหยื่อล่อเฉพาะหน้า มากกว่าอย่างอื่น อยากลองรสใหม่ก็ไปมีชู้ โกรธขึ้งก็ตึงตังทุบตีกัน ไม่มีรักแท้ของใครดลใจให้คู่รักมีสติและรู้จริงอยู่เสมอ อย่างไรก็ต้องเผลอทำตามอำนาจกิเลสวันยังค่ำ

ถ้า คุณเคยหลงทำบุญใหญ่กับเขาหรือเธอ แม้ทะเลาะเบาะแว้งถึงขั้นอยากฆ่ากัน สุดท้ายบุญเก่าก็บันดาลให้รู้สึกว่าทิ้งกันไม่ลงอยู่ดี อย่างนี้พอจะทำให้คุณรู้สึกถึงความเป็นกับดักได้ชัดขึ้นไหม?

แล้ว การทำบุญร่วมกันก็ไม่ได้จำกัดว่าต้องทำกับคนเดียวนะครับ เจอกี่คนคุณก็ทำด้วยหมดนั่นแหละ จะมากหรือน้อยเท่านั้น ซึ่งมันก็เป็นไปได้ที่จะอธิษฐานมั่ว ขอสองเราจงติดตามกันไปจนชั่วฟ้าดินดับ เกิดเท่าไรเจอเท่านั้น ถ้าชาติไหนเจอคู่สัญญาเก่าเข้ามาทวงพร้อมกัน คุณก็ต้องเป็นทุกข์ล่ะว่าจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับใครดี ชาตินั้นๆจะกลายเป็นสนาม ‘แข่งบุญเก่า’ กันโดยไม่มีผู้เข้าแข่งขันรายใดรู้ตัว

ถ้า สักชาติหนึ่งคุณเคยเป็นชายวาสนาน้อย หาผู้หญิงมาชอบไม่ได้ แล้วเกิดเลื่อมใสในการทำบุญ ตลอดชีวิตทำบุญด้วยเจตนาขอมีสาวเยอะๆไปทุกชาติ ผลของบุญจะทำให้เกิดใหม่เตะตาเตะใจสาว ต่อให้ไม่หล่อ ก็มีกลิ่นกายในแบบยั่วสาวให้เกิดอารมณ์ได้ หรือมีเสน่ห์ลึกลับอันยากจะอธิบาย เอาเป็นว่าดึงดูดสาวได้มากมายเหมือนขุนแผน ซึ่งก็ไม่ใช่มีแต่ดีนะครับ เพราะต่อให้เบื่อหน่ายกามหลากสีสัน อยากหยุดเพื่อจริงใจกับใครสักคน ใจคุณก็จะไม่ยอมลง ด้วยความติดใจและต้องการลิ้มรสหวานของสาวหน้าใหม่ร่ำไป ซึ่งถ้าดวงไม่ดี รักจะเป็นนักดาบฟันดะไม่เลือกหน้านานเข้า ก็อาจเจอฟันกลับด้วยดาบของจริงเข้าให้สักวัน

เซ็กซ์ เป็นเรื่องคอขาดบาดตายในชีวิตคู่ ถ้าไม่ถึงใจก็ทำให้คนส่วนใหญ่หน่ายแหนง บางครั้งเหตุของความไม่ถึงใจอาจเกิดจากความไม่ต้องตากับรูปพรรณสัณฐานของคู่ ขา แต่บางครั้งก็เกิดจากการที่เคยเป็นญาติกันในชาติใกล้ ทำไปทำมารู้สึกไม่ดี เหมือนมีความสัมพันธ์ผิดๆอยู่กับพี่น้องตัวเอง หรือหนักกว่านั้นคือเหมือนพ่อแม่ลูก ต่อให้เอาไปให้จิตแพทย์วินิจฉัยอย่างไร ก็ไม่มีวันเจอต้นตอของความผิดปกติทางจิต เพราะจิตแพทย์เองก็ระลึกชาติไม่ได้เหมือนกัน

ถ้า คู่ของคุณพลาดไปทำบาปอะไรเข้า แม้คุณอยู่ดีๆ ก็ต้องพลอยได้รับผลกระทบไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ไปโกงแชร์ชาวบ้านไว้ เวลาชาวบ้านแห่มาที่บ้าน เขาก็ต้องชี้หน้าด่าคุณด้วย หาว่าผัวเมียกันอย่างไรก็ต้องรู้เห็นเป็นใจวันยังค่ำ จะมาปฏิเสธเป็นคนอื่นคนไกลไม่ได้

คุณไม่มีทาง รู้ได้เลยนะครับ ว่าคนรักของคุณเคยก่อเรื่องไว้ที่ไหนบ้าง และจะก่อเรื่องเข้าให้อีกเมื่อไร ลากให้คุณต้องพลอยฟ้าพลอยฝนรับผลกระทบเพียงใด ตอนยังไม่โดนก็อาจบอกว่าไม่กลัว ในเมื่อรักจริงเสียอย่าง แต่พอโดนขึ้นมาถ้าหนักหนาสาหัสก็ร้องโอ้กเป็นวัวถูกเชือดกันทุกราย

การ เกิดเป็นมนุษย์นั้น ไม่ได้หมายถึงความมีอิสระที่จะเลือกคู่โดยไม่มีสายตาอื่นคอยดูอยู่ เวลาคุณคิด คุณจะคิดว่าตัวเองอุตส่าห์ตั้งใจจริงกับคนรักเพียงใด แต่เวลาพ่อแม่ของคนรักมอง พวกเขาจะมองว่าคุณสามารถดูแลลูกของพวกเขาได้แค่ไหน หากไม่พอใจ คุณก็อาจอด หรือไม่ก็ต้องพาหนีให้เป็นที่รู้สึกผิด รู้สึกบาดหมางกันต่อไป

แล้ว ตอนเลือก คุณจะเลือกด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม ใช่ว่าพอแต่งแล้วเหตุผลอันนั้นจะอยู่ช่วยเป็นเสาค้ำเรือนหอให้มั่นคงคู่ฟ้า ดินเสมอไป สมมุติว่าคุณเลือกผู้หญิงคนหนึ่งเพราะเธอเป็นนางงามจักรวาล คุณก็อาจได้พบสัจธรรมหลังแต่งงาน ว่าผู้หญิงบางคนพอท้องโย้ขึ้นมาจะหน้าแก่ลงทันที และไม่กลับสาวขึ้นมาใหม่อีกเลย ถ้าบังเอิญผู้หญิงที่ว่ามาลงแจ็คพอตเอากับคุณ คุณจะได้แต่บ่นไปจนชั่วชีวิตว่าทีบางคนทำไมลูกสองแล้วยังเต่งตึงไฉไลราวกับ สาวแรกรุ่น นี่แหละ! คุณไม่มีทางรู้ล่วงหน้าว่าจะเจอแบบไหน

หาก โชคดีอยู่กันยืดถึงขั้นถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร ภาวะคู่จะไม่ใช่แค่ ‘ภาวะอะไรอย่างหนึ่ง’ แต่เป็น ‘ชีวิต’ อีกแบบที่อาศัยคนสองคนเป็นส่วนประกอบ ซึ่งจุดสุดท้ายเมื่อมัจจุราชมาริบเอาคนๆหนึ่งออกไป ก็เท่ากับ ‘ชีวิต’ แบบนั้นหายไปด้วย เมื่อชีวิตแบบนั้นไม่มีอีกแล้ว คุณจะรู้สึกเหมือนตัวเองตายตาม คล้ายหมดเรี่ยวแรง หมดกำลังจะอยู่ต่อ ที่ยังเห็นอยู่เป็นแค่ซากของอีกซีกชีวิตที่รอเวลาตรอมใจเพื่อวางวายตาม

ใน อีกทางหนึ่ง แม้สะสมความรักมาหลายสิบปี แต่ก่อนตายถ้าพลาดพลั้งไปมีความน้อยเนื้อต่ำใจ แล้วทวีขึ้นเป็นความอาฆาตแค้นก่อนจิตดับ อย่างนี้ก็ซวยเลยครับ เพราะจิตก่อนดับมีความหนักแน่นมาก สามารถเป็นหัวขบวนรถจักรฉุดลากไปสู่ภูมิต่ำหรือภูมิสูงก็ได้ หากหัวจักรนั้นสร้างขึ้นด้วยโทสะ ก็ย่อมเข้าสู่อบายภูมิอันมีความเร่าร้อนสอดคล้องกัน และเมื่อเข้าสู่อบายภูมิด้วยเหตุคือคนรัก ก็ย่อมกลายเป็นปมความรู้สึกร้ายๆต่อกัน ฝังแน่นไปอีกไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ อย่างนี้เหมือนอุตส่าห์เล่นหมากรุกดีมาทุกตา แต่ดันพลาดท่าเสียทีแค่ตาเดียวตอนใกล้จบเกม จากชนะใสๆก็กลายเป็นแพ้แบบตะลึงโลกไปได้

ยิ่ง กว่าความไม่รู้เกี่ยวกับคนรัก ยังมีใครต่อใครในชีวิตที่คุณจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นจำนวนเท่าไร พากันรอหยิบยื่นเรื่องน่าแปลกใจให้คุณไม่เว้นแต่ละวัน แต่ละคนเต็มไปด้วยเรื่องที่คุณไม่เข้าใจ ไม่รู้เห็น เช่นเดียวกับความลึกลับของแผ่นดินแผ่นฟ้า ดวงดาวและจักรวาล จนกระทั่งถึงยอดสุดของความน่าประหลาดใจ นั่นคือ…

ความมีตัวคุณ!

