พระสวด
“กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา…”
พระสวดไป ใจยังวุ่นวาย รับรู้ไม่ได้ว่าสวดอะไร คงสวดให้ผู้ตายฟัง เรานั่งเฉย ๆ ก็พอ ฟังพระสวดเพื่อมารยาท
คงพลาดอานิสงฆ์ ใจคงไม่เข้าใจ ถ้าฟังไป ภาวนาไป
ใจคงเห็นความจริง ว่าที่นอนนิ่ง ๆ นั่นมิใช่ใคร
คนเคยมีหัวใจเช่นเรา วันนี้เป็นโอกาสเขา
“พรุ่งนี้อาจเป็นโอกาสเรา”เคาะโลงเสียงเคาะโลง มีเสียงพูดเบา ๆ จากผู้เคาะว่า
“รับศีลนะ ทานข้าวนะ ฟังพระสวดนะ” ทำไปเพื่ออะไร
หรือเพียงแค่เคยทำตามกันมาหรือว่า “เคาะประชดคนเป็น”
ในยามมีชีวิตอยู่ เตือนแค่ไหนก็เตือนเถิด
ดูเหมือนไม่สนใจกับสิ่งเหล่านี้ ในยามนี้ เตือนไปก็คงไร้ความหมาย คนตายจะไปรับรู้อะไร เคาะเตือนคนเป็น ให้เห็นถึงความจริงว่า
“สิ่งที่ดีเร่งขวนขวาย”
วัว ควาย ช้าง ม้ายามมันมรณาประโยชน์ได้
มนุษย์นี่ซิเน่าเปื่อยสูญเปล่าไป ดีชั่วที่ทำไว้ส่องให้โลกเห็นอาหารหน้าโลงชีวิตใครบางคน ถ้าไม่ตาย ก็คงไม่มีใครให้ความสนใจ มากมายเช่นนี้ อาหาร ผลไม้นานาชนิด จัดเรียงรายด้านหน้าโลง สิ่งใดที่ผู้ตายชอบใจ แพงแค่ไหนก็แสวงหามา เพื่อเป็นเครื่องเซ่น แด่ดวงวิญญาณ
ถ้าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ในยามผู้ตายมีชีวิตอยู่ เราคงได้เห็นสีหน้า
และได้รับคำขอบใจ อาหารก็ยังคงเป็นประโยชน์ แก่ผู้รับด้วย แต่เวลานี้…ทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่างคงอยู่สภาพเดิมบุคคลที่จะรับวัตถุสิ่งของเรา ขณะนี้เขาไม่รับรู้อะไรแล้ว
หรือว่าทำไป เพียงเพื่อสนองความรู้สึกเรา ในยามมีชีวิตถ้าเราแสดงออกซึ่งความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้แก่กัน คงจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าเหตุการณ์ “อาหารหน้าโลง” เป็นแน่ชุดสีดำในยามสูญเสีย บุคคลอันเป็นที่รัก หรือญาติมิตร คงไม่มีใครคิดที่จะดีใจ
พกพาความสุขและรอยยิ้มหรอกนะ
สีดำ…เป็นสีแห่งความทุกข์ โลกให้ความหมายไว้เช่นนั้น
ในยามมีงานศพ เรามักพบแต่คนใส่ชุดสีดำส่วนมาก
บ่งบอกว่า “กำลังไว้ทุกข์” ความจริงแล้วความทุกข์ของคน
ใช่ว่าจะมีเรื่องความตาย สิ่งเดียวนั้นหาได้ไม่ “การเกิด การแก่ การเจ็บ ความผิดหวัง” สิ่งเหล่านี้ก็คือความทุกข์ทั้งสิ้น การใส่ชุดสีดำมางานศพ เพื่อบอกว่าเป็นการไว้ทุกข์ เป็นการทำตามประเพณี
แต่ถ้าจะให้ดีต้องไว้ทุกข์ด้วยใจ เพ่งถึงสภาวะความพลัดพราก
ความไม่แน่นอน และบอกตัวเองว่าเหตุการณ์เช่นนี้ คงต้องเกิดขึ้นกับเราทอดผ้าบังสุกุลเสียงพระบริกรรม ในขณะพิจารณาผ้าบังสุกุลว่า…
“อะนิจจา วะตะ สังขารา อุปปาทะวะยะธัมมิโน
อุปปัชชิตตะวา นิรุชฌันติเตสัง วูปะสะโม สุโข”
แปลความว่า….ร่างกายนี้หนอ ไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และแตกสลายไป เป็นธรรมดา การพิจารณาร่างกายให้เห็น
เป็นธรรมดา นั่นแหละหนา “คือ ความสงบสุข”
บทพิจารณาบทนี้ ถ้ามีในใจใคร ถ้าสิ้นลมหายใจไปดูไม่จำเป็นที่จะให้พระรูปใด ต้องมาพิจารณา แต่…ดูเหมือนว่าคนไม่กล้าพิจารณาเพราะกลัวว่า “จะตายไว”
ดอกไม้จันทน์ ดอกไม้จันทร์นับพันดอก ที่เหล่าญาติมิตรวางไว้เพื่อไว้อาลัยกับการจากไป ของบุคคลที่ตนรัก
บางคนวางลงทั้งน้ำตา ในใจบ่นว่า “ไม่น่าเลย”
บางคนวางลงพร้อมเสียงร้องไห้ ในใจบ่นว่า “ทำไมต้องตายด้วย”
บางคนวางลงพร้อมด้วยความสลดใจ ในใจบ่นว่า
“เราก็จะเป็นเช่นคุณ”
บางคนวางลงพร้อมใจสงบนิ่งในใจ “ไม่ได้คิดอะไรเลย”
ดอกไม้จันทร์ดอกนั้น ไม่คู่กับตัวฉันในวันที่นี้ แต่…
จะคู่กับฉัน ในวันที่ฉันสิ้นลมหายใจ...
เหรียญบาทในปากผการกระทำที่เกิดจากความคิด หวังให้ผู้ตายได้มีเงินใช้
จึงปรากฏเหรียญบาทในปากผี มนุษย์ผู้มีสติปัญญา มองเห็นว่า…
นี่หนามนุษย์ ในที่สุด แม้เงินที่ใส่ไว้ในปาก ก็ไม่อาจเอาไปได้
แต่…ทำไมหนอชีวิตทั้งชีวิตจึงบ้าแต่กับคำว่า “เงิน” อยู่ตลอดวันตลอดคืน “เงิน” คือพระเจ้าที่สามารถดลบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างได้
แต่ไม่อาจดลบันดาลให้มนุษย์พบแสงสว่างแห่งความจริงได้ว่า...
“ชีวิต คือ ความทุกข์”
เพราะว่า…เงินคือสิ่งโกหกมนุษย์อยู่ตลอดเวลาว่า
“ชีวิต คือ ความสุข”
ดูหน้า…ครั้งสุดท้ายต่างอยากเห็นหน้าว่า เวลานี้เจ้าเป็นเช่นไร
พอเปิดโลงไป ทุกคนต่างเมินหน้าหนี ถึงจะสวยงดงามดังเทพี
ก็คงไม่มีใครที่จะสนใจเจ้า ดูหน้าศพแล้วย้อนดูหน้าเรา
คนมีชีวิตเขลาหรือไม่หนอ พยายามเสริมแต่งตามคำยอ
เพื่อลวงล่อให้คนชม แท้ที่จริงเห็นความจริงมั้ยว่าสวยสักปานใด พอเปิดโลงไป ทำไมต้องเมินหน้าหนี “ความสวย คง แพ้ความดี”
พึงทำให้มีดีจะสวยตลอดกาลกลิ่นศพในสมัยยังมีชีวิตอยู่ สู้แสวงหาเครื่องสำอางที่มีราคา
เพียงเพื่อว่า…ให้ร่างกายข้าสวยสดงดงาม
มาบัดนี้…เพียงสิ้นลมไม่กี่นาที กลิ่นที่ดีก็สูญสิ้นไป
คนเคยชมเจ้าว่า…งามสง่า กลิ่นกายาเจ้าแสนหอม
คนเคยยื้อแย่งและรุมตอม มาบัดนี้…จ้างก็ไม่ยอมเข้าชิดกายา แถมยังบ่นว่า…เจ้าช่างเหม็นจัง คิดบ้างเถอะว่าอย่าบ้าไปกับสังขาร อย่าหลอกตัวเองเลยนงคราญ อีกไม่นานก็ทุเรศสิ้นดีเพียรสร้างตัวให้มีแต่ความดี กลิ่นเจ้านี้ก็จะหอมมั่นคง
ชั่วนิจนิรันดร์ โดยไม่มีวันจืดจางเมรุ “เมรุมาศสวยบาดตา รู้มั้ยว่าเราไว้ทำอะไร”
ชีวิตก็แค่นี้ ถ้าไม่ฝังก็เผา
เราเคยเดินขึ้นเมรุเพื่อวางดอกไม้จันทร์
นับครั้งไม่ถ้วน
วางดอกไม้ลงปลงใจไม่ได้ว่า
“เราก็จะเป็นเช่นเขา”
เดินลงจากเมรุเริ่มคิดโครงการถึงเรื่องงาน และเรื่องเงิน คิดจนเพลินจนลืมคิดว่า
“คนเราไม่พ้นเมรุ”
ไฟไม่กี่นาที ร่างกายนี้ที่ไร้วิญญาณ
ก็ถูกไฟเผาผลาญจนเป็นเถ้าถ่านโดยสิ้นเชิง
แต่นั้นไฟมันเผาตอนตายแล้ว
ในตอนที่มีชีวิตอยู่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
“มนุษย์ที่ยังไม่พ้นจากกิเลสตัณหา ย่อมถูกกระแสแห่งไฟโทสะ
ไฟโมหะ ไฟโลภะ เผาอยู่ตลอดเวลา”
ยอมไม่ได้ ให้อภัยไม่ได้ รู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก
จมปลักกับกระแสแห่งโลกีย์ จนใคร ๆ เตือนไม่ได้
ปรารถนาจนนอนไม่หลับดูซิ…ถูกเผาแค่ไหน น่าสงสารใจดวงนี้จังกระดูกสัปเหร่อ บรรจงเก็บกระดูกใส่ถาดเพื่อนำไปเก็บไว้
มองดูไม่เห็นมีอะไรคงเห็นเพียง “เศษกระดูก”
ชีวิตคนถ้ากระดูกจะมีค่าก็ต่อเมื่อ ชีวิตทั้งชีวิตเป็นคนดี
ถ้าไร้ซึ่งความดี กระดูกกองนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับกระดูกของสัตว์
บางครั้งยังสู้กระดูกสัตว์ไม่ได้
เห็นกระดูกในถาดอาจเห็นธรรมในใจได้ถ้าคิดเป็น
ไม่สักแต่ว่าเห็น ว่านั่นคือกระดูกคนที่เก็บกระดูกยามมีชีวิตอยู่ ใครก็รู้ว่า ที่อยู่เจ้าใหญ่โต
มาบัดนี้ที่อยู่เจ้าช่างคับแคบเหลือเกิน
แสวงหา กอบโกย คดโกงต่อสู้เพื่อให้ได้มาทุกวิถีทางในที่สุดแห่งชีวิต “ก็…แค่นี้”
ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตามฝากไว้สะกิดใจคนที่ไม่เคยบอกความจริงกับชีวิตตัวเองว่า
“เดี๋ยวก็ตาย”
เป็นคนที่น่าเป็นห่วงยิ่งนัก
คนที่ไม่ยอมรับความจริง บนความจริงที่ปรากฏกับชีวิตเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดในโลก