ฉันไม่ได้ฆ่าพวกเจ้าฟ้าชาย” พระนางศุภยะลัตบอกกับผู้สื่อข่าวในย่างกุ้งในการสัมภาษณ์พิเศษ
หลัง จากที่พระเจ้าธีบอสวรรคต ราชินีศุภยะลัตกลับจากอินเดียคืนสู่พม่าในปี1919 และประทับอยู่ในตำหนักที่รัฐบาลอังกฤษจัดถวายที่ถนนเชอร์ชิล(เดี๋ยวนี้ เปลี่ยนชื่อเป็นถนนโกมินโกชิน)ในเมืองย่างกุ้งจนตลอดพระชนม์ชีพ มีฝรั่งและคนพม่าทุกวงการได้ไปเข้าเฝ้าพระองค์ ในเดือนกันยายน1924 ผู้สื่อข่าวท้องถิ่นได้มีโอกาสอันหาได้ยากยิ่งที่จะได้รับพระราชทานสัมภาษณ์ นายหม่อง กา เล ผู้สื่อข่าวอาวุโสของBandoola Journal เป็นผู้เขียนรายงานบทสัมภาษณ์นี้แบบคำต่อคำ
“ ผมหมอบกราบถวายบังคมพระราชินีตามประเพณีของเรา เมื่อเห็นพระองค์เสด็จเข้ามาในห้องพักผ่อนพระอริยาบทชั้นบนของพระตำหนัก ผมรู้สึกตื้นตันเมื่อเห็นพระราชินีและเจ้าหญิงศุภพญาพระราชธิดา เจ้าหญิงทรงเป็นที่รู้จักในอีกพระนามหนึ่งว่า มัทดราสศุภพญา เนื่องจากทรงประสูติที่เมืองมัทดราสในอินเดีย ทุกวันนี้ มันเป็นการยากที่จะเห็นใบหน้าที่ดูสัตย์ซื่ออย่างที่ปรากฏบนพระพักตร์ของ ทั้งสองพระองค์
พระราชินีทอดพระเนตรมายังผมแล้วทรงถามว่ามาจากไหนล่ะ
ราชบุตรเขย เที้ยก ทิน ยี กราบทูลว่า เป็นผู้สื่อข่าวของนิตยสารบันดูลา ขอเข้าเฝ้าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
พระราชินี- เธออยากจะทราบอะไรล่ะ ถามฉันได้ทุกอย่างที่เธออยากจะทราบ
หลังจากนั้น ทรงมีรับรับสั่งให้ผมลุกขึ้นนั่งและทำตัวตามสบาย
ผู้สื่อข่าว- ทรงพระเกษมสำราญดีอยู่หรือพุทธเจ้าค่ะ....
ร- ก็สบายดี
ผ- ทรงมีพระชนมายุได้เท่าไรแล้ว
ร- ฉัน65แล้ว
ผ- ทรงได้รับเงินเดือนที่ฝรั่งทูลเกล้าฯถวายเท่าไรตอนที่ประทับอยู่ที่รัตนคีรี(พม่าเรียกยาดานาคีรี)
ร- ตอนแรกก็ 10000รูปี แล้วก็ลดมาเป็น6000
ผ- นอกจากเงินเดือนแล้ว ทรงได้รับเงินอื่นๆอีกบ้างไหม
ร- ทุกๆปี ถึงเดือนเมษายนเขาก็ให้ 5000รูปี เดือนตุลาคมอีก1500 อีกครั้งละ3000ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระราชา และศุภพญาลูกหญิงของเรา
ผ- หลังกลับมาพม่าแล้ว เขาถวายเท่าไรพุทธเจ้าค่ะ
ร- แรกๆก็ให้2500 แล้วก็มีการหักลด 500เหลือ 2000 พอภรรยาของทนายความไปบอกให้เขาฟัง เขาก็เลยเพิ่มกลับมา 500
ผ- เงินเดือนที่เขาถวายนี้ต่ำมากพุทธเจ้าค่ะ
... ร- ฉันไม่ทราบ เขาก็ให้เท่าที่เขาอยากจะให้นั่นแหละ ฉันไม่อยากจะพูดอะไรหรอก
ผ- นอกจาก2500 แล้ว เขาถวายเงินพิเศษอะไรอย่างที่เขาถวายที่รัตนคีรีหรือไม่พุทธเจ้าค่ะ
ร- ไม่มี ตอนเดือนเมษายนฉันเคยขอไป เขาก็ให้มา3000 แต่ก็ไปตัดเงินเดือนๆนั้นออก 250 ตอนฉันทำบุญงานเผาศพท่าน มยา ทอง สยาดอ (พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์สูง) ไป 1000 ฉันก็ต้องไปขอยืมจากเถ้าแก่เนี้ยมา นี่ฉันก็ยังผ่อนชำระหนี้อยู่เลย
หลังจากนั้น พระราชินีได้ตรัสถามคำถามที่นอกเหนือความนึกคิด “ จริงหรือเปล่าที่ประชาชนเชื่อว่าฉันฆ่าพวกเจ้าฟ้าชาย”
ผ- พุทธเจ้าค่ะ เขาเชื่อ
ร- สิ่งที่ประชาชนเชื่อเป็นเรื่องไม่จริง ฉันไม่ได้ฆ่าพวกเจ้าฟ้าชาย ฉันยังเป็นเด็กตอนที่ฉันได้เป็นพระราชินี
...