ธรรมชาติ โกหกหลอกลวงให้คุณเชื่อว่าทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นจากพ่อแม่ โดยบีบให้มนุษย์เห็นได้แค่นั้น กี่คนๆเกิดมาก็ด้วยวิธีออกจากท้องพ่อท้องแม่เท่านั้น ไม่เห็นจะมีกระบวนการอื่นใดก่อนหน้าเลย

ความ จริงกระบวนการปฏิสนธิมีอะไรมากกว่าสิ่งที่ตาเห็น และลึกลับเกินกว่าวิทยาการล้ำยุคอันใดจะตรวจสอบ คุณไม่ได้เป็นแค่ผลผลิตของพ่อแม่ แต่ยังเป็นทายาทรับกรรมที่ตัวตนเก่าสร้างเอาไว้ด้วย บุญจะสร้างวิญญาณระดับสูงพอจะหยั่งลงในครรภ์มารดา และนั่นก็เป็นจังหวะที่วิทยาศาสตร์รู้กันว่าอสุจิผสมกับไข่สุกได้ แต่สิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่รู้ก็คือหากปราศจากวิญญาณหยั่งลงมา ก็ไม่มีทางที่อสุจิจะผสมกับไข่ได้ตัวอ่อนขึ้นมาเลย แม้จะพยายามใช้เทคนิคมหัศจรรย์ปานไหนก็ตาม

และที่สุดของความไม่รู้ คือ ความมีตัวคุณเช่นนี้ น่าพอใจหรือน่าหน่ายแหนงกันแน่!

ข้อ สุดท้ายอันเป็นที่สุดนี้ ถ้ามีหลักเกณฑ์ชัดเจนเสียหน่อยก็คงทราบครับ แต่ถ้าวัดเอาตามความพอใจ ตามอารมณ์ และตามความไม่รู้เรื่องเงื่อนไขของการเวียนว่ายตายเกิด คนส่วนใหญ่จะบอกว่าชีวิตเป็นของน่าพอใจ นั่นก็เพราะภพมนุษย์เป็น สุคติภูมิ มีความน่าพอใจอยู่มาก แต่หากได้รู้ว่าพวกเรามีสิทธิ์ร่วงหล่นลงไปเป็นสัตว์เดรัจฉานด้วยความรู้ เท่าไม่ถึงการณ์ ความน่าพอใจของการเวียนว่ายตายเกิดจะลดระดับลงอย่างฮวบฮาบทันที!

สรุป คือการไม่รู้ว่าคนรักเป็นกับดักให้ติดอยู่ในวังวนเกิดตาย เป็นเหยื่อล่อให้แหวกว่ายอยู่ในทะเลทุกข์ เลือกไม่ได้ และไม่อยากรับรู้อะไรมากไปกว่าจะอยู่กับคนรักให้ได้ นั่นแหละที่ทำให้คุณได้ชื่อว่า ‘อยู่กับความไม่รู้มากกว่าอยู่กับคนรัก’

ผลข้างเคียงของบุญเก่าอันใหญ่โต
คือการมีความพรักพร้อม
จะทำบาปใหม่ได้หนักยิ่ง
มา เห็นกันให้ถึงกึ๋นกันตั้งแต่รากเหง้าเลยดีกว่า ความเหงาทำให้คุณอยากมีคนรัก การอยากเป็นที่สนใจของคนรักทำให้คุณอยากมีเสน่ห์ ความอยากมีเสน่ห์บีบให้คุณต้องทำบุญ เพราะแลไปมีแต่บุญเท่านั้น ที่เป็นแหล่งกำเนิดสูงสุดของเสน่ห์ทุกชนิด

ถ้า ตลอดชีวิตของคุณได้บริจาคทานอย่างสม่ำเสมอ แถมเป็นทานที่ประกอบด้วยความเลื่อมใสในการให้ พลังบุญจะบันดาลให้เกิดใหม่มีผิวพรรณงามเลิศ สวยหล่อสมกับเพศ กับทั้งมีความมั่งคั่งสมบูรณ์พูนสุขเป็นบารมีติดตัว

แล้ว ดูตามจริงเถอะครับ คนที่หล่อ สวย รวย เก่ง ครบสูตรนั้น คุณเห็นใครดีมาแต่เกิดบ้าง? ส่วนใหญ่จะหลงตัว และอาศัยคุณสมบัติล้ำเลิศที่ตนมีเพื่อการหลอกใช้คนอื่น หลงนึกว่าตนเป็นเทวดาเหนือมนุษย์ หรือไม่ก็ถางทางสู่อำนาจด้วยวิถีทางการทำเงินผิดๆกันเกือบทั้งสิ้น

ถ้า จะเพิ่มเสน่ห์อย่างชายให้มาก ก็ต้องมีความเป็นผู้นำมากๆ พอเหลิงหรือเพลินหน่อยก็พลิกจากผู้นำเป็นเผด็จการบ้าอำนาจ หรือกระทั่งติดนิสัยไปเป็นทรราชได้เลย

เห็นไหมว่าพลิกจากบุญนิดเดียว มันกลายเป็นบาปได้ง่ายๆเลย เสน่ห์และเสนียดจึงอยู่ใกล้ตัวคุณนิดเดียว คุณ ไม่มีทางคิดดีอย่างเดียว ธรรมชาติของกิเลสมันไม่เอื้อ และนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมทุกคนจึงต้องมีวันขึ้นวันลง มีดวงขึ้นดวงตก สลับกันตลอดศก

ที่กล่าวมาเป็นแค่ภาพ คร่าวของผลข้างเคียงแห่งบุญอันทำคนเดียวรับคนเดียวนะครับ เดี๋ยวจะฉายภาพคร่าวให้เห็นอีก ว่าผลข้างเคียงแห่งบุญอันเกิดจากการร่วมกันทำเป็นอย่างไร

คุณ ทำบุญร่วมกับใคร กิริยาที่ทำร่วมกันจะเป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์ให้เป็นไปตามนั้น เช่น ถ้าช่วยกันคนละไม้คนละมือ เห็นพ้องต้องกัน ไม่มีความขัดกัน ก็จะเป็นเหตุให้ปรองดอง ฟังเหตุฟังผลของอีกฝ่าย กับทั้งมีความคิดไปในทางเดียวกัน ร่วมแรงร่วมใจทำอะไรก็สำเร็จเสมอ

แต่ ในทางกลับกัน หากคุณมีโอกาสร่วมบุญกับใครบ่อยๆ แล้วติดนิสัยทำบุญกันไปทะเลาะกันไป นึกว่าไม่เป็นไร ไม่มีผล แต่ที่ไหนได้ครับ ผลบุญอาจทำให้พวกคุณได้อยู่ร่วมกันในบ้านใหญ่โต ทว่าจะเป็นบ้านที่ร้อนด้วยเสียงแห่งความขัดแย้ง หรือพวกคุณอาจอยากทำธุรกิจร่วมกัน แล้วก็ขัดแข้งขัดขากันเองจนบริษัทไปไม่รอด

ยิ่งบุญหนักเท่าไร อิทธิพลก็ยิ่งใหญ่เท่านั้น ทั้งทางบวกและทางลบ แค่ทำบุญอย่างไม่ระวัง ไม่สำรวมต่อสถานที่ ไม่เคารพสมณะ ไม่สามัคคีกับเพื่อนร่วมบุญ ล้วนแล้วแต่ให้ผลร้ายอย่างคาดไม่ถึงทั้งสิ้น

แต่ ด้วยความไม่รู้ คุณจะนึกอยู่แต่ว่าไปทำบุญคือได้บุญ และได้เหมือนเดิมเพิ่มทุกครั้ง มันไม่ใช่เลยครับ ต้องดูใจคุณเป็นครั้งๆไปด้วย หากใจเป็นบาปขณะทำบุญ บางทีจะให้ผลร้ายเสียยิ่งกว่าตอนทำบาปตามปกติเสียอีก

แล้ว ทุกชาติที่เป็นมนุษย์อันครึ่งรู้ครึ่งหลงนี่นะครับ ส่วนใหญ่ถ้าเชื่อจะเชื่อเรื่องบุญ แต่ไม่เชื่อเรื่องบาป ฉากหน้าบางคนดูธรรมะธัมโมมาก แต่เบื้องหลังเต็มไปด้วยความเน่าในอย่างน่าตะลึงอึ้ง เพราะพวกนี้ผูกใจอยู่แต่ว่าฉันทำดี ฉันทำบุญใหญ่ อย่างไรก็ต้องขึ้นสวรรค์ ไม่รู้เลยว่าบาปที่ก่อมีน้ำหนักขนาดไหนแล้ว

ถ้า บาปเสมอกันกับบุญ ก็กลับมาอยู่ในโลกมนุษย์แบบครึ่งหนึ่งทุกข์หนัก อีกครึ่งหนึ่งสุขมาก แต่ถ้าบาปมีกำลังเกินบุญก็จบเลย เหมือนตุ้มถ่วงที่ฉุดบอลลูนไม่ให้ขึ้นฟ้า แถมจะถลาลงเหวเอา

สรุป คือการทำบุญนั้นได้ผลเป็นความสุขความเจริญแน่ แต่ไม่เป็นหลักประกันเลยว่าคุณจะปลอดภัยไร้กังวลตลอดไป กลับจะยิ่งเสี่ยงกับการมีโอกาสทำบาปหนัก ในเมื่อถึงเวลารับผลบุญนั้น คุณหลงลืมไปหมดแล้วว่าได้อะไรอย่างนี้มาอย่างไร รู้แต่ว่ามีดี ก็ใช้ความมีดีนั้นทำเรื่องร้ายๆสนองตัณหาซะ

การเดินทางไปเรื่อยๆ คือการเสี่ยงไปเรื่อยๆ
การเดินทางชั่วนิรันดร์…


ฟัง ชวนฝันและก่อให้เกิดจินตนาการใช่ไหมครับ? โดยเฉพาะสำหรับคู่รักที่กำลังอยู่ในอารมณ์หวาน คำว่า ‘การเดินทางชั่วนิรันดร์’ คงทำให้นึกถึงเส้นทางสายยาวสู่หมู่ดาวไร้ที่สิ้นสุด

แต่ ขอโทษที แบบนั้นมันแค่จินตนาการระหว่างเป็นมนุษย์เท่านั้น ในความเป็นจริง การเดินทางเป็นอนันตกาลคือฝันร้ายชนิดต้องดิ้นไม่หยุดต่างหาก!

