..........นับย้อนหลังไปประมาณปี ๔๗ ผู้เขียนย้ายจากปัตตานีขึ้นมาทำงานที่ นครศรีธรรมราช เลยมาได้บ้านพักหลังหนึ่ง สภาพก็ถือว่าใช้ได้ตามอัตภาพสมควรแก่ฐานะ(ต่ำ)ของตัวเอง บ้านพักเป็นเรือนแถว แบบไม้ผสมปูน ๒ ชั้น แถมมีจิตรกรรมฝาผนังและข้อความบทกลอนเต็มไปหมด(เต็มอ๊ากลาก) ถ้าเป็นยุครัตนโกสินทร์ตอนกลางใครที่เข้าไปอาจจะนึกว่าเป็นบ้านลูกศิษย์สุนทรภู่ก็ได้ อิ อิ หลังจากผมได้เข้าไปอาศัยอยู่ซักพัก ก็เริ่มสะกิดใจกับข้อความข้างฝาผนังห้องเก็บของชั้นล่าง ซึ่งมีข้อความว่า ..โรงพัก โรงศาล โรง(โลง)ศพ สามสิ่งนี้ ไม่จำเป็นไม่ควรไปยุ่งเกี่ยว พะนะ เอ๊ะ(ฮ่วย) ผู้เขียนก็เลยได้ข้อคิดว่า เอ..น่าจะเพิ่มอีกโรงนะ ก็โรงพยาบาลไง มันจะได้ครบองค์ไปเลย ทีนี้เราก็มากล่าวถึงโรงแรกก่อนคือ
..........โรงพัก ถ้าไม่มีญาติหรือคนรู้จักเป็นตำรวจที่นั้นก็ไม่รู้จะไปทำไม เพราะคนที่ไปส่วนใหญ่คือคนมีคดีความทั้งนั้น ไม่ถูกจับหรือโดนปรับ ก็คงต้องไปเยี่ยมผู้ต้องหาละนะ ปกติขนาดเดินผ่านหน้าโรงพัก ยังรู้สึกหนาวๆร้อนๆอยู่ อิ อิ คิดยังไงก็ทำใจให้เข้าไปเดินเล่นเหมือนสวนสาธารณะไม่ได้ ชื่อโรงพัก แต่คิดว่าคนส่วนใหญ่คงไม่อยากไปพักหรอก ฮา ๆ ๆ
..........โรงศาล หมายถึงศาลพิจารณาคดีความเรานี่แหล่ะ การที่จะขึ้นโรงขึ้นศาล ผู้เขียนว่ายิ่งหนักกว่าขึ้นโรงพักเสียอีก ต่อให้มีญาติเป็นอัยการ ผมเองก็คงไม่ไปเยี่ยมท่านที่ศาลหรอก ไปบ้านดีกว่า ที่ว่าหนักกว่าโรงพักก็เพราะว่า ตอนเราขึ้นโรงพัก เราอาจมีฐานะแค่ผู้ต้องหา หรือเสียค่าปรับแล้วก็กลับบ้าน แต่ถ้าขึ้นโรงศาลกลับลงมาฐานะเราอาจจะสูงขึ้นกลายเป็นจำเลย พร้อมได้ที่อยู่ใหม่เลยก็เป็นได้ ขนาดไปเป็นแค่พยานก็หนักใจพอแรงอยู่แล้วนะ จริงมั๊ยท่านผู้อ่าน ฮา ๆ ๆ
..........โรง(โลง)ศพ อันนี้เป็นที่พักพิเศษซึ่งคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆ คงไม่มีใครคิดอยากไปนอนเล่นๆหรอกนะ แม้จะติดแอร์เย็นฉ่ำ ตกแต่งสีสันลวดลายวิจิตรพิสดารปานใดก็ตามเถอะ แค่เห็นก็แสยง(หนักกว่าสยอง)แล้ว โรงนี้จริงๆแล้วใครที่ไปขึ้น(เข้า) พรรคพวกญาติพี่น้องมาให้กำลังใจเยอะดี มากกว่าสองโรงที่ว่ามาด้วยซ้ำ แต่ผู้ใช้บริการไม่มีโอกาสทักทาย ขอบคุณใครเลย อย่าว่าแต่ขอบคุณเลย แม้แต่จะไอยังทำไม่ได้ คนเยอะ แต่บรรยากาศมันเศร้าเนาะ จำเป็นหรือไม่จำเป็นท่านก็อย่าไปใช้บริการเป็นเด็ดขาด ฮา ๆ ๆ
..........โรงพยาบาล ว่ากันตามหลักแล้วก็คือแหล่งรวมโรคเราดีๆนี่เอง ก็ใครเป็นอะไร โรคอะไรก็มาเข้าที่นี่ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นโรคติดต่อหรือโรคต่อไม่ติด โรคหิดโรคกลาก หรือเมียเอาขวานถากใบหู ก็ต้องมานี่ก่อนค่อยไปว่ากันที่โรงพักต่อ คนที่ไปโรงพยาบาลถ้าไม่ไปเยี่ยมญาติ หรือไปหาจีบพยาบาล ส่วนมากก็ไม่สบายเจ็บป่วยกันทั้งนั้นถึงจะไป เพราะมันก็ไม่น่าพิศมัยเท่าไรนัก ทุกท่านคงได้ไปเห็นบรรยากาศในโรงพยาบาลมาแล้ว ไล่ไปตั้งแต่ลงทะเบียนรอเรียกชื่อเข้าพบหมอ แต่ละคนหน้าตาเหมือนไปโกรธกะใครมาหรือไม่ก็หน้าละห้อยลอยเลื่อนกันทั้งนั้น ยิ่งห้องฉุกเฉินหละไม่ต้องพูดถึง แต่ละท่านที่เข้าไปโอดโอยครวญคราง มีหลายคีย์จนหาดนตรีใส่ลำบาก ฮา ๆ ๆ จนไปถึงระดับพะงาบๆ (หันใจปลา)ก็มี ถ้าอยากดูหลากหลายอารมณ์ก็ที่หอผู้ป่วย (อายุรกรรมฯ) แต่ละท่านที่ไปจับจองที่พักที่อาศัยล้วนไปกันคนละโรค สองโรค สามโรค มีทุกอริยาบท บางคนก็ลุกได้ บางคนก็นอนสายระโยงระยางเต็มไปหมด ญาติพี่น้องเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว(แตกแซวๆ)เต็มไปหมด ถ้าใครคิดจะไปก็ขอให้ไปฐานะผู้เยี่ยมญาตินะ ไม่ควรไปฐานะผู้ถูกเยี่ยม ฮา ๆ ๆ เล่าเรื่องโรงพยาบาลผู้เขียนก็มีเรื่องขำๆมาเล่า คือมีผู้หญิงคนหนึ่งแกเป็นหม้าย อายุก็แก่กว่าผู้เขียนประมาณ ๕-๖ ปีนี้แหล่ะแต่แกยังสาวสวยพริ้งอยู่อยู่บ้านใกล้ๆกัน วันหนึ่งแกตื่นแต่เช้าแต่งตัวมารอรถ ผู้เขียนกำลังกวาดหน้าบ้านพอดีเลยถาม...พี่ไปไหนแต่เช้า ไปหาหมอ หมอนัด..แกว่า อ้าว มีนัดกับหมอ คบกันมากี่ปีแล้วหล่ะ โชคดีจังมีกิ๊กเป็นหมอ ผมว่า......ไอ้บ้า หมอนัดกูไปตรวจภายใน ฮ่วยย บักห่า.... แกสวนมาอย่างไม่ได้ตั้งตัว อิ อิ อิ ผู้เขียนเลยรีบวางไม้กวาดเข้าบ้านเลย พเราะขืนพูดต่ออาจจะต้องไปโรงพยาบาลพร้อมแกก็ได้ ฮา ๆ ๆ
ปล.บทความเรื่องนี้ผู้เขียนเคยลงไว้ในวารสารของ รพ......เมื่อหลายปีมาแล้ว แต่หาต้นฉบับไม่เจอเลยเขียนขึ้นใหม่ตามเคร้าโครงเดิมเท่าที่นึกได้ เนื้อหามิได้มีเจตนาจะว่ากล่าวล่วงละเมิดบุคคล สาธารณชน หน่วยงานหรือองค์กรใดทั้งสิ้น เพียงเพื่อความบันเทิง และข้อคิดแง่มุมบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น
Bookmarks