จึง เป็นไปได้ว่า คนที่ จัดการสำเร็จโทษพวกเจ้าชายทั้งหลาย คือ พระนางอเลนันดอ และ พรรคพวก ที่ ต้องการอำนาจการควบคุม บัลลังค์พระเจ้าสีป่อ อย่างเบ๊ตเสร็จ โดยคิดว่าพระนางศุภยลัต เอง ก็ คงทรงเป็นแค่หมากตัวหนึ่ง เท่านั้นเอง
แต่พอกาลต่อมา เรื่องราวมันมันเริ่มซับซ้อนใหญ่โต สถานะการบ้านเมืองสับสน และมาจบที่ พระนางและพระราชสวามี
ทั้งที่ตอนนั้น แม่ของพระนางทั้งนั้นที่ จัดซะ ทุกอย่าง
มีที่หนีไปหาอังกฤษได้สององค์ คือ เจ้ายองยัน กับ เจ้ายองโอ๊ก สองพี่น้อง
องค์พี่เป็นที่นิยมในหมู่คนพม่าแต่ตายเสียก่อน องค์น้องเป็นที่รังเกียจเพราะความประพฤติไม่ดี
นอกจากนั้นยังมี เจ้าเมียงกูน กับ เมียงกูนแดง สองพี่น้องที่เคยก่อกบฏฆ่าพระมหาอุปราชากะหน่อง
ก็หนีไปอยู่กับอังกฤษ แต่สององค์นี้เป็นที่รังเกียจของชาวพม่ามาก
นอกจากนั้นยังมีเชื้อพระวงศ์ชั้นหลานเธอของพระเจ้ามินดง ที่รอดจากการประหารในคราวผลัดแผ่นดินเนื่องจากยังเล็กนัก
เจ้านายน้อยๆเหล่านั้น ในเวลาเสียเมืองให้อังกฤษก็เจริญเป็นวันหนุ่มกันแล้ว
ซึ่งเจ้ากลุ่มนี้จะค่อนข้างภักดีกับพระเจ้าธีบอและพระนางศุภยาลัตมาก
เนื่องจากทั้งสองพระองค์เป็นผู้ขอชีวิตเจ้านายกลุ่มนี้จากพระนางอเลนันดอ โดยใช้เหตุผลว่ายังเด็กนัก
พม่านั้นจะสร้างพระราชวัง พระมหาปราสาทด้วยเครื่องไม้ครับ และมีการปิดทองด้วย
ถึงเรียกกษัตริย์ว่า "พระเจ้ามนเทียรทอง"
เครื่องไม้ของพม่านั้นงดงามมากครับ การแกะสลักมีความละเอียดประณีตสุดยอดจริงๆ
ผ- พระตำหนักนี้เป็นของรัฐบาลหรือพุทธเจ้าค่ะ
เจ้า หญิงศุภพญา- ใช่ แต่เขาก็จะให้เสียภาษีตอนที่เราทำสวนในสนามเล็กๆของตำหนัก แต่เราก็ไม่ได้จ่ายเพราะเรามีภาระต้องเสียค่ารักษาความปลอดภัย
ผ- ข้าพุทธเจ้าอยากทราบเรื่องการสวรรคตของพระเจ้าธีบอ
ร- ท่านสิ้นพระชนม์ตอนเที่ยงคืนวันที่15 ธันวาคม 1916 หลังจากนั้น3ปี ฉันก็เดินทางออกจากรัตนคีรีในวันที่ 10 เมษายน 1919 มาถึงพม่าวันที่18
ผ- ข้าพุทธเจ้าอยากทราบเรื่องพระบรมศพของพระเจ้าธีบอ
ร- เมื่อพระองค์สวรรคต ฉันไม่มีเงินพอที่จะจัดพระราชพิธี ไม่มีแม้โอกาสที่จะทำบุญสวดศพตามประเพณี ตอนแรกก็ตั้งพระบรมศพไว้ในห้องของพระตำหนัก หลังจากนั้น ในวันที่ 9 กุมภาพันธุ์ 1917 ก็อัญเชิญมาไว้ในสุสานที่สร้างไว้บนสนาม แต่พอถึงเดือนมีนาคม1919 หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องก็มาย้ายสุสานไปไว้ในป่าแห่งหนึ่ง สุสานนี้อยู่ไกลวังมาก ใช้เวลาตั้งครึ่งวันที่จะเดินทางไปถึง สุสานสร้างขึ้นบนภูเขา อยู่ใจกลางของป่าเลย
ร- เมื่อฉันรู้ว่าฉันจะกลับพม่า ฉันก็คิดจะนำพระบรมศพกลับมาด้วย แต่ฉันก็ครุ่นคิดว่าประชาชนพม่าจะชื่นชอบความคิดของฉันหรือไม่ ตอนที่ฉันบอกกับเจ้าหน้าที่อังกฤษที่เกียวข้องว่าฉันจะเอาพระบรมศพกลับไป พม่าพร้อมกับฉัน เขาบอกว่าคนพม่าจะโกรธที่ส่งพระราชาของเขากลับ ในสภาพที่เป็นศพ เพราะตอนที่จับตัวไปยังไม่ตาย ความตายของศุภยาเล น้องสาวของฉันก็แปลก เธอตายอย่างเฉียบพลัน หลังจากที่ปวดท้องอย่างรุนแรง เธอตายในวันที่23 มิถุนายน1912 ตอนนั้นเราก้ไม่มีโอกาสทำบุญตามธรรมเนียมพิธีศพเหมือนกัน
ผ- ตอนอยู่ที่รัตนคีรี ทรงมีโอกาสได้อ่านหนังสือพิมพ์จากพม่าบ้างไหมพุทธเจ้าค่ะ
ร- ฉันอ่าน “หงสาวดี” กับ “แสงใหม่แห่งพม่า” อยู่เสมอ
ผ-ข้าพุทธเจ้าอยากทราบเรื่องเกี่ยวกับใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทระหว่างประทับอยู่พระตำหนักใหม่ที่รัตนคีรี
ร-เนื้อที่ ดินของตำหนักก็68ไร่รวมทั้งสวนและสระน้ำ ก่อสร้างในปี1900 เสร็จปี 1910 ค่าก่อสร้างกว่า 200000 รูปี วัสดุเครื่องใช้ในตัวตำหนักก็อย่างเลิศ พรมขนาดใหญ่2ผืนก็ตกเข้าไปผืนละ6000แล้ว เก้าอี้บุกำมะหยี่ มูลค่าของใช้พวกนี้ก็เป็นเงิน18000 มีรถยนต์สองคัน คันละ10000 แล้วก็รถม้าอีก3คัน
เมื่อผมได้ยินพระราชินีมีพระดำรัสถึงพระตำหนัก อย่างนั้น ก็พิจารณาได้ว่าทั้งพระราชาและพระราชินี ทรงพระเกษมสำราญดีที่รัตนคีรี ระหว่างการสนทนา ผมนึกขึ้นมาได้ถึง ทับทิมที่ชื่อ หงามุก อันเป็นพระราชมรดกของบูรพกษัตริย์พม่า จึงกราบทูลถามว่า
ผ- ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทยังทรงเก็บหงามุกไว้ตอนที่ถูกส่งตัวไปรัตนคีรีหรือหามิได้พุทธเจ้าค่ะ
ร- เปล่าเลย มันได้ถูกมอบให้นายพันเอกสลาเดนเอาไปเพื่อเก็บ ไว้ ฉันไม่รู้ว่าใครครอบครองมันอยู่ตอนนี้ ยังมีเพชรกับทับทิมอีกหลายเม็ดนะ อย่างเช่น ราชรัตนะหอข่าเที๊ยกทินเล ราชรัตนะหอข่าทินจี ราชรัตนะซินมาตอ ราชรัตนะซาน และอื่นๆอีกมาก
หมายเหตุ ผ คือ ผู้สัมภาษณ์ ร คือ ราชินีศุภยาลัต
เี๋ดี๋ยวมาต่อค่ะ
Bookmarks