ภพมนุษย์เป็นเพียงสถานีให้ลง ‘เก็บเสบียง’ คุณจะมีสิทธิ์เป็นมนุษย์ได้อีกก็ต่อเมื่อเก็บเสบียงได้มากพอ มิ ฉะนั้นการเดินทางสู่หมู่ดาวในจินตนาการ จะแปรเป็นการเดินทางไปสู่ไฟนรก หรือไม่ก็กองขี้กองเยี่ยวของสัตว์เดรัจฉาน หรือไม่ก็ความลุ่มๆดอนๆของเปรต อันเป็นของจริงไปในทันที!

เมื่อคุณ เห็นหมูหมากาไก่กับตา ก็ขอให้ทราบเถิดว่านั่นแหละเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางท่องเที่ยวเกิดตาย พวกมันเก็บเสบียงบุญไว้ไม่พอ พอแต่เสบียงบาป เลยต้องตกต่ำไปเป็นต่างๆ ความรักความโรแมนติกแบบมนุษย์น่ะเมินเถอะ อย่างพวกหมาแมวนี่ ถึงฤดูมันก็ผสมพันธุ์กันให้เสร็จๆ ไม่มีหรอกไปดินเนอร์กลางแสงเทียน ไม่มีหรอกพิธีหมั้นหรูอลังการ ไม่มีหรอกพิธีแต่งห้อมล้อมด้วยเพื่อนฝูงน่าประทับใจ

และแม้แต่ความเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่การรับปากว่าคุณจะมีความสุข แล้วก็ไม่ได้ประกันว่าคุณจะพบกับความรักแสนหวานเสมอไป คุณจะมีความสุขกับการเป็นมนุษย์ก็ต่อเมื่อเสบียงที่เตรียมไว้นั้น มีคุณภาพสูงพอด้วย!

ที่ เกิดมาตาโหล พุงโร ก้นปอด มาแต่เด็ก วันๆเจอแต่สงครามกลางเมืองหรือสมรภูมิกลางบ้าน โตขึ้นถูกเกณฑ์ไปกดขี่ใช้แรงงานเยี่ยงทาส ไม่มีโอกาสลืมตาอ้าปากหรือหนีพ้นไปจากชีวิตเยี่ยงนั้นตลอดไป นั่นแหละครับ ตัวอย่างของการมีบุญพอจะเป็นมนุษย์ แต่คุณภาพของบุญไม่มากพอจะช่วยให้เห็นชีวิตเป็นสุขไปได้

เมื่ออัตภาพต่างๆคือการเดินทางแต่ละก้าว พวกเราก็เดินทางมาไม่รู้กี่ล้านก้าว พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้รวบรวมน้ำตาที่เคยหลั่งมาในระหว่างการเดินทางเกิดตายไม่รู้จบนี้ ยังมากกว่าน้ำในมหาสมุทรเสียอีก!

บน โลกนี้คุณเห็นมนุษย์นับพันนับหมื่นล้านเหมือนล้นโลกจะแย่ แท้จริงเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตแค่สปีชีส์หนึ่ง ยังไม่ได้นับหมู่สัตว์เดรัจฉานอีกหลายล้านสปีชีส์นะครับ แถมมีอัตภาพอื่นที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่าอีกตั้งเท่าไร พิสดารพันลึกเกินบรรยายทั้งหลายนี้ ก็จำแนกโดยกรรมขาวกรรมดำของแต่ละเผ่าพันธุ์ทั้งสิ้น

กรรมพิสดารได้แค่ไหน ผสมดีผสมร้ายได้เท่าไร อัตภาพก็พิสดารผสมดีผสมร้ายได้เท่านั้น!

การ เดินทางเวียนว่ายตายเกิดอันหาต้นหาปลายไม่ได้นี้ เราเรียกว่า ‘สังสารวัฏ’ เริ่มเค้าเงื่อนจากความไม่รู้ว่ากายใจเป็นเหยื่อล่อให้หลงยึด แล้วก่อบุญก่อบาปขึ้นจากความหลงยึดนั้น โดยมีความทะยานอยากเป็นแรงขับดันให้ทำบุญใหญ่บ้าง ก่อบาปหนักบ้าง จึงเป็นสุขบ้าง ต้องประสบทุกข์บ้าง ตามอัตภาพที่เสกขึ้นด้วยอำนาจบุญบาปนั่นเอง

กรรม เก่ามีหน้าที่วางแผนไว้หมดว่าชาติถัดมาคุณจะต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้าง วิทยาศาสตร์ระดับ DNA เริ่มเห็นมากขึ้นเรื่อยๆว่าพวกเราถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าจะเกิดมามีรูปร่างหน้าตาอย่างไร มีแนวโน้มจะเกิดอุบัติเหตุถี่บ่อยแค่ไหน และกระทั่งมีสิทธิ์ตายดีหรือตายร้ายด้วยโรคมะเร็งหรือโรคชราเมื่ออายุเท่าไร

กรรมใหม่ก็คือการโต้ตอบกับผลของกรรมเก่า คุณตัดสินใจทำอะไรไปแต่ละอย่าง ล้วนแล้วแต่เป็นตัวกำหนดเส้นทางใหม่ในอนาคตทั้งสิ้น

พระพุทธเจ้าตรัสว่าการเดินทางไปเรื่อยๆนั้น ที่จะเลี่ยงหลบนรกมิใช่วิสัย เพราะอย่างไรก็ต้องพลาดท่า ต้องหลงทำบาปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ระแคะระคายเลยว่ามีสิ่งใดเป็นผลตอบแทนของบาปนั้น

กรรมนั่นเองคือพร กรรมนั่นเองคือคำสาป
กรรม…
ทำเอง รับเอง
ไม่รู้เอง เสี่ยงเอง

สรุป แล้ว จนกว่าจะรู้วิธีหยุดเดินทาง คุณต้องเวียนวนอยู่กับหนทางแห่งพรและคำสาปจากตนเองเรื่อยไป บนความแกว่งไกวแห่งความไม่แน่นอนสารพัด!

ความรักไม่ได้อยู่ที่หัวใจ แต่อยู่ที่ใจทั้งดวง
เพราะหัวใจกว้างไม่ถึงคืบ
ขณะที่ดวงใจแผ่กว้างได้ครอบโลกเท่าความรัก
เกิด มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก พวกเราทุกคนถูกธรรมชาติฝึกให้เห็นแก่ตัว อยากได้อะไรต้องได้ ไม่ว่าจะอยากดูดนม อยากอยู่ในอ้อมอกแม่ อยากได้ของเล่น ฯลฯ คนอื่นต้องหามาให้ โดยไม่ต้องสนใจว่าใครเขาจะเหนื่อยยากขนาดไหน ไม่ต้องสนใจฟังว่าใครเขาจะอ้อนวอนให้หยุดแผดเสียงอย่างไร ฉันจะเอาของฉันเสียอย่าง ใครจะทำไม

เมื่อโต ขึ้น คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่พ้นจากแรงทะยานอยากและความเห็นแก่ตัวแบบเมื่อแรกเกิดสัก เท่าใด จะเขยิบขึ้นมานิดเดียว ก็คือความเข้าใจว่าไม่มีใครตามใจให้เราทุกอย่างเหมือนพ่อแม่เท่านั้น

ที่แน่ยิ่งกว่าอะไร คือ เราจะสนใจความอยากของตัวเองมากกว่าความทุกข์ของคนอื่นเสมอ!

รัก แท้อาจสอนให้คุณเห็นแก่ตัวน้อยลง และค่อยๆยกระดับรักให้สูงขึ้น แต่คงดีหากคิดจะยกระดับความรักด้วยตนเองโดยไม่ต้องคอยรักแท้บงการ เพราะบางครั้งรักแท้มาช้า หรือสายเกินกว่าที่คุณจะแก้ความเห็นแก่ตัวจัดเสียแล้ว

ความ รักที่สูงเหนือกว่าภาคพื้นกามารมณ์ เรียกว่าความรักแบบพรหม คือเหล่าพรหมใช้ความรักแบบนี้เป็นเครื่องกำเนิด ตลอดจนเป็นเครื่องรักษาชีวิต จิตของพวกท่านรักได้โดยไม่ต้องอาศัยกามล่อ อีกทั้งเป็นความรักไม่จำกัด ไม่เลือกหน้า ไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ เราจึงเรียกความรักแบบพรหมว่า ‘พรหมวิหาร ๔’ ซึ่งแปลตรงตัวว่า ‘เครื่องอยู่ของพรหม’

ความรักแบบพรหมจะทำให้คุณบังเกิดความเข้าใจว่า รักแท้เป็นสิ่งที่ตั้งต้นจากตัวคุณได้ ไม่ใช่ต้องรอขอความร่วมมือจากใคร

รัก แท้แบบพรหมไม่เคยตามหาตัวคุณ แต่คุณต้องไล่ล่าหามันเอาเอง และเมื่อหาเจอ คุณจะย้อนกลับมาเปรียบเทียบได้ว่ารักแบบหญิงชายอยู่ต่ำระดับกว่าเพียงใด เป็นสุขน้อยกว่ากันขนาดไหน คุณจะเห็นถนัดว่า ก็เมื่อเท้าของคนเรา จมอยู่ในโคลนตมแห่งกิเลส แล้วแสวงหาความรักกันด้วยมือที่เปื้อนโคลนตมแห่งกิเลส ความรักจะไม่เปื้อนมลทินอย่างไรได้

ต่อเมื่อมือเท้าสะอาดจากโคลนตมแห่งกิเลส นั่นเองความรักจึงอยู่ในมือได้โดยไม่เปื้อนมลทิน

รักได้โดยไม่ต้องรอความน่ารัก คือรักเหนือรัก เป็นรักในอุดมคติที่ทำได้จริง ลองมาดูเป็นข้อๆครับว่าเหล่าพรหมท่านทำกันอย่างไร

๑) มีเมตตา
เมตตา ในความรักแบบพรหม ก็คือความรู้สึกรักนั่นเอง แต่เป็นรักที่ไม่เจืออยู่ด้วยความเห็นแก่ตัว มีแต่ความปรารถนาให้ใครต่อใครเป็นสุข ซึ่งก็เป็นตรงข้ามกับความเกลียดชังหรือผูกใจพยาบาท อันเปรียบเสมือนไฟทางจิตที่ลุกโพลงตลอดวันตลอดคืน โดยมีหัวใจร้อนๆเป็นถ่านเชื้อเพลิง

เริ่มรัก แบบหญิงชาย คุณอาจถูกดึงดูดให้มา ‘ปรารถนาดีต่อกัน’ ด้วยเรื่องคาวๆ แต่ต่อมาเมื่อร่วมบุญ ร่วมกุศลทางกาย วาจา ใจ ก็อาจพัฒนาขึ้นเป็นความรู้สึกลึกซึ้งซึ่งไม่ต้องอิงกามารมณ์ ต่อให้แยกจากกัน ไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว ก็ยังอยากให้อีกฝ่ายมีความสุขเสมอ ห่วงใยอยู่เสมอ เรื่องแต่หนหลังที่แล้วมาจะแค้นเคืองเพียงใดก็ลืมได้หมด ไม่เก็บมาเป็นอารมณ์ทั้งหมด

ความเมตตาจึงเป็น เรื่องของใจล้วนๆ คุณเห็นใครมีเมตตาได้จากรังสีเยือกเย็นที่ฉายชัดจากนัยน์ตา หรือรัศมีความอบอุ่นอ่อนโยนที่แผ่ออกมาจากตัวให้รู้สึก

ใคร ที่ไปถึงความมีเมตตาอย่างใหญ่ ย่อมรู้สึกได้ถึงพื้นฐานความเป็นจิตที่หนักแน่นมั่นคง และแผ่รัศมีได้กว้างขึ้นเรื่อยๆ จึงเรียกว่า ‘แผ่เมตตา’ และเมื่อประคองไว้ในอาการเช่นนั้นได้นานเกิน ๕ นาที จิตจะเข้าสู่ภาวะตั้งมั่นเป็นสมาธิอย่างใหญ่ เหมือนหัวตัวหายไป เหลือแต่ความเบิกบาน ยิ้มแย้ม และขยายขอบเขตรอยยิ้มกว้างไกลไพศาล ปีติสุขเบิกบานเหมือนน้ำพุที่ฉีดซ่านไม่รู้อิ่มรู้เบื่อ

ความ แผ่ไปแห่งรักอย่างไม่เลือกหน้า ไม่มีประมาณชนิดนั้น เรียกว่า ‘อัปปมัญญาสมาบัติ’ คือเป็นฌาน จิตใหญ่เป็นหนึ่งเดียว ประกอบด้วยความรู้สึกรักได้โดยไม่ต้องเห็นหน้าใคร ไม่ต้องมีคน ไม่ต้องมีสัตว์มาเป็นเป้ายิงความรักใส่ จิตแผ่ไปครอบโลก ปีติสุขจึงซ่านไกลขนาดรู้สึกว่าจะเผื่อแผ่ความสุขไปถึงใครก็ได้ เป็นคนหรือสัตว์ก็ได้ เป็นเทวดาหรือสัตว์นรกก็ได้

๒) มีความกรุณา
กรุณา ในความรักแบบพรหม หมายเอาความคิดจะลงมือช่วยใครต่อใครให้พ้นทุกข์ หรือที่สุขอยู่แล้วก็อยากช่วยให้สุขยิ่งๆขึ้นจนถึงความบริบูรณ์ไม่กลับไม่ เปลี่ยน ซึ่งเป็นตรงข้ามกับความเห็นแก่ตัวและความตระหนี่ถี่เหนียว อันก่อความแห้งแล้งให้กับสังคมมนุษย์มาทุกยุคทุกสมัย

เริ่ม รักแบบหญิงชาย คุณอาจอยากได้รับความกรุณาจากอีกฝ่าย และไม่ค่อยอยากเป็นฝ่ายกรุณาเขาหรือเธอ อาจด้วยความกลัวเสียเปรียบ หรืออาจจะเห็นว่าเขาหรือเธอรักคุณมากกว่า ก็ต้องเอาใจคุณมากกว่า ทำอะไรให้คุณมากกว่า

แต่ต่อมาเมื่อร่วมบุญ ร่วมกุศลทางกาย วาจา ใจ ก็อาจพัฒนาขึ้นเป็นความอยากทำอะไรให้คนรักบ้าง อาจจะในรูปของการตอบแทน แล้วเขยิบขึ้นเป็นความหวังดี คิดริเริ่มช่วยเหลือเองโดยไม่ต้องรออีกฝ่ายทำให้ก่อน รวมทั้งไม่ได้หวังจะให้คนรักมาตอบแทนในรูปแบบเดียวกันหรือรูปแบบไหนๆด้วย

ถ้า ต่อยอดพัฒนาจากกรุณาคนรักไปเป็นกรุณาสังคมผู้ด้อยโอกาส หรือกรุณาสัตว์หน้าตาน่าสงสารทั้งหลาย ก็ย่อมไปถึงความกรุณาอย่างใหญ่ สะสมไว้เป็นสิบๆปีแล้ว จิตจะแผ่กระแสเยือกเย็นโอฬาร ราวกับเป็นปราสาทราชวังให้ผู้สัมผัสใกล้ชิดได้รู้สึก

ความ อยากช่วยเหลือไม่เลือกหน้า ไม่มีประมาณชนิดนั้น ถ้าตกถึงฌาน มีความเป็นหนึ่งเดียว ก็เรียกว่าเป็นอัปปมัญญาสมาบัติเช่นกัน แต่ทางเข้าของสมาบัติจะมีความยิ่งใหญ่กว่าการแผ่เมตตาเฉยๆ เนื่องจากพัฒนามาจากการสั่งสมบารมีลงมือช่วยจริง

๓) มีมุทิตา
มุทิตา ในความรักแบบพรหม คือการพลอยยินดีกับเรื่องดีของคนอื่น หมายถึงว่าเมื่อเห็นใครได้ดี มีสุข มีความเจริญรุ่งเรือง ประสบความสำเร็จทางโลกหรือทางธรรม ก็เกิดความแช่มชื่นโสมนัสตาม ซึ่งเป็นตรงข้ามกับความริษยา อันก่อความร้าวฉานให้กับใครต่อใครทั้งโลกมาชั่วกาลนาน

เริ่ม รักแบบหญิงชาย คุณอาจพลอยดีใจไปกับความสำเร็จหรือความเจริญก้าวหน้าของคนรัก แทบเหมือนเป็นเรื่องน่ายินดีของคุณเอง เพราะหน้าตาของคุณอยู่คู่เขา เมื่อใบหน้าของเขาใหญ่ขึ้น ใบหน้าของคุณก็พลอยใหญ่ตามไปด้วย

ทว่า พอเลิกเป็นคนรักกัน ความพลอยดีใจของคุณอาจกลับเปลี่ยนเป็นหมั่นไส้ ไม่สบอารมณ์ ไม่อยากได้ยินเรื่องดีๆที่เป็นมงคลของคนรักเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าได้ยินว่าพบคนใหม่ที่ดีกว่าคุณ ให้ความสุขได้มากกว่าที่คุณเคยให้ อันนี้อย่าว่าแต่จะพลอยยินดี แค่เอาตัวให้รอดจากการกระอักเลือดเสียก่อนก็ยากแล้ว!

ความ รักแบบพรหมจะไม่คำนึงว่าใครเคยเป็นคนรัก ใครกำลังเป็นคนชัง ขอให้เป็นคนเถอะ ขอให้เป็นสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตใดๆเถอะ ถ้าได้ดีเป็นพลอยชื่นใจด้วยได้หมด

การฝึกให้ ยินดีกับทุกคนนับเป็นเรื่องยาก เพราะความริษยาหรือความพยาบาทมักออกมาขวางหน้า ยิ่งเค้นยิ่งฝืด เหมือนจะให้เสแสร้งแกล้งยินดีที่คนรักเก่าไปได้คนใหม่ดีกว่าตนนั้น มันผิดธรรมชาติเอามาก

ทางเดียวที่คุณจะชื่นใจ ได้กับความสุขความเจริญของคนและสัตว์ไม่เลือกหน้า คือต้องคอยแผ่เมตตาและกรุณามากจนเกิดสมาธิ จิตตั้งมั่น ซ่านปีติสุขเยือกเย็นได้โดยไม่ต้องมีใบหน้าใครเป็นเครื่องเหนี่ยวนำ ทำได้อย่างนั้นธรรมชาติของใจคุณถึงจะต่างจากเดิม จิตของคุณจะพลอยยินดีกับใครต่อใครไปเองโดยไม่ต้องฝืน เพราะสิ่ง เดียวที่จิตคุณต้องการคือความสุขในรัก ไม่อยากเสียสุขในรักให้กับกิเลสคู่ปรับ อันได้แก่ความริษยาและความพยาบาทแต่อย่างใด

ความ สามารถแช่มชื่นกับผู้อื่น เมื่อสะสมให้มากอย่างไม่เลือกหน้า ไม่มีขอบเขตประมาณแล้ว ย่อมเข้าถึงอัปปมัญญาสมาบัติได้เช่นกัน เพียงมีความโสมนัสกับเรื่องดีของใคร ใจก็หน่วงเป็นอารมณ์แห่งฌานได้แล้ว

สรุป คือสิ่งที่จะรักษาความสุขไว้ได้ ก็คือความพลอยยินดี ไม่ใช่ความริษยาพยาบาท นี่เองมุทิตาจึงเป็นหนึ่งในสิ่งที่พรหมต้องมี หากยังบกพร่อง หากยังมีข้อยกเว้น ก็ยังนับเป็นพรหมไม่ได้ครับ

หมาย เหตุไว้ด้วย ว่าไม่ใช่ช่วยยินดีหรือพลอยแช่มชื่นดะไปหมด เป็นต้นว่าเห็นคนยิงชู้ดับคามือ แก้แค้นสำเร็จ เลยพลอยตบมือหัวเราะร่าไปกับเขา นั่นเท่ากับคุณร่วมยินดีในการฆ่า ซึ่งก็จะได้ส่วนแห่งบาปอันเกิดจากการฆ่า ไม่ใช่มุทิตาแบบพรหมแน่นอนครับ

๔) มีอุเบกขา
อุเบกขาในความรักแบบพรหม คือการมีใจเป็นกลางกับกรรมของคนอื่น เพราะเห็นตามจริงแล้วว่าใครทำอย่างไร ย่อมได้รับผลสอดคล้องตามนั้น

โดย ทั่วไปความรักแบบหญิงชายจะไม่สอนให้คุณเป็นกลางวางเฉย เพราะเมื่อเห็นคนรักประสบทุกข์ ก็ย่อมอยากยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ตลอดจนทำทุกอย่างเพื่อให้คนรักพ้นความผิด แม้จะต้องเป็นคนทำผิดเสียเอง

ตรง ข้าม เมื่อเห็นคนรักเก่าประสบสุข ก็จะนึกอยากแช่งให้เจอความทุกข์เสียบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณยังคงเสียอกเสียใจกับการเลิกรากัน คุณอาจถึงขนาดอยากทำตัวเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ของเขาเสียเองเลยก็ได้

อุเบกขา แบบพรหมเกิดขึ้นได้สองระดับ ระดับแรกคือการทำความเข้าใจด้วยสติปัญญาแบบนึกคิด คือสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทุกคนต่างเคยทำทั้งบุญและบาป เมื่อบุญถึงเวลาผลิดอกออกผลเต็มที่ ก็ย่อมไม่มีสิ่งใดทำให้เจ้าของบุญต้องเป็นทุกข์ เช่นเดียวกับเมื่อบาปถึงเวลาเผล็ดผลเต็มกำลัง ก็ย่อมไม่มีสิ่งใดทำให้เจ้าของบาปเป็นสุขไปได้เช่นกัน

ความ เข้าใจในระดับนึกคิดนั้น จะให้ผลเป็นความรู้สึกวางเฉยได้ก็ต่อเมื่อคิดบ่อย เห็นเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับใคร ถ้าช่วยได้ก็ช่วยด้วยความกรุณาแบบพรหม แต่หากช่วยไม่ได้ก็ต้องคิดวางอุเบกขาแบบพรหมว่าเป็นกรรมของเขาเช่นกัน

อีก ระดับหนึ่งที่เหนือกว่านั้น คือการหยั่งรู้เข้าไปในเรื่องของกรรมวิบากจริงๆ คือจิตเกิดอภิญญาอันมีสมาธิชั้นสูงเป็นบาทฐาน คือเมื่อเรียนรู้ไว้ก่อนว่าร่างกายเป็นผลของกรรมเก่า รูปร่างหน้าตาเป็นผลของกรรมเก่า เพศเป็นผลของกรรมเก่า ชะตากรรมทั้งหลายเป็นผลของกรรมเก่า ก็สามารถใช้จิตตรวจสอบดูความจริงอันเป็นเบื้องหลังกรรมทั้งหมดเหล่านั้น

เมื่อ จิตมีกำลังมากพอ ย่อมเกิดญาณหยั่งรู้ และพบว่ากรรมวิบากเป็นความจริง โดยจะเห็นเป็นเรื่องๆไป เช่น เมื่อพบว่าคนรักเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน จู่ๆมีรถบรรทุกถลาเข้าบี้บดจนยับเยินไปทั้งคัน แทนที่จะร้องไห้คร่ำครวญ ตัดพ้อต่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าทำไมไม่เห็นดูแลคนดี ผู้มีอภิญญาย่อมตรวจดูได้ด้วยตนเอง โดยหน่วงนิมิตโศกนาฏกรรมของคนรักไว้ด้วยใจ แล้วน้อมนึกว่าโศกนาฏกรรมนี้มีสิ่งใดเป็นต้นเหตุ

ด้วย ความแก่กล้าของญาณ ผู้ทรงอภิญญาก็อาจเห็นถนัดว่าคนรักเคยไปซุ่มดักฆ่าใครกลางทางเอาไว้แต่ปาง ก่อน มาชาตินี้ถึงจุดตัดของเวลาที่ต้องเสวยผลบาปนั้น จึงบันดาลให้ต้องตายอนาถกลางทาง ทั้งหมดหาใช่การกลั่นแกล้งหรือการดูดายจากภูตผีหรือเทวดาที่ไหนเลย

คุณ จะทราบด้วยญาณ ว่าปาณาติบาตหนักๆที่เคยทำไว้ มักวางแผนให้เจ้าของกรรมต้องตายด้วยอุบัติเหตุก่อนที่จะเกิดมามีเลือดเนื้อ เสียอีก ด้วยความหยั่งทราบนี้เอง คุณจึงไม่ตีโพยตีพายโวยวายกับใคร แต่จะสงสารสัตว์โลกเท่าเทียมกัน แม้แต่คนที่กำลังอยู่ดีมีสุข คุณก็จะไม่รู้สึกว่าเขา ‘เคราะห์ดี’ ไปกว่าคนที่กำลังประสบเคราะห์ร้ายแต่อย่างใดเลย

ทุกคนโชคร้ายที่ไม่รู้เรื่องกรรมวิบากเหมือนๆกันหมด!

อุเบกขา แท้จริงระดับพรหมที่อยู่เหนือมนุษย์ ใจจึงเป็นกลาง หนักแน่นยิ่งกว่าแผ่นดิน ผิดว่าตามผิด ถูกว่าตามถูก ไม่ปล่อยให้ความรักหรือความเกลียดมาครอบงำได้ จิตจึงเป็นอิสระ และพร้อมจะเข้าถึงฌาน เป็นอัปปมัญญาสมาบัติได้ทุกเวลา

สำหรับ อุเบกขาที่ฝึกได้ในชีวิตคู่นี่นะครับ เอาแค่ให้ชีวิตคู่เป็น ‘สนามฝึกดัดจิต’ ก็พอแล้ว คนเราไม่เห็นตัวเองผิด เห็นแต่ตัวมีความชอบ และเห็นแต่ความผิดของคู่ครอง แล้วบางทีรู้ทั้งรู้ว่าตัวเองผิด ก็จะดันทุรังงัดเหตุผลข้างๆคูๆมาบีบให้คนรักยอมรับว่าตนเองถูกให้จงได้

ที่ ผ่านมาเมื่อผิดแล้วไม่ว่าตามผิด ทำให้จิตบิดเบี้ยว ถึงตอนครองคู่ก็อาจอาศัยชีวิตคู่เป็นสนามฝึกดัดจิตให้ตรง โดยเริ่มจากการยอมลงให้กับเหตุผล ตอนแรกๆอัตตาจะยังหนา ไม่เอื้อให้อยากยอมรับ แต่เมื่อพิจารณามากเข้า ย้ำกับตัวเองมากเข้าว่าทำอย่างนี้เราผิดจริง หรือทำอย่างนั้นเรามีส่วนผิดด้วย เลิกคิดคำแก้ตัวต่างๆนานา ผ่านเดือนผ่านปีคุณจะกลายเป็นคนจิตตรง เห็นอะไรตามจริงอย่างเต็มตัว โดยไม่ต้องฝืนใจอีก

ยกระดับบุญ

คนรักจะนำมาให้คุณทั้งสุขทั้งทุกข์
แต่บุญจะนำมาให้คุณแต่ความสุขถ่ายเดียว


ระหว่าง ได้บุญกับได้คนรัก อันไหนดีกว่ากัน ปัญญาจะตอบว่าได้บุญดีกว่าแน่นอน เพราะเที่ยงที่บุญจะนำความสุขมาให้ ไม่ช้าก็เร็ว ส่วนคนรักนั้น ยังไม่รู้ว่าจะคุ้มดีคุ้มร้าย ให้คุณให้โทษขนาดไหน

แต่ถ้าไปถามกิเลสนะครับ ว่าระหว่างได้บุญกับได้คนรัก อันไหนดีกว่า กิเลสจะตอบทันทีว่าได้คนรักสิดีกว่า!

กิเลสน่ะ ไม่ช่วยให้คุณกลัวความทุกข์หรอกครับ มันจะขับดันให้คุณละโมบอยากเขมือบสุขท่าเดียว!

อัน นี้ต้องมาตีข้อเด่นของบุญให้โด่งขึ้นชัดๆหลายๆหน ถึงจะเปรียบเทียบได้เกิดความเข้าใจอันดีเช่น ถามว่าถ้าคุณรักและเป็นห่วงใคร อยากปกป้องใคร คุณควรทำเช่นไรจึงเป็นผลดีกับเขาหรือเธอมากที่สุด?

จากความจริงที่คุณไม่อาจตามดูแลใครให้ได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ก็เพียงพอแล้วที่จะกล่าวเต็มปากเต็มคำว่า ‘รักแท้ช่วยไม่ได้’

รักแท้ช่วยให้ใครเกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้ แต่ความละอายต่อบาปช่วยได้

รักแท้ช่วยให้ใครมั่งมีศรีสุขอย่างเป็นตัวของตัวเองไม่ได้ แต่ทานบารมีช่วยได้

รักแท้ช่วยให้ใครปราศจากภัยเวรไม่ได้ แต่ศีลบารมีช่วยได้

รักแท้ช่วยให้ใครเป็นอมตะไม่ได้ แต่การมีสติตื่นรู้สัจจะความจริงขั้นสูงสุดช่วยได้

บุญ เท่านั้นที่ตามไปเป็นสมบัติ เป็นพี่เลี้ยงดูแล เป็นบอดี้การ์ด เป็นพยาบาล เป็นผู้ช่วยสารพัด ตลอดจนเป็นผู้บันดาลความเป็นอมตะได้ กล่าวโดยรวมคือมีแต่บุญเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริงให้กับคนรักของคุณ ไม่ใช่ตัวคุณ และไม่ใช่รักแท้แต่อย่างใด!



มีเงินอย่างเดียวไม่พอ ต้องฉลาดด้วย ถึงจะคิดทำบุญได้!


บาง คนรักเมียมาก อุตส่าห์หาซื้อเครื่องช็อตไฟฟ้าให้เมียไว้ป้องกันตัว ซึ่งถ้าจวนตัวหน้าสิ่วหน้าขวานขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่รู้จะหยิบทันหรือเปล่า ไม่รู้จะใช้เป็นหรือเปล่า ไม่รู้จะโดนโจรล็อกคอก่อนหรือเปล่า หรือหนักกว่านั้นคือไม่รู้จะลืมไว้ที่บ้านหรือเปล่า

แต่ ถ้ามอบความเข้าใจในการสร้างบุญให้เมีย เธอจะมีปราการแก้วคุ้มครองตนเองตลอดไป ด้วยบุญ เธอจะไม่อยู่บนเส้นทางเจอโจร ถึงเจอก็มีเหตุให้แคล้วคลาด ถึงไม่แคล้วคลาดก็มีเหตุให้โจรใจอ่อน ถึงไม่มีเหตุให้โจรใจอ่อนเธอก็ไม่ถูกทำร้าย ถึงถูกทำร้ายเธอก็ไม่ตาย ถึงตายเธอก็ได้ไปเสวยสุขบนสวรรค์ ไม่ต้องร่วงหล่นลงต่ำด้วยเหตุคือโทสะหรือพยาบาท

เข้าใจเรื่องบุญ ก็คือเข้าใจเรื่องสร้างที่พึ่ง และความเข้าใจเรื่องบุญ ก็ใช้เงินซื้อไม่ได้!

บน เส้นทางไร้ต้นไร้ปลาย เกิดตายเป็นอนันตชาตินี้ ไม่เคยมีการสั่งสมการเรียนรู้ มีแต่การสั่งสมบุญ หมายความว่าจะเกิดกี่ล้านครั้ง ต้องทนทุกข์ทรมานกี่ล้านหน ถ้าเกิดใหม่ลืมหมด ประสบการณ์ที่ผ่านมาก็สูญเปล่า ไม่ทำให้เข็ดหลาบ ไม่ทำให้เพียรอยากหาทางหยุดเกิดตายด้วยตนเอง คุณต้องสั่งสมบุญใน ทางสายปัญญา เพราะบุญเท่านั้นที่สะสมได้ ผลักดันให้คุณเล็งหาประโยชน์สูงสุดได้ซึ่งนั่นก็คือหยุดหลงผิดคิดว่ากอง ทุกข์เป็นของดี กองทุกข์เป็นสมบัติของคุณเสียที

การทำบุญคือการขนเอาความตระหนี่ ความโลภ ความโกรธ และความหลงสำคัญผิดต่างๆออกจากตัว ถ้าทำบุญโดยหวังอะไรเข้าตัว ก็แปลว่าคุณลืมสละความโลภ บุญที่ลืมสละความโลภ ไม่ถือเป็นบุญสายปัญญา

ยก ตัวอย่างนะครับ ถ้าทำบุญอย่างคนโลภ ก็มักอธิษฐานว่าขอให้บุญนี้จงส่งแฟนมาให้ฉันเร็วๆ ซึ่งอำนาจบุญใหญ่อาจส่งมาจริงๆ แต่เป็นแฟนประเภทผ่านมาชิม ไม่ใช่เข้ามาเพื่อครองคู่อยู่ร่วมกัน เพราะจะครองคู่ให้หายเหงาไปทั้งชาตินั้น ต้องการปัจจัยเท่าบ่อน้ำ หรือทะเล หรือมหาสมุทร ไม่ใช่แค่เท่ากระป๋องนม!

แต่ ถ้าทำบุญอย่างคนฉลาด คุณจะสำรวจใจตัวเองว่ายังโลภอยากได้อะไรเกินตัวไหม ยังคิดพยาบาทมาดร้ายใครอยู่ไหม ยังหดหู่ท้อแท้ไหม ยังฟุ้งซ่านจัดไหม ยังสงสัยในกุศลผลบุญไหม เมื่อสำรวจพบว่าใจหลังทำบุญเสร็จยังคงมี มลทินอันใด ก็ขอให้ความสว่าง ความแช่มชื่นแห่งบุญ จงเป็นน้ำสะอาดล้างมลทินอย่างนั้นๆด้วยเถิด

ผู้ มีจิตสะอาดปราศจากมลทินปนเปื้อนนะครับ ต่อให้ไม่อธิษฐานขอคนรัก ก็จะเป็นที่รักของคนจำนวนมาก เพราะคนจำนวนมากเหม็นเบื่อความสกปรกของตนเองเต็มทน อยากได้น้ำดีชะล้างความหมักหมมเสียบ้าง ซึ่งถ้ากระแสของใจคุณสะอาดพอ ผู้คนก็อยากมาอาศัยอาบรดกันอยู่แล้ว

คน เราทำบุญได้ ๓ ระดับ คือ ทาน ศีล และภาวนา เรียงตามลำดับจากต่ำไปหาสูง เหมือนบันไดขั้นแรกที่พาไปหาบันไดขั้นถัดๆไป มีรายละเอียดดังนี้ครับ

๑) ทาน
ทาน คือการให้ ไม่ว่าจะเป็นการให้อาหารสัตว์ ให้ของคนยากจน ตลอดจนถวายข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตแด่สงฆ์ ล้วนเรียกว่าทานทั้งสิ้น

ที่ ชาวพุทธนิยมทำสังฆทาน เพราะเป็นทานขั้นสูงสุดสำหรับคนทั่วไปเท่าที่จะทำได้ ความจริงยังมีทานสูงกว่านั้นอีก คือการให้ธรรมเป็นทาน หมายถึงการให้ปัญญา ชี้แนะแนวทางให้ผู้อื่นเห็นถูกเห็นชอบในกรรมวิบากและทางพ้นทุกข์ แม้สังฆทานที่มีหนังสือธรรมปฏิบัติสำหรับพระ ก็จัดเป็นมหาธรรมทานได้เช่นกัน

เมื่อ ทำบุญโดยการให้ทาน สิ่งที่คุณควรอธิษฐานหวังผล และเห็นผลได้ทันใจ ได้แก่การขอให้ความท้อหายไปและกำลังใจคืนมา ความฟุ้งซ่านเบาลงและมีความเป็นสมาธิได้ง่ายขึ้น ความเคลือบแคลงในผลแห่งบุญหมดสิ้นไปและมีใจมั่นคงในการทำบุญให้ก้าวหน้า ยิ่งๆขึ้นไป

ที่ต้องหวังความก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป ก็เพราะ แม้ทานเป็นประกันว่าคุณจะมีความสุขอันเกิดจากการให้ แต่ไม่ได้ประกันว่าจิตของคุณจะสะอาดน่าสบายใจสักแค่ไหน

เพื่อประกันว่าจิตจะสะอาดน่าสบายใจ คุณต้องทำบุญขั้นกลางซึ่งเหนือกว่าการทำทาน นั่นคือการรักษาศีลครับ

๒) ศีล
ศีล คือการรักษากายและวาจามิให้เป็นที่เบียดเบียนกัน คือต่อให้ใจคิดเบียดเบียนก็ห้ามไว้ อย่าให้ถึงขั้นลงมือลงไม้ หรือกระทั่งพ่นพิษอันใดออกไปทางปาก

การรักษาศีลถือเป็นการสละความเห็นแก่ตัว เพราะ…

ไม่ฆ่าแม้ถูกยั่วยุให้ฆ่าในนามของความคับแค้น

ไม่ขโมยแม้ถูกล่อใจว่ามีสิทธิ์ขโมยโดยไม่มีใครรู้

ไม่ลักลอบเป็นชู้แม้สบโอกาสเป็นชู้ในที่ลับหูลับตาทุกคน

ไม่โกหกทั้งรู้ว่าถ้าไม่โกหกก็จะอดได้ในสิ่งที่ปรารถนา

ไม่เสพสุรายาเมาแม้การเสพสุรายาเมาคือการสนุกแบบไม่ต้องยั้งมาก

จะ เห็นว่าเหล่านี้เป็นการสละความเห็นแก่ได้ สละอาการเอาเข้าตัวทั้งนั้น เมื่อตั้งใจงดเว้นพฤติกรรมผิดๆแล้วเว้นได้สำเร็จจริง ทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้อื่น จึงควรได้ชื่อว่าเป็นผู้ลดความเห็นแก่ตัวลงแล้วอย่างแท้จริง

หาก ถือศีลได้สะอาด ชนะขาดในการต่อสู้กับสิ่งยั่วยุ คุณควรอธิษฐานหวังผลได้ทันใจ ได้แก่การขอให้ราคะผิดๆจงอ่อนกำลังลง ขอให้ความอาฆาตพยาบาททั้งหลายจงหลุดล่อนออกจากใจไปทีละน้อย และขอให้ความฟุ้งซ่านไปในเรื่องผิดทั้งหลายจงสงบระงับลง กลายเป็นผู้มีสมาธิตั้งมั่น ด้วยธรรมชาติของจิตที่ปราศจากการละเมิดศีล

เมื่อไม่ละเมิดศีล ย่อมได้ชื่อว่าละเหตุแห่งความเดือดร้อนกระวนกระวาย อย่างไรก็ตาม แม้ศีลเป็นประกันว่าคุณจะมีความสะอาดทางใจ แต่ไม่ได้ประกันว่าจิตของคุณจะหนีความทุกข์ได้พ้น

เพื่อประกันว่าคุณจะหมดทุกข์หมดโศก เป็นอิสระหายห่วงได้จริง คุณต้องทำบุญขั้นสูงซึ่งเหนือกว่าการรักษาศีล นั่นคือรู้วิธี "ทำใจ" ให้เท่าทันความจริงทั้งหลาย ที่กำลังปรากฏอยู่ทั้งภายนอกและภายใน

๓) ภาวนา
ภาวนา คือการทำสติให้เจริญขึ้น และที่ต้องทำให้เจริญขึ้นก็เพราะพวกเรากำลังหลับอยู่ทั้งลืมตา หลงสำคัญผิด ยึดมั่นผิดๆไปต่างๆนานา เช่น…

เรา หลงสำคัญไปว่ากายนี้จะเต่งตึงตลอดไป เมื่อกายเหี่ยวย่นลง ใจย่อมเหี่ยวแห้งเป็นทุกข์ตาม ต่อเมื่อเจริญสติ เห็นตามจริงว่าแม้ลมหายใจก็ต้องเปลี่ยน แม้อิริยาบถก็ต้องเปลี่ยน อะไรๆในกายต้องเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ไม่คงที่สักอย่าง เมื่อนั้นจึงคลายความหลงยึดมั่นผิดๆในกายเสียได้

เรา หลงสำคัญไปว่าความสุขเป็นสิ่งที่เกิดแล้วเกิดเลย เมื่อความสุขเปลี่ยนไปเป็นทุกข์ เราก็ยึดทุกข์แทน นึกว่ามันจะไม่หายทุกข์อีกแล้ว ต่อเมื่อเจริญสติ เห็นตามจริงเข้ามาในตัวว่าแม้สุขที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ก็มีขึ้นมีลง เดี๋ยวสุขมากบ้าง เดี๋ยวสุขน้อยบ้าง เดี๋ยวทุกข์มากบ้าง เดี๋ยวทุกข์น้อยบ้าง เห็นบ่อยเข้าก็ยอมรับความจริง คลายความหลงยึดมั่นผิดๆว่าสุขทุกข์เป็นของติดตัวติดใจตลอดไปเสียได้ ขึ้นอยู่กับจะมีสิ่งใดมากระทบเท่านั้น

เรา หลงสำคัญไปว่าความทรงจำต้องฝังอยู่ในหัวตลอดไป เมื่อนึกไม่ออก ระลึกไม่ได้ เราก็ขัดเคืองตัวเอง ต่อเมื่อเจริญสติ เห็นตามจริงว่าความทรงจำจะแม่นหรือไม่แม่น ขึ้นอยู่กับแรงประทับลงมาในใจ ถ้าแรงมากก็จำแม่น ถ้าแรงน้อยก็ลืมเร็ว แล้วก็ขึ้นอยู่กับความเสื่อมไปเป็นธรรมดาของสังขารด้วย ระบบความจำเป็นเรื่องซับซ้อนและไม่เป็นไปตามอำนาจการควบคุมของใคร เห็นบ่อยเข้าก็ยอมรับความจริง คลายความหลงยึดมั่นผิดๆว่าความจำต้องดีตลอดเสียได้

เรา หลงสำคัญไปว่าความคิดอ่านและเจตนาคือตัวเรา ต่อเมื่อเวลาผ่านไป ประสบการณ์มากขึ้น เราก็พบว่าความคิดอ่านของเราแตกต่าง เจตนาดีกลายเป็นร้าย เจตนาร้ายกลับเป็นดี พลิกผันกลับกลอกได้ตลอดเวลา ทั้งที่เราก็ไม่ได้อยากให้เป็นเช่นนั้น ต่อเมื่อเจริญสติ เห็นตามจริงว่าแม้ความรู้สึกนึกคิดในแต่ละขณะ ก็ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ต้องอาศัยปัจจัยภายนอกร่วมปรุงแต่งเป็นขณะๆ เห็นบ่อยเข้าก็ยอมรับความจริง คลายความหลงยึดมั่นผิดๆว่าความนึกคิดเป็นตัวเราเสียได้

เรา หลงสำคัญไปว่ามีจิตเป็นของเรา มีจิตของเราเป็นผู้รับรู้โลก และจิตนี้เป็นอมตะ ไม่ตายไปตามตัว ต่อเมื่อเจริญสติ เห็นตามจริงว่าแม้แต่การรับรู้ทางหูตายามตื่น หรือกระทั่งการรับรู้นิมิตฝันยามหลับ ต่างก็เป็นเพียงการรับรู้ชั่วขณะ รู้สิ่งหนึ่งแล้วหมุนเวียนเปลี่ยนไปรู้อีกสิ่งหนึ่ง เห็นบ่อยเข้าก็ยอมรับความจริงว่าจิตเกิดดับตลอดวันตลอดคืน คลายความหลงยึดมั่นผิดๆว่าจิตเป็นบุคคล หรือมีบุคคลอยู่ในจิตเสียได้

เมื่อตัดสินใจว่าจะเจริญสติไปเรื่อยๆ กับทั้งทำสติให้เจริญขึ้นได้สำเร็จจริงๆ คุณไม่ต้องอธิษฐานหวังผลใดๆ ผลก็เกิดขึ้นให้ประจักษ์ใจในปัจจุบัน

คุณจะเป็นผู้มีสติอยู่เสมอๆ ไม่ขาดสติเป็นคนเหม่อลอยหรือฟุ้งซ่านเก่งเหมือนแต่ก่อน

คุณ จะรับมือกับความทุกข์ได้เกือบทุกสถานการณ์ เพราะสติเต็มตัวจะทำให้รู้สึกกับชีวิตด้วยอีกมุมมองหนึ่ง ที่ต่างไปเป็นคนละมิติ แม้ความทุกข์ก็ถูกรู้ว่าเป็นแค่สภาวะชั่วคราว ไม่ใช่ของจริงแท้ถาวร ใจคุณจึงลดแรงดิ้นรนลง ไม่กระสับกระส่ายเกินเหตุดังเคย

คุณ จะรู้สึกถึงความเป็นเหตุเป็นผลของกายใจ ทุกสิ่งทุกอย่างมีความยุติธรรมและสมบูรณ์แบบอยู่แล้วในตัวเอง ไม่มีใครได้อะไรมาเปล่าๆ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครได้อะไรมาจริงๆ ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุที่ทำไว้ในอดีตและปัจจุบัน เมื่อต้นเหตุหมดกำลังส่ง สิ่งที่มีอยู่ก็หายไปหมด เราจะชอบหรือไม่ชอบ เสียดายหรืออยากทิ้งขว้าง อย่างไรก็ต้องถึงจุดยุติเข้าสักวัน

คุณจะพบว่าบนเส้นทางสู่ความพ้นทุกข์ จำเป็นต้องอ่านและฟังให้มาก และคุณจะรู้สึกว่ารู้มากตอนเริ่มต้น รู้น้อยลงเมื่อศึกษาลึกขึ้น แล้วที่สุดจะไม่นับว่ารู้อะไรเลย หากยังไม่รู้สึกตัวอยู่กับกายใจในบัดนี้

คุณ จะตระหนัก พบรักแท้ว่ายากแล้ว เหมือนโชคดีเหลือเกินแล้ว แต่ความจริงคือพบทางพ้นทุกข์นั้นยากกว่า และโชคดีกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้ เพราะความรักเป็นสิ่งที่เจืออยู่ด้วยความว้าวุ่น และต้องยุติลงด้วยการจากเป็นหรือจากตาย แต่ความพ้นทุกข์มีแต่ความสงบที่เต็มบริบูรณ์ กับทั้งเป็นอมตะอย่างแท้จริง ไม่มีการพรากจากอีกเลย

คุณ จะเปรียบเทียบเห็นได้ถนัดชัด ว่าความรักบังคับให้คุณต้องรอการพิพากษาจากคนที่คุณรักว่าจะเอาด้วยหรือไม่ แต่ความพ้นทุกข์มีตัวคุณคนเดียวเลือกเอง ตัดสินเอง ดุจเดียวกับการตัดสินใจเลือกว่าจะถ่มเสลดในปากทิ้งเสียทีไหม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความสมัครใจของคุณล้วนๆ

คุณ จะเล็งเห็นว่าบนเส้นทางสู่ความพ้นทุกข์ คุณไม่จำเป็นต้องง้อใครให้มาเคียงข้างเป็นกำลังใจ ขอเพียงคุณหนักแน่น สามารถเป็นกำลังใจให้ตนเอง ก็อาจเดินเดี่ยวได้ตั้งแต่ต้นจนสุดสาย

คุณ จะย้อนกลับมาเห็นว่ารักแท้เป็นเพียงอีกสิ่งหนึ่งที่ลวงโลกให้สำคัญผิด คิดว่าคุณได้ คิดว่าคุณเสีย แท้จริงคุณไม่เคยได้หรือเสียอะไร เหมือนต่อให้ฝึกฝันร่วมกันสำเร็จ ตื่นขึ้นมาพวกคุณก็จะไม่รู้สึกว่าจะจับฉวยสิ่งใดในฝันไว้เป็นสมบัติได้ โลกความจริงก็เช่นนั้น แม้นานกว่าฝัน ดูจับต้องได้มากกว่าฝัน แต่ก็ไม่ต่างจากฝัน ตรงที่มันต้องเลอะเลือนไป เสื่อมสลายหายสูญไป ก็เมื่อสิ่งใดต้องเลอะเลือนแล้วสาบสูญไป คุณควรอ้างหรือว่าครั้งหนึ่งจับคว้ามันไว้ครองได้? มันนานกว่าคว้าลมก็จริง แต่สาระแก่นสารมันต่างอะไรจากคว้าลมเล่า?

คุณ อาจระลึกชาติได้ หลังจากฝึกรู้ได้แจ่มชัดพอ จนเห็นว่ากายใจนี้ก็เป็นเพียงชาติหนึ่ง ยังมีกายใจก่อนหน้าเรียงเป็นตับ คุณจะพบว่าแต่ละกายใจเป็นเหตุผลของกันและกัน เป็นที่มาที่ไป ในแบบคลี่คลายจากชีวิตหนึ่งไปสู่อีกชีวิตหนึ่งอย่างสืบเนื่อง

คุณ จะรู้ซึ้งว่าใครที่ถูกกดขี่ข่มเหง ถูกทำทารุณ ถูกอุบัติภัยพรากคนในครอบครัวให้เหลือตัวคนเดียว ก็ไม่ได้น่าสงสารมากไปกว่าตัวคุณและคนรักเลยสักนิดเดียว เพราะคุณและคนรักก็ถูกอวิชชาลากไปลากมา ขึ้นสวรรค์ลงนรก ถูกมัจจุราชพรากไปจากเหล่าบุคคลที่รัก นับครั้งนับหนไม่ถ้วน บนเส้นทางวิบากกันดารนี้

คุณ จะเห็นเป็นภาพรวม ว่าชาติก่อนๆคุณก็สำคัญผิดเหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ วินาทีหนึ่งๆ เหมือนไม่น่าสงสัยเลยว่าตัวเองเป็นใคร แล้วก็เชื่อมั่นว่านี่เป็นตัวคุณ ต้องใช่แน่ๆ ไม่มีตัวอื่น ทั้งที่จริงมีกายใจเกิดตายสืบเนื่องกันยิ่งกว่าขบวนมดปลวก แต่ละหน้าตา แต่ละอัตภาพ แต่ละชื่อแซ่ แต่ละความรู้สึก ไม่ซ้ำแบบกันเลย คุณอาจเคยเป็นคนแบบเดียวกับที่กำลังเกลียดอยู่เดี๋ยวนี้ หรืออาจเคยเป็นสิ่งที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักหนา ทว่าอัตภาพเหล่านั้นก็สูญสลายไปหมด ถูกหลงลืมไปหมด และคลี่คลายกลายมาเป็น ‘ตัวนี้’ ที่จำอะไรเกี่ยวกับอดีตชาติไม่ได้เลย

คุณ จะเห็นว่าคู่รักเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะคู่ของคุณหรือคู่ของคนอื่น ไม่มีใครเป็นคู่ใครจริงชนิดไม่แยกจากกันตลอดไป และพวกเขาก็ตกอยู่ในวังวนแห่งความเกิดตายอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่เหมือนๆกับ คุณ กามและบุญบาปอันเคยทำร่วมกัน ดึงดูดให้มาพบกัน จะยาวนานหรือแสนสั้นก็ขึ้นอยู่กับแรงส่งเก่าและสายใยใหม่ สำคัญคือช้าเร็วต้องจากกันแน่

คุณ จะเห็นตัวเองยกระดับการรับรู้ ทราบชัดว่าจินตนาการและคลื่นความปรุงแต่งในหัวนั่นแหละคือความฝัน การมีชีวิตมนุษย์ที่คุ้มที่สุด คือโอกาสได้รู้สึกถึงลมหายใจ รู้สึกถึงกาย รู้สึกถึงจิต รู้จริงว่าเหล่านั้นไม่ใช่เรา เพราะเฝ้ามองกายใจจนเห็นว่ามันเป็นเพียงเครื่องล่อให้ยึด แท้จริงมีความไม่เที่ยง ไม่อาจทนได้ เพราะไม่ใช่ตัวตน ความรู้สึกในตัวคุณจะหายไป และกลายเป็นรสแห่งจิตอันบริสุทธิ์จากความหลงผิดไปแทน

คุณ จะเล็งเห็นว่าคู่รักที่ชักชวนกันเจริญสติ นับเป็นความโชคดีของกันและกันอย่างใหญ่หลวงที่มาพบกัน อาจจะเทียบเท่ากับพบพระอรหันต์ เพราะแม้พระอรหันต์จะสว่างประดุจแสงอาทิตย์ แต่ก็ไม่อาจช่วยดูแลเป็นแรงบันดาลใจให้พวกคุณพากันเจริญสติได้ในเวลากลางคืน ส่วนพวกคุณแม้เป็นแสงเทียน ก็ยังส่องสว่างในความมืดให้แก่กันและกันได้ตลอดเวลา



คุณค่าสูงสุดของรักแท้ คือการมีกันและกันให้สติบนเส้นทางขึ้นสูง จนกว่าจะถึงความสิ้นทุกข์ที่ยอดคือนิพพาน การพากันรักนิพพานนั่นแหละคือรักอันเหนือรักอย่างแท้จริง มีแต่ได้กับได้ เพราะแม้ยังไปไม่ถึงฝั่ง อย่างน้อยที่สุดพวกคุณก็ได้ชื่อว่ารักจะเป็นสุข มิใช่รักจะเป็นทุกข์เยี่ยงคนหลงทาง หาทางออกยังไม่เจอ.



ที่มา โดย ดังตฤณ
จาก: FW mail

__________________

ขอความสุข ความเจริญในธรรม จงมีแด่ทุกท่าน เทอญ

Submit "พักใจกับศาลาริมทาง 2" to แชร์ไปที่ Facebook Submit "พักใจกับศาลาริมทาง 2" to แชร์ไปที่ Twitter Submit "พักใจกับศาลาริมทาง 2" to แชร์ไปที่ Printerest

Comments

Trackbacks

Total Trackbacks 0
Trackback URL: