พระธาตุโพนจิกเวียงงัว (Prathart Phonejik Weang Ngao)
ประวัติพระธาตุโพนจิกเวียงงัว เพื่อการบูรณะ
เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปถึงอานิสงค์แห่งการบูรณะพระบรมธาตุเจดีย์ว่าได้กุศลสูงที่สุดยิ่งกว่าการทำอามิสบูชาใดๆ และยังให้ถึงซึ่งพระนิพพาน ดังนั้นพระโยคาวจรผู้ต้องการสำเร็จมรรคผลจึงนิยมสร้างกุศลกับ พระบรมธาตุเจดีย์ เช่น พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตบูรณะพระธาตุพนม ครูบาศรีวิชัยกับพระธาตุดอยสุเทพฯ
พระบรมธาตุเจดีย์ในปัจจุบันส่วนใหญ่ที่สร้างขึ้นมักอ้างว่าได้พระบรมธาตุจากอินเดียบ้าง ศรีลังกาบ้าง เสด็จเองบ้าง เทพนิมิตบ้าง แต่จะมีพระบรมธาตุเจดีย์ใดบ้างที่มีหลักฐานอ้างอิงที่ชัดเจน
พระธาตุโพนจิกเวียงงัวเป็นพระธาตุที่สำคัญแต่ครั้งโบราณ และได้รับการอ้างอิงถึงในคัมภีร์ อุรังธาตุนิทานที่แต่งโดยพระอรหันมหาสังขวิขชังซึ่งกล่าวถึงการสร้างพระธาตุพนม และพระธาตุบริวารไว้ พระธาตุโพนจิกเป็นพระธาตุที่ถูกกล่าวอิงถึงหนึ่งในหกแห่งดังกล่าว โดยบรรจุพระทันตธาตุไว้ ๓ องค์ เรียกว่า เขี้ยวฝาง เพราะเป็นฟันสีแดงดังฝางเสน ปัจจุบันพระธาตุโพนจิกเวียงงัวมีสภาพทรุดโทรมมาก และ ใกล้ที่จะพังทลายลงมา ทางวัดต้องใช้ไม้ค้ำเจดีย์ที่เอียงลงมา นับเป็นโอกาสอันดีที่พุทธศาสนิกชนจะได้ สร้างกุศลใหญ่บูรณะพระธาตุดังนี้
พระธาตุโพนจิกเวียงงัวเป็นพระมหาเจดีย์ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ตั้งอยู่ที่วัดพระธาตุบุ บ้านโคกป่าฝาง ตำบลปะโค อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย
คัมภีร์อุรังคธาตุนิทานบรรยายไว้ว่า ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้ากับพระอานนท์เคย เสด็จจากกรุงสาวัตถี ประเทศอินเดียมายังลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลาง เพื่อหมายดินแดนแห่งพุทธศาสนาทรง ประทับในสถานที่ต่าง ๆ ได้แก่เมืองเวียงจันทร์ เมืองโพนจิกเวียงงัว เมืองหนองคาย เมืองนครพนม เมืองศรีโคตรบอง เมืองสกลนคร เมืองอุดรธานี
เมื่อปี พ.ศ. ๘ พระมหากัสสปเถระ พร้อมด้วยพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนหัวอกนำมาประดิษฐานไว้ในอุโมงค์พระธาตุพนม
กาลต่อมา พระมหากัสสปเถระได้มอบหมายให้พระอรหันต์ ๓องค์ คือพระพุทธรักขิตพระธรรมรักขิต และพระสังฆรักขิต ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่เมืองหนองคาย ได้ตั้งสำนักพระอรหันต์สอนวิปัสสนากรรมฐาน ที่ต่าง ๆ ดังนี้ ที่โพนป่าจิกเวียงงัววัดพระธาตุบุ ที่หอผ้าหอแพเวียงจันทน์ และที่เมืองหนองคายวัดพระธาตุ
เวลาต่อมาได้ศิษย์ที่สำเร็จพระอรหันต์ ๕ องค์ ให้ฉายาว่า พระมหาสุวรรณปราสาท พระจุลสุวรรณปราสาท พระมหารัตนะ พระจุลรัตนะ และพระมหาสังขวิชัย
เมื่อพระอรหันต์ผู้เป็นพระอาจารย์ทั้ง ๓ องค์ พิจารณาเห็นว่าได้มาทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา ได้มากพอสมควรแล้วและก็ได้ศิษย์สำเร็จเป็นพระอรหันต์อีก ๕ องค์ ซึ่งจะทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา แทนตนได้ จึงได้พาพระอรหันต์ผู้เป็นศิษย์ทั้ง ๕ องค์ รวมกับพระอาจารย์เป็น ๘ องค์ เดินทางไปยังกรุงราชคฤห์ เพื่อขอพระบรมสารีริกธาตุจากพระมหากัสสปเถระ แล้วก็อัญเชิญมายังเมืองหนองคาย และได้นำ พระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานไว้ในพระอุโมงค์ ดังนี้
๑. พระธาตุส่วนหัวหน่าว จำนวน ๒๙ องค์ ประดิษฐานที่พระธาตุบังพวน
๒. พระธาตุพระบาทขวา จำนวน ๙ องค์ ประดิษฐานที่พระธาตุหล้าเมืองหนองคาย
๓. พระธาตุเขี้ยวฝาง จำนวน ๓ องค์ ประดิษฐานที่พระธาตุโพนจิกเวียงงัว
๔. พระธาตุเขี้ยวฝางจำนวน ๔ องค์ ประดิษฐานที่พระธาตุหลวงเวียงจันทน์
จะเห็นได้ว่าพระธาตุโพนจิก ฯ มีความสำคัญเทียบเท่าพระธาตุหลวงเวียงจันทน์อันเป็นยอดสักการะ และสัญลักษณ์ประจำชาติของประเทศลาว
ลุถึงปี พ.ศ. ๒๐๕๙ ๒๐๙๑ พระเจ้าโพธิสาร กษัตริย์ลานช้าง พระราชบิดา ของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชทรงสร้างพระเจดีย์ครอบพระอุโมงค์โพนจิกเวียงงัว ซึ่งมีลักษณะสัณฐานดังองค์ พระธาตุในปัจจุบันนี้
พ.ศ. ๒๕๒๕ กรมศิลปากรได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้พระธาตุโพนจิกฯ เป็นโบราณ สถานอันศักดิสิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง
ปัจจุบันพระธาตุโพนจิกฯ ทรุดโทรมมากใกล้จะพังลงมาทันที ทางด้านกรมศิลปากรก็ยัง ไม่มีงบประมาณมาบูรณะซ่อมแซม หากต้องรอเวลาอีกพระธาตุก็คงถึงคราวพังลงมาไม่ผิดกับเมื่อคราว พระธาตุพนมพังลงมาเมื่อสามสิบปีมาแล้ว
จึงถือเป็นความจำเป็นที่พุทธศาสนิกชนผู้ศรัทธาในพระบรมสารีริกธาตุต้องร่วมกันบูรณะพระธาตุอย่างเร่งด่วน เพื่อคงให้พระธาตุโพนจิกฯ อยู่สถิตสถาพรเป็นโบราณสถานที่สำคัญของพระพุทธศาสนาตลอด กาลนาน
Bookmarks