หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 3 หน้า หน้าแรกหน้าแรก 123 หน้าสุดท้ายหน้าสุดท้าย
กำลังแสดงผล 11 ถึง 20 จากทั้งหมด 21

หัวข้อ: นิยาย....กำเนิด...เผ่าพันธุ์

  1. #11
    ขอบคุณมากจ้าสำหรับเสียงเพลงที่จัดให้...จุ๊บ ๆๆๆ

    ฝันดีจ้า

  2. #12
    ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมหา สัญลักษณ์ของ lukhin_inter
    วันที่สมัคร
    Sep 2007
    ที่อยู่
    อิสานใต้ ประเทศไทย
    กระทู้
    1,860

    ซับซ้อนขึ้น..สนุกดี

    กลับมา...เข้ามาที่นี่ก็มานั่งอ่านต่อ
    .
    .

    ซับซ้อน ดี ลายละเอียดไม่ต้องเน้นมาก
    ตัดภาพเหมือนกำลังดูภาพยนต์..นึกถึง หนังเกาหลี ญี่ปุ่น
    เกมส์จ้า
    .
    .
    .

    โทษทีลืมตัว...อิอิ
    .
    .


    ขอบคุณคะ...ก็ดีจ๊ะ

    ซับซ้อนขึ้น..สนุกดีซับซ้อนขึ้น..สนุกดี..:)
    อุปสรรคเป็นได้ทั้งบันไดให้ก้าวขึ้นไป...หรือ
    เป็นภูผาที่ขวางกั้น...ขึ้นอยู่กับว่าจะมองมุมไหน

  3. #13
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ บ่าวเม้า
    วันที่สมัคร
    Jun 2006
    กระทู้
    207
    บทที่ 6 : จุดสิ้นสุดแห่งยุคสมัย



    เมื่อได้เห็นเปลวเพลิงแดงฉานกระหน่ำลงมาจากสวรรค์เท่านั้น เหล่ายักษ์ก็ได้ตระหนักว่าตนได้กระทำความผิดพลาดอันโง่เขลาลงไปเสียแล้ว พวกเขารวมกำลังกันเพื่อพยายามยับยั้งค้อนแห่งความสิ้นหวังที่ถูกฟาดลงมาด้วยความพิโรธของไอน์ฮัดซัด หากแม้กระทั่งด้วยกำลังของยักษ์ พวกเขาก็ทำได้เพียงเบี่ยงทิศทางของค้อนออกไปเล็กน้อยเท่านั้น และมันก็ยังคงเฉียดผ่านนครของยักษ์ไปเมื่อมันฟาดลงสู่พื้นโลก



    นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำลายมหานครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วน รวมทั้งเผ่าพันธุ์อื่นๆ ถูกบดขยี้แหลกลาญในทันที หลุมขนาดใหญ่เกิดขึ้นบนพื้นดินและคลื่นยักษ์ก็ปกคลุมพื้นผิวของมันไว้ ในท้ายที่สุด ยักษ์เกือบทั้งหมดก็สูญสิ้นไป



    ยักษ์ที่ยังรอดชีวิตหลบหนีสู่ตะวันออกเพื่อหลบหนีจากความพิโรธของไอน์ฮัดซัด ด้วยเส้นทางอันวกวนขนานไปกับเมื่อครั้งที่ชิลเลนหลบหนี ไอน์ฮัดซัดยังคงไล่ล่าพวกเขาและเผาเหล่ายักษ์ตายไปทีละตนด้วยสายฟ้า ยักษ์ที่ยังเหลือรอดต่างสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวและสวดอ้อนวอนต่อกรัง คายน์



    "กรัง คายน์ ! กรัง คายน์ ! พวกเราสำนึกในความผิดพลาดของพวกเราแล้ว มีแต่ท่านเท่านั้นที่จะหยุดยั้งโทสะและความบ้าคลั่งของไอน์ฮัดซัดได้ โปรดอย่าปล่อยให้พวกเราต้องตายเลย เราผู้ซึ่งถือกำเนิดขึ้นจากสถานที่เดียวกับท่าน เราผู้ซึ่งเฉลียวฉลาดและแข็งแกร่งที่สุดในผืนแผ่นดินนี้!"



    กรัง คายน์ เกิดความรู้สึกสงสารสิ่งมีชีวิตที่น่าเวทนานี้ขึ้นมา และคิดว่าเหล่ายักษ์ได้ทนทุกข์ทรมานเพียงพอแล้วสำหรับโทษแห่งการล่วงละเมิดอำนาจของเทพ เขายกกระแสน้ำที่ลึกที่สุดจากทะเลใต้ขึ้นขวางเส้นทางของไอน์ฮัดซัด



    ไอน์ฮัดซัดตวาดด้วยโทสะ "นี่มันอะไรกัน?! ผู้ใดบังอาจมาขัดขวางข้า?! อีวา ธิดาที่รักของข้า กำจัดกระแสน้ำที่ขวางทางข้าออกไปเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นก็จงเตรียมตัวรับชะตากรรมเช่นเดียวกับพี่สาวเจ้า!"



    อีวาเกรงกลัวต่อไอน์ฮัดซัดยิ่งนัก และส่งกระแสน้ำกลับคืนสู่ทะเลทันที ไอน์ฮัดซัดไล่ล่ายักษ์ต่อไป สังหารพวกเขาทีละตน ยักษ์ที่เหลือร่ำร้องต่อกรัง คายน์ อีกครั้ง



    "กรัง คายน์ ! เทพเจ้าผู้ทรงพลังเหนือเทพใด! ไอน์ฮัดซัดยังคงไล่ล่าพวกเรา มุ่งมั่นจะกำจัดพวกเราให้สิ้น พวกเราวิงวอนต่อท่าน โปรดเมตตาและช่วยชีวิตพวกเราด้วย!"



    กรัง คายน์ ยกแผ่นดินที่เหล่ายักษ์ยืนอยู่ให้สูงขึ้น หน้าผาสูงชันขัดขวางการไล่ล่าของไอน์ฮัดซัด นางจึงตะโกนก้อง



    "มาเฟอร์ ธิดาที่รักของข้า! ผู้ใดบังอาจมาขัดขวางข้า?! ลดแผ่นดินนี้ลงเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นจงเตรียมตัวรับชะตากรรมเช่นเดียวกับพี่สาวเจ้า!"



    ด้วยความเกรงกลัวต่อถ้อยคำเหล่านี้ มาเฟอร์พยายามจะลดแผ่นดินนั้นให้ต่ำลง แต่กรัง คายน์ หยุดนางไว้



    "ไอน์ฮัดซัด ทำไมท่านช่างไม่รู้จักยอมแพ้เสียนะ? ทั้งโลกต่างรับรู้ความโกรธเกรี้ยวของท่านและพากันหวาดหวั่นต่อแรงโทสะของท่าน พวกยักษ์ที่รอบรู้ทว่าโง่เขลาก็รู้สำนึกในความผิดของพวกเขาแล้ว จงดูด้วยตาของท่านเองเถิด! เผ่าพันธุ์อันสูงส่งและภาคภูมิ ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยครองแผ่นดินนี้ บัดนี้ต้องหลบซ่อนอยู่บนผืนแผ่นดินแคบๆ และสั่นเทาด้วยความกลัวในขณะที่ไขว่คว้าหาหนทางที่จะหลบหนีจากท่าน! พวกเขาไม่สามารถจะท้าทายเทพเจ้าได้อีกต่อไป สถานที่นี้จะเป็นที่คุมขังของพวกยักษ์ไปชั่วนิรันดร์ สงบอารมณ์ลงเถิด การล้างแค้นของท่านลุล่วงสมบูรณ์แล้ว"



    ไอน์ฮัดซัดยังคงเดือดดาล หากนางก็ไม่สามารถจะต้านความประสงค์ของกรัง คายน์ ได้ ด้วยเขามีพลังเท่าเทียมกับนาง และจากคำพูดของกรัง คายน์ นางจึงตัดสินใจว่าจะปล่อยให้พวกยักษ์อยู่บนผืนดินอันคับแคบและแห้งแล้งเพื่อสำนึกบาปไปชั่วนิรันดร์แทนการสังหารพวกเขาจนหมดสิ้น นางยุติการไล่ล่าและกลับคืนสู่ที่พำนักของนาง



  4. #14
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ บ่าวเม้า
    วันที่สมัคร
    Jun 2006
    กระทู้
    207
    บทที่ 7 : ย้อนกลับมาสู่กองไฟอีกครั้ง



    ชายนิรนามหยุดเรื่องเล่าของเขาไว้ชั่วครู่



    ด้วยอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องที่เขาเล่า พวกเราไม่ได้ขยับเขยื้อนเลยในขณะที่เขาเล่าถึงประวัติศาสตร์ของโลกเรา แม้ว่าเสียงของเขาจะแผ่วเบาแต่ก็ดังก้องอยู่ในหัวของเราราวกับร่ายมนตร์ สงครามที่เขาเล่านั้นแตกต่างจากในเทพปกรณัมที่เรารู้โดยสิ้นเชิง แต่เราก็ไม่ได้คัดค้าน พวกเราส่วนมากเป็นนักรบที่ได้ผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชน หากก็ยังถูกดึงดูดเข้าหาชายนิรนาม และยังรู้สึกกดดัน ตึงเครียด กระทั่งหวาดกลัวต่อชายผู้นี้ เมื่อนกฮูกแถวนั้นโฉบผ่าน เราถึงกับสะดุ้งกับเสียงกระพือปีกที่ดังขึ้น



    บุรุษนิรนามหัวเราะเบาๆ ยกกล้องยาที่คุกรุ่นขึ้นจรดริมฝีปาก แล้วเล่าเรื่องของเขาต่อไป



    "อย่าเพิ่งมองข้ามเรื่องที่ข้าเล่าเพราะมันแตกต่างไปจากสิ่งที่ท่านเคยรู้เกี่ยวกับเทพเจ้า มันไม่มีหลักฐานใดที่จะพิสูจน์ว่านักบวชของพวกท่านจะรู้ข้อเท็จจริงมากไปกว่ากวีพเนจรผู้หนึ่ง ประวัติศาสตร์ของเหล่าเทพเจ้าคือความประสงค์ของเทพเจ้า มิใช่ของมนุษย์ ฉะนั้น นักบวชธรรมดาจะรู้ความจริงได้อย่างไร? ฟังสิ่งที่ข้าจะเล่าต่อไปนี้ให้ดี นี่คือเรื่องราวของดินแดนหลังจากที่เหล่าเทพเจ้าจากไป มันคือประวัติศาสตร์ของพวกท่านเอง"



  5. #15
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ บ่าวเม้า
    วันที่สมัคร
    Jun 2006
    กระทู้
    207
    บทที่ 8 : หลังสงคราม



    โลกได้ตกอยู่ในความโกลาหลครั้งใหญ่หลังจากการสาบสูญไปอย่างกะทันหันของยักษ์ ด้วยความเคยชินต่อการอยู่ภายใต้การปกครองของยักษ์ ทั้งเอลฟ์ ออร์ค ดวอร์ฟ และมนุษย์ จึงต้องเผชิญกับความเป็นจริงอันยากลำบากของการปกครองตนเอง และที่สุดของความเปลี่ยนแปลงอันน่าตระหนกนี้ก็คือ โลกที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้นตกอยู่ในสภาพเสียหายจากการทำลายของค้อนแห่งความสิ้นหวัง หลายชีวิตตายในหายนะจากน้ำมือของไอน์ฮัดซัด และมากกว่านั้นในสภาวะสับสนอลหม่านที่ตามมา เผ่าพันธุ์ทั้งหลายร่ำร้องวิงวอนต่อเทพเจ้าเพื่อหนทางที่จะหลุดพ้น หากเทพเจ้าก็ไม่ได้ให้คำตอบใดๆ

    ผู้ที่เข้าควบคุมสถานการณ์ในคราแรกคือเหล่าเอลฟ์ ด้วยพวกเขาคือเผ่าพันธุ์ที่รับผิดชอบด้านการปกครองในยุคสมัยของยักษ์ เอลฟ์ประสบความสำเร็จในการรวมเผ่าพันธุ์ต่างๆ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และยังคงดำเนินชีวิตของพวกเขาต่อไปได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็เริ่มเห็นได้ชัดว่าพวกเอลฟ์ไม่มีศักยภาพในการปกครองเช่นเดียวกับที่ยักษ์เคยมี พวกแรกที่ลุกขึ้นต่อต้านเอลฟ์ก็คือออร์ค

    "พวกเอลฟ์แข็งแกร่งกว่าเราเช่นนั้นหรือ? ไม่เลย! แล้วเอลฟ์มีสิทธิ์อะไรมาปกครองพวกเราหรือ? ไม่! เราจะไม่ยอมให้พวกที่อ่อนแอกว่าเราบังอาจมาอยู่เหนือเราอีกต่อไป!"


    กองกำลังของออร์คนั้นทรงพลังนัก และเหล่าเอลฟ์ผู้ซึ่งคุ้นเคยแต่กับสันตินั้นก็ย่อมไม่สามารถต่อกรกับออร์คผู้ทะนงและไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด ดินแดนส่วนใหญ่ตกอยู่ในการยึดครองของออร์คในทันที และเอลฟ์ก็ถูกขับไปจนสุดมุมแผ่นดิน ที่ซึ่งเหล่าเอลฟ์ได้ขอความช่วยเหลือจากดวอร์ฟ ซึ่งด้วยความมั่งคั่งและมหาศาลและยุทโธปกรณ์ชั้นเยี่ยม ก็มีโอกาสที่จะต้านทานพวกออร์คได้


    "เผ่าพันธุ์แห่งปฐพีเอย" เหล่าเอลฟ์ร้อง "มาให้ความช่วยเหลือแก่เราเถิด ฝูงออร์คอันโหดร้ายปฏิบัติต่อพวกเราอย่างทารุณด้วยกำลังของพวกเขา มาเถิด มาร่วมกันต่อสู้กับพวกนั้นเถิด"


    หากดวอร์ฟปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือแก่เอลฟ์อย่างเย็นชา ในสายตาของพวกเขา โลกได้เปลี่ยนอำนาจไปสู่มือของออร์คแล้ว ไม่มีเหตุผลใดที่ดวอร์ฟจะเข้าร่วมกับฝ่ายที่อ่อนแอ พวกเอลฟ์โกรธยิ่งนัก แต่ก็ไม่สามารถโน้มน้าวการตัดสินใจของดวอร์ฟได้

    พวกเอลฟ์ตัดสินใจมองหาความช่วยเหลือจากเผ่าพันธุ์แห่งลม อาร์เทียส ทักษะในการลาดตระเวนและการโจมตีทางอากาศของพวกเขาจะช่วยเหลือเอลฟ์ได้อย่างเพียงพอในการที่จะพิชิตชัยเหนือพวกออร์ค ผู้แทนแห่งเอลฟ์ได้เดินทางไปยังสุดขอบโลกเพื่อขอความช่วยเหลือจากอาร์เทียส


    "เผ่าพันธุ์แห่งวายุเอย มาให้ความช่วยเหลือแก่เราเถิด พวกออร์คป่าเถื่อนกดขี่พวกเราด้วยกำลังของพวกเขา เรามารวมกำลังกันและสั่งสอนให้พวกนั้นสำนึกในความโง่เขลาของตัวเองเถิด


    แต่เช่นที่เคย อาร์เทียสไม่ได้สนใจในการปกครองหรือสงครามบนโลก พวกเขาตัดสินใจไม่เข้าร่วมฝ่ายใด และซ่อนตัวลึกเข้าไปในแผ่นดิน พวกเอลฟ์ผิดหวังเป็นอันมาก



    "อนิจจา ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือแก่เราเลย! นี่จะเป็นจุดจบแห่งเผ่าพันธุ์เราเสียแล้วหรือ? พวกออร์คสกปรกเลวทรามนั่นจะได้ครอบครองดินแดน และยึดเอาความรุ่งเรืองมั่งคั่งทั้งหมดไปเป็นของพวกมันเช่นนั้นหรือ?"



  6. #16
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ บ่าวเม้า
    วันที่สมัคร
    Jun 2006
    กระทู้
    207
    บทที่ 9 : พันธมิตรใหม่



    เมื่อถูกปฏิเสธโดยพวกดวอร์ฟหัวรั้นและอาร์เทียสที่วางตัวเป็นกลาง เหล่าเอลฟ์ก็ไม่เหลือพันธมิตรใดที่จะทำสงครามกับออร์ค ในขณะที่พร่ำรำพันต่อชะตากรรมของตนนั้นเอง พวกเอลฟ์ก็ต้องประหลาดใจเมื่อบุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น ชายผู้นั้นคุกเข่าลงเบื้องหน้ากษัตริย์เอลฟ์ ผู้ซึ่งเพ่งมองให้ถนัดและพบว่าบุรุษนิรนามนั้นเป็นผู้แทนชาวมนุษย์ เขาสวมมงกุฎที่ทำจากกิ่งไม้


    "อะไรกันนี่ ผู้นำของพวกมนุษย์ต่ำต้อยหรือ?" กษัตริย์เอลฟ์ถาม "เจ้ามาเพื่อเยาะเย้ยสภาพที่สิ้นหวังของพวกเราหรือ?"


    มนุษย์ผู้นั้นค้อมศีรษะและกล่าวว่า "ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก องค์กษัตริย์ผู้ปรีชา เรามาเพื่อดูว่ากองกำลังอันอ่อนแอของเราอาจเป็นประโยชน์ใดได้บ้าง"


    พวกเอลฟ์ต่างปลื้มปิติ ด้วยแม้ว่าพวกมนุษย์จะโง่เขลาและอ่อนแอ หากจำนวนอันมากมายของพวกเขานั้นก็จะเป็นความช่วยเหลือที่ดีในการศึก

    "ท่านช่างน่าสรรเสริญนัก กษัตริย์มนุษย์" กษัตริย์เอลฟ์ยอมรับในที่สุด "พวกท่านอาจไม่ได้มีความสำคัญอะไรนัก แต่การอุทิศตนด้วยความซื่อสัตย์และความเต็มใจที่จะเสียสละชีวิตของพวกท่านเพื่อเรานั้นน่ายกย่องนัก จงไปสู้รบและคว้าชัยมาให้ได้ แล้วพวกท่านจะได้ยืนอยู่อย่างเท่าเทียมกับพวกเราชาวเอลฟ์"

    กษัตริย์มนุษย์ค้อมกายต่ำต่อกษัตริย์เอลฟ์ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นสบกับพันธมิตรชาวเอลฟ์ "กษัตริย์เอลฟ์ผู้สูงส่งเหนือผู้ใด" เขากล่าว "พวกเราชาวมนุษย์มีเรื่องจะขอร้องท่านข้อหนึ่งก่อนที่เราจะสู้เพื่อชัยชนะอันรุ่งเรืองของเผ่าเอลฟ์ พลังของพวกเรานั้นอ่อนแอยิ่งนัก ฟันของเราไม่สามารถแม้แต่จะสร้างรอยข่วนให้กับผิวหนังของออร์ค เล็บของพวกเราก็ไร้ประโยชน์ต่อกล้ามเนื้อของพวกเขา เราขอร้องท่าน มอบพลังที่จะสู้กับพวกออร์คได้ให้เราเถิด สอนเวทมนตร์ของพวกท่านให้แก่เรา"

    ข้อเสนออันอาจหาญนี้ทำให้เอลฟ์ตกใจและเดือดดาลเป็นอันมาก สอนเวทมนตร์ให้กับมนุษย์น่ะหรือ? ไม่มีวัน! พวกเขาขยับจะร่ายมนตร์สาปให้มนุษย์นั้นกลายเป็นกองเถ้าถ่าน หากผู้นำเอลฟ์ เวโอรา ยื่นมือเข้าไกล่เกลี่ย นางรู้สึกว่าข้อเรียกร้องนั้นไม่ใช่การข่มขู่ และสมควรได้รับเกียรติตามที่ขอ พวกมนุษย์นั้นอ่อนแอเหลือเกิน และน่าสงสัยนักว่าพวกเขาจะโค่นล้มออร์คได้อย่างไรโดยปราศจากความช่วยเหลือ และด้วยจิตใจอันต่ำต้อยของมนุษย์นั้น พวกเขาไม่อาจแม้แต่จะเรียนรู้เวทมนตร์ได้เสียด้วยซ้ำ และดังนั้นนางจึงทำการตัดสินใจอันต้องแลกด้วยชีวิตของนางเองในเวลาต่อมา


    พวกมนุษย์ซึมซับวิถีแห่งเวทมนตร์อย่างรวดเร็ว เรียนรู้ได้เร็วกว่าที่เอลฟ์คาดไว้มาก แม้ว่าร่างกายของมนุษย์จะไม่แข็งแกร่งเท่าออร์ค แต่พวกเขาก็แข็งแรงขึ้นจากการทำงานหนักตลอดเวลา และการต่อสู้กันเองภายในเผ่า สองมือของพวกเขาสามารถกวัดแกว่งอาวุธได้อย่างช่ำชอง และเหนือสิ่งอื่นใด จำนวนของพวกเขานั้นมากมายมหาศาล ภายในระยะเวลาอันสั้น กองทัพมนุษย์ก็กลายเป็นกองกำลังอันน่าเกรงขาม


    (t(t(t(t

  7. #17
    บทที่ 3 : สงครามทวยเทพ

    พ่อทำผิดต่อลูก...เป็นเรืองที่เศร้าจังเลย...

    บทที่ 4 : น้ำท่วมใหญ่

    อีวา..ผู้นำล้มเหลวลูกน้องล้มตาม

  8. #18
    ฝ่ายบริหารระดับสูง สัญลักษณ์ของ พล พระยาแล
    วันที่สมัคร
    Mar 2008
    กระทู้
    6,430
    แอ๊ !! อ่านแล้ว แบบว่าจำไม่ได้อ่ะ ไผเป็นไผ

  9. #19
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ บ่าวเม้า
    วันที่สมัคร
    Jun 2006
    กระทู้
    207
    บทที่ 10 : พันธมิตรกลับกลายเป็นศัตรู



    พันธมิตรของมนุษย์และเอลฟ์ค่อยๆ มีชัยเหนือออร์คทีละน้อย และเมื่อความได้เปรียบกลับมาเป็นของฝ่ายพันธมิตร พวกดวอร์ฟก็เปลี่ยนมาสร้างยุทโธปกรณ์ให้แก่มนุษย์ ด้วยชุดเกราะที่แข็งแกร่งขึ้น และอาวุธของดวอร์ฟอันคมกล้า พวกมนุษย์ก็สามารถโค่นกองทัพของออร์คลงได้โดยไม่ต้องพึ่งความช่วยเหลือจากกองกำลังของเอลฟ์เลย


    พวกเอลฟ์เริ่มวิตกกังวล ถึงแม้ว่าพันธมิตรจะมีชัยเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ พวกเขารู้สึกได้ว่าพวกมนุษย์กำลังแข็งแกร่งขึ้น และอยู่เหนือการควบคุมของพวกเขา แต่กระนั้น พวกเอลฟ์ก็ไม่ได้ปล่อยให้ความกระวนกระวายนี้มารบกวนจิตใจ ด้วยพวกเขาไม่อาจจะคาดคิดได้ว่าพวกชั้นต่ำอย่างมนุษย์ไร้ค่านี้จะลุกขึ้นมาก่อการปฏิวัติได้ และในเมื่อชัยชนะครั้งสุดท้ายเหนือพวกออร์คอยู่เพียงแค่เอื้อม พวกเอลฟ์ก็ไม่มีเวลาจะมานั่งกังวลกับพวกมนุษย์ พวกมนุษย์ยังคงเรียนรู้เวทมนตร์ชั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุด สงครามก็จบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายพันธมิตรมนุษย์และเอลฟ์ พวกออร์คถูกบังคับให้ลงนามในสัญญาสันติภาพอันน่าอับอายและล่าถอยไปยังที่ซ่อนอันปลอดภัยทางตอนเหนือของเอลมอร์อย่างรวดเร็ว


    ผู้นำของออร์คหัวเราะในขณะที่เขาจากไป "เจ้าเอลฟ์โง่เง่า ชัยชนะครั้งนี้ไม่ใช่ของพวกเจ้าหรอก แต่เป็นของมนุษย์โสโครกพวกนั้นต่างหาก เจ้าคาดหวังว่าจะควบคุมอสุรกายที่พวกเจ้าสร้างขึ้นมาเองนี่ได้อย่างไรหรือ?"


    จริงดังคำพูดอันเจ็บแสบนี้ บัดนี้เอลฟ์ต้องเผชิญกับการคุกคามครั้งใหม่...พวกมนุษย์ แต่หลังจากสงครามอันยาวนาน เหล่าเอลฟ์ต่างก็เหน็ดเหนื่อยและอ่อนแรงเกินกว่าจะต่อสู้ ในทางกลับกัน พวกมนุษย์แข็งแกร่งขึ้นด้วยพลังแห่งเวทมนตร์ และดังนั้น พวกมนุษย์ก็ตั้งตัวต่อต้านเอลฟ์

    สายเกินไปเสียแล้ว เอลฟ์ได้ตระหนักว่าที่ตนได้ปกป้องไปนั้นที่แท้คือปิศาจร้าย สงครามอันโหดร้ายระหว่างเวทมนตร์กับเวทมนตร์ได้สั่นสะเทือนแผ่นดินอีกครั้ง แต่พวกเอลฟ์นั้นอ่อนล้าเกินกว่าจะยับยั้งกำลังของมนุษย์ได้ พวกเอลฟ์ถูกขับให้ถอยร่นไปช้าๆ จนกระทั่งต้องล่าถอยไปยังร่มเงาของป่าอันปลอดภัย จากที่มั่นอันมั่นคง พวกเขาก็เตรียมการสำหรับการปะทะครั้งสุดท้ายกับพวกมนุษย์ เวทมนตร์เอลฟ์นั้นแข็งแกร่งที่สุดในบริเวณป่าเหล่านี้ และพวกเขาก็หาทางที่จะใช้ความได้เปรียบนี้เพื่อคว้าชัยชนะ


    พวกเอลฟ์ขุดอุโมงค์ลึกใต้ดินซึ่งจะสะท้อนเสียงปะทะของอาวุธและเสียงตะโกนของการสู้รบได้อย่างรวดเร็ว แต่ชัยชนะทั้งหมดตลอดสามเดือนของการโอบล้อมก็ตกเป็นของมนุษย์ ไม่ว่าจะด้วยความภาคภูมิใจของเอลฟ์ หรืออำนาจเวทมนตร์แห่งป่าเอลฟ์ หรือแม้กระทั่งเวทมนตร์ที่เหนือกว่าของเอลฟ์ ก็ไม่อาจจะต้านทานกับกระแสที่ไม่มีที่สิ้นสุดของกองกำลังมนุษย์ได้ พวกเอลฟ์ต้องประสบกับความเสียหายครั้งยิ่งใหญ่ และท้ายที่สุดก็หลบหนีลึกเข้าไปในป่า ในการล่าถอยนี้ พวกเขาได้สร้างอาณาเขตคุ้มครองอันแข็งแกร่งขึ้นรอบบริเวณป่าของพวกเขาเพื่อป้องกันมิให้มนุษย์หรือเผ่าอื่นใดล่วงล้ำเข้ามาได้

    และดังนี้เอง มนุษย์จึงกลายเป็นผู้พิชิตเหนือดินแดนทั้งหมด


    บทที่ 11 : กลับมาสู่กองไฟอีกครา



    ชายพเนจรเงยหน้าขึ้น เรื่องเล่าล่าสุดของเขาจบลงแล้ว

    เรื่องราวนี้แตกต่างไปจากทุกเรื่องที่พวกเราเคยได้ฟัง แต่เราก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด หญิงสาวเอลฟ์ผู้งดงามในคณะของเรานั่งเงียบ น้ำตาคลออยู่ในดวงตาทั้งสอง


    รัตติกาลล่วงผ่านไปในขณะที่ชายนิรนามเล่าเรื่อง และในเวลานี้ก็ไม่มีเสียงร้องของสัตว์ป่าให้ได้ยิน ไม่มีเสียงลมพัดผ่านยอดไม้เหนือศีรษะ แม้แต่เสียงน้ำในลำธารที่ไหลผ่านก็ฟังแผ่วเบาลงไป มีเพียงเสียงลมหายใจของเราและเสียงปะทุของฟืนในกองไฟที่ดังอยู่ในความเงียบสงัดของราตรีนี้ ราวกับว่าทุกสิ่งในธรรมชาติรอบกายเราต่างก็กลั้นหายใจเพื่อฟังเรื่องราวที่กำลังถูกเล่าขาน ณ ข้างกองไฟนี้

    พวกเราเอนกายเข้าหากัน ในขณะที่ชายผู้นั้นกระแอมในลำคอ และเริ่มเล่าเรื่องต่อ ..

    "นั่นละ มันจะไม่ดูขัดแย้งไปหน่อยหรือ ที่สิ่งมีชีวิตอันต่ำต้อยที่สุดอย่างพวกมนุษย์ จะเป็นผู้ครองอำนาจเหนือดินแดนทั้งหมด? แต่นั่นก็เป็นผลจากเจตนารมณ์ของมนุษย์ แม้กระทั่งเหล่าเทพเจ้าก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะมีวันที่มนุษย์จะเป็นผู้ครองโลกนี้ได้



    "คราวนี้ ข้าจะเล่าให้ท่านฟังถึงเรื่องราวของอาณาจักรมนุษย์อันรุ่งเรืองที่สุดที่เคยมีมา นี่คือเรื่องราวของพวกมนุษย์ที่เดินตามรอยเดิมของเหล่ายักษ์"


    บทที่ 12 : ประวัติศาสตร์ถูกจารึกใหม่



    ในช่วงสงครามอันยาวนานระหว่างออร์คและเอลฟ์ พวกมนุษย์ได้เริ่มก่อตั้งอาณาจักรแรกเริ่มขึ้นในหมู่พวกเขา กลุ่มแกนนำประกอบด้วยตระกุลอธีนา และเหล่ามนุษย์ผู้เชี่ยวชาญในเวทมนตร์ พวกเขาปกป้องจำนวนของตนด้วยกำลัง จัดระเบียบด้วยการข่มขู่ และเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้น้อยใหญ่เป็นครั้งคราว

    ระบบระเบียบต่างๆ ถูกจัดการอย่างรวดเร็ว เมื่อชูไนมาน ผู้นำตระกุลอธีนาได้ผนึกแคว้นซึ่งในปัจจุบันรู้จักกันในชื่อว่าอาเดน และเอลมอร์ เข้าด้วยกัน เขาเรียกอาณาจักรของตนว่า เอลมอเรเดน และสถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิ มงกุฎกิ่งไม้ที่เคยประดับหน้าผากของบรรพชนเปลี่ยนเป็นมงกุฎทองคำกับอัญมณีแวววามที่มาสวมเหนือศีรษะเขา ในตำนานที่เล่ากันมาในหมู่ชนรุ่นหลังนั้น เขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้มีตัวตนอยู่ที่ใกล้เคียงกับเทพเจ้าเลยทีเดียว

    จักรพรรดิชูไนมานวิตกถึงข้อจำกัดในชีวิตของมนุษย์ ข้อเท็จจริงที่ว่ากรัง คายน์ เทพแห่งความตายและการทำลายล้างเป็นผู้สร้างมนุษย์ขึ้นนั้น ทำให้มนุษย์มีปมด้อยในฐานะอันต้อยต่ำ นอกจากนั้น ที่เล่ากันว่าพวกเขาถูกสร้างขึ้นจากเศษเหลือเดนของเผ่าพันธุ์อื่นๆ นั้น เป็นเรื่องที่น่าอัปยศยิ่งนักต่อผู้ครองแผ่นดิน เพื่ออาณาจักรใหม่ของพวกเขา พวกเขาต้องการตำนานใหม่ ประวัติศาสตร์ใหม่ที่จะแสดงตัวตนของพวกเขาว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเกียรติ

    ในท้ายที่สุด ด้วยการปฏิรูปทางศาสนาครั้งใหญ่ ชูไนมานก็ได้ยกไอน์ฮัดซัดขึ้นเป็นเทพีแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์แทนที่กรัง คายน์ เทพปกรณัมและประวัติศาสตร์ถูกเปลี่ยนแปลง และเหล่าผู้ที่ศึกษามนตร์ดำ รวมทั้งผู้ที่นับถือกรัง คายน์ ก็ถูกปฏิบัติอย่างโหดร้าย การปฏิรูปทางศาสนาดำเนินต่อเนื่องนับชั่วอายุคน และในที่สุดมนุษย์ทั้งหมดก็เชื่อว่าไอน์ฮัดซัด เทพีแห่งความดีงาม คือผู้ที่สร้างพวกเขาขึ้น และกรัง คายน์ ก็เป็นเพียงเทพแห่งความชั่วร้าย เมื่อได้รู้เรื่องนี้ กรัง คายน์ ก็หัวเราะเป็นการตอบรับ

    "ถึงพวกเขาจะไม่บูชาข้า ข้าก็ไม่โกรธหรอก แต่เจ้าพวกมนุษย์โง่เง่าเอ๋ย ไม่ว่าพวกเจ้าจะพยายามปิดฟ้าด้วยมือของเจ้าอย่างไร ท้องฟ้านั้นที่แท้แล้วเล็กกว่ามือของพวกเจ้าหรือ?"

  10. #20
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ บ่าวเม้า
    วันที่สมัคร
    Jun 2006
    กระทู้
    207
    บทที่ 13 : เอลมอร์ อาเดนและพีเรียส



    ในขณะที่จักรพรรดิชูไนมานและอาณาจักรเอลมอร์ อาเดนเจริญรุ่งเรืองขึ้น ดินแดนเกรเซียอีกฟากของทะเลยังคงตกอยู่ในภาวะสับสนวุ่นวาย สภาพภูมิศาสตร์ของเกรเซียนั้นหลากหลายและอันตราย และในขณะที่กลุ่มคนมากมายต่อสู้เพื่ออำนาจที่จะควบคุมนั้น ก็ไม่มีพลังอำนาจใดที่เข้มแข็งพอจะรวมอำนาจขึ้นปกครองทั้งหมดได้ อาณาจักรเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่ทั่ว เรียกร้องการแบ่งสรรที่ดิน และก่อการปะทะเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงการต่อสู้ที่รุนแรง เพื่อช่วงชิงอำนาจความเป็นใหญ่ในการปกครอง

    แล้ววันนั้นก็มาถึง เมื่อกองทัพอันแข็งแกร่งของเอลมอร์ อาเดนได้รุกผ่านทะเลตะวันตก เข้าสู่ดินแดนเกรเซีย และบรรดาอาณาจักรน้อยใหญ่ในเกรเซียก็ถูกบีบให้รวมตัวกันเพื่อป้องกันตัวเอง เชื้อพระวงศ์และขุนนางจำนวนมากถูกฆ่าไปในการนี้ ส่วนขุนนางที่เหลือรอดก็มีอำนาจมากขึ้น สุดท้าย การบุกของเอลมอร์ อาเดนก็ถูกต้านไว้ได้ กระนั้น มันก็ส่งผลให้เกิดการรวมตัวกันสร้างอาณาจักรที่เป็นปึกแผ่นแห่งเกรเซีย อาณาจักรนี้ได้ชื่อว่า พีเรียส

    ในกาลต่อมา พีเรียสและเอลมอร์ อาเดนก็ยังคงตกอยู่ในภาวะที่มีการช่วงชิงอำนาจกันอย่างต่อเนื่อง เอลมอร์ อาเดน ซึ่งเป็นอาณาจักรแรกที่ก่อตั้งขึ้นและถือครองกำลังทหารที่แข็งแกร่งนั้นนับว่าเหนือกว่ามาก แต่พีเรียสก็มีข้อได้เปรียบอยู่ ประการแรกคือทะเลที่แยกทั้งสองอาณาจักรออกจากกันนั้นก็ได้ช่วยจำกัดเส้นทางบุกของเอลมอร์ อาเดน และที่สำคัญอีกข้อก็คือ ชาวพีเรียสนั้นมีสิ่งที่ตกทอดมาจากเหล่ายักษ์ ซึ่งสามารถนำมาใช้เพื่อความได้เปรียบทางการทหารได้

    แม้ว่าจะด้วยกำลังอันล้นเหลือ แต่สุดท้ายแล้วกองทัพแห่งเอลมอร์ อาเดนก็ไม่สามารถพิชิตชัยเหนือพีเรียสได้


    บทที่ 14 : เบเลธและหอคอยงาช้าง



    อาณาจักรเอลมอร์ อาเดนนั้นเป็นที่ตั้งของหอคอยงาช้าง สถาบันแห่งการศึกษาเวทมนตร์ เหล่านักเวทที่ทำงานอยู่ในหอคอยงาช้างนี้ได้พยายามจะฟื้นฟู ศึกษา และพัฒนาเวทมนตร์ของยักษ์ในกาลก่อน ความชำนาญในเวทมนตร์ของบรรดาปราชญ์แห่งหอคอยนี้ยิ่งใหญ่นัก และในสมัยหนึ่ง อิทธิพลของพวกเขาที่มีต่ออาณาจักรนั้นก็ใกล้เคียงกับองค์จักรพรรