นวนิยายอิงหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
บนยอดเขาสูง หมู่เมฆสีดำเงินเคลื่อนคล้อยคลี่ม่านสีบางเบาบดบังแสงจันทร์ที่เคยส่องสว่างเห็นแสงนวลแต่พอรำไรแต่หมู่ดาวดวงงามก็ส่องประกายแสงระยิบระยับอยู่ปลายระเบียงฟ้า
ฟากไกล งดงามตายิ่งนัก ลมเย็นโชยพัดโบกสะบัดกระทบกายสัมผัส เสียงหวีดหวิวเมื่อสายลมโชยพัดต้องกิ่งสน ส่งกลิ่นหอมของมวลพฤกษาชาติหลากพรรณที่ดารดาษอยู่เต็มผืนป่า เสียงหรีดหริ่งเรไรพากันร้องระงมขับขานเป็นท่วงทำนองแห่งขุนเขาเหมือนจะบอกว่านี้คือคีตะบรรเลงแห่ง คีรีรัฐ

ข้าพเจ้านั่งตรึกตรองพิจารณาถึงเหตุการณ์ที่ได้ประสบมาเมื่อเช้านี้และนึกย้อนไปถึงเมื่อสิบปีที่ผ่านมาที่เป็นจุดเริ่มต้นของการแสวงหาความหมายแห่งชีวิต ในปีแรก ๆ ที่ข้าพเจ้าจากพ่อและแม่จากครอบครัวอันเป็นที่รักมานั้นก็ยังไม่แน่ใจและไม่สามารถทำใจได้กับการก้าวจากลาและการให้อภัยจากหญิงอันเป็นสุดที่รักที่เคยวาดหวังและสัญญาว่าจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน

ช่วงชีวิตที่ผ่านมา ข้าพเจ้ายอมรับว่าได้ใช้ชีวิตอย่างร่อนเร่พเนจร ไร้ที่พักกายที่แน่นอน บ่อยครั้งที่ผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาอยู่ในห้วงสำนึกแม้ในเวลาที่ไม่ได้ตั้งใจจะคิดถึง ทั้งในยามที่ความทุกข์ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรงหรือในยามที่ชีวิตดื่มด่ำกับความสุขในบางเวลา ความเหงา เปล่าเปลี่ยว เดียวดาย อ้างว้าง ว้าเหว่ เริ่มก้าวเข้ามาปลกคลุมในใจทุกขณะ
บ่อยครั้งในห้วงเวลาแห่งความระลึกถึง ภาพแห่งหญิงนั้นก็มาปรากฏตัวให้เห็นอย่างชัดเจน มาพูด มาคุย มายิ้มให้ บ่อยครั้งที่มาก็ดูขรึมเศร้า มาร้องไห้คร่ำครวญให้เห็นน่าสงสาร

แน่นอนแม้ในโลกแห่งจินตนาการก็ไม่อาจวาดมโนภาพนั้นออกมาได้ แต่ข้าพเจ้าก็รู้ว่ามันเป็นห้วงเวลาแห่งความระลึกถึงผู้หญิงคนนั้นนั่นเองและมักจะเป็นเวลาที่หัวใจเอ่อล้นไปด้วยความสุขทางใจ

สองปีมาแล้วที่ข้าพเจ้าอาศัยสถานที่แห่งนี้เป็นที่พำนักกายและทำความเข้าใจกับชีวิต ข้าพเจ้าได้เลือกสถานที่แห่งนี้ซึ่งเป็นภูเขาเล็กๆ ข้างเชิงเขามีแม่น้ำสายเล็กๆ สายหนึ่ง เป็นที่สงบและสัปปายะสำหรับการใช้ชีวิตอย่างสันโดษ ห่างจากชุมชนประมาณหกกิโลเมตรเศษๆ ทางสัญจรมีทางเดียวเท่านั้นคือทางน้ำ มีบ้านเรือนเรียงรายอยู่ห่างๆ กัน ตามคุ้งน้ำ ข้าพเจ้าต้องแจวเรือไปในการเที่ยวภิกขาจาร
บรรยากาศอันเงียบสงบ บนลานหินในรัตติกาลนี้ ทำให้ข้าพเจ้าอดที่จะนึกถึงเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นในเช้าวันนี้ และทำให้ย้อนนึกไปถึงบทสนทนาที่สตรีนางหนึ่งมีต่อข้าพเจ้าไม่ได้

"นิมนต์เจ้าข้า นิมนต์พระคุณเจ้ารอสักครู่หนึ่งเถิด นิมนต์ขึ้นมานั่งบนศาลาท่าน้ำนี้ก่อน ขอพระคุณเจ้าจงเมตตา เพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ครอบครัวของดิฉัน" ข้าพเจ้าแจวเรือเข้าเทียบฝั่งแล้วขึ้นไปยังศาลาท่าน้ำที่หญิงนั้นนิมนต์ให้นั่งรอ หญิงเจ้าบ้านกลับเข้าไปในบ้านและกลับออกมาพร้อมกับอาหารคาวหวานที่จะใส่บาตร มีเด็กชายตัวเล็กอายุประมาณหกหรือเจ็ดขวบวิ่งตามมาข้างหลัง "กราบพระคุณเจ้าซิลูก" เมื่อเธอนำลูกชายกราบเสร็จ เธอได้กล่าวว่า "สามีดิฉันเป็นปลัดอำเภอที่นี้ พึ่งย้ายมาเมื่อเดือนก่อนและดิฉันพึ่งได้ตามมาเมื่อวาน โชคดีเหลือเกินที่พระคุณเจ้าผ่านมา" ในขณะที่กล่าวจบประโยค หญิงนั้นได้เงยหน้าขึ้นและจ้องมองข้าพเจ้า สีหน้าเธอซีดขาว มีเสียงเหมือนตะกุกตะกักในลำคอ "หลวงพี่ หลวงพี่" ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจที่จู่ๆ หญิงนั้นมาเปลี่ยนคำเรียกข้าพเจ้าว่าหลวงพี่ จึงได้เงยหน้าขึ้นมองอย่างพิจารณา ข้าพเจ้าถึงกับชะงักเมื่อรู้ว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าคือวัลยา ผู้หญิงคนที่ข้าพเจ้าสุดแสนจะรักและเคยคิดจะแต่งงานด้วย ถึงกับเคยให้คำมั่นสัญญากัน และข้าพเจ้าก็จากเธอมาด้วยเหตุผลบางประการ
"?หลวงพี่ทิ้งน้องไป" เป็นคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของเธอ "หลวงพี่ไม่รักน้องจริง หลวงพี่ไม่รักษาสัญญา หลวงพี่ลืมหมดสิ้นคำสัญญาที่เคยมีให้น้อง"
ข้าพเจ้านั่งนิ่งชั่วขณะหนึ่ง จึงได้กล่าวขึ้นว่า "น้องหญิง โปรดจงฟัง ธรรมดาทุกๆ ชีวิตย่อมจะมีเงื่อนไขของชีวิตที่ต่างกัน มีเหตุมีผลแตกต่างกันไป น้องหญิงคงจำวันที่อาตมาบอกว่าจะ ลาสิกขาได้ และอาตมาก็ได้กำหนดวันที่จะลาสิกขาแล้วด้วย น้องหญิงก็รู้ดี แต่ในเช้าวันที่จะทำพิธีลาสิกขานั้น คุณแม่ของน้องหญิงได้มาหาอาตมาที่วัดและบอกจุดประสงค์แห่งการมาว่าจะหาฤกษ์แต่งงานให้น้องหญิงกับปลัดอำเภอลูกชายคหบดีที่เป็นเพื่อนคุณพ่อของน้องหญิง น้องหญิงคงจะไม่ทราบความจริงข้อนี้ ขณะที่ฟังความนั้น สำหรับอาตมาเองมีความรู้สึกปานประหนึ่งว่าจะขาดใจ ทุกข์โทมนัสยิ่งนัก แต่เมื่อได้ไตร่ตรองตามเหตุและผลของคุณแม่น้องหญิงที่บอกว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนดี มีหน้าที่การงานมั่นคงและจะเป็นที่พึ่งของน้องหญิงได้ดียิ่งกว่าชายใดๆ ที่คุณแม่ของน้องหญิงรู้จัก อาตมาจึงได้ตัดสินใจกราบลาอุปัชฌาย์อาจารย์และเพื่อนสหธรรมิกที่คุ้นเคย เพื่อเดินทางออกจากวัดในเย็นวันนั้น ทั้งนี้ก็เพราะได้ตรึกตรองด้วยเหตุด้วยผลทั้งฝ่ายดีฝ่ายเสียแล้ว ข้อนี้ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่อาตมาต้องจากมา
ทางรักทางเลือกทางรักทางเลือก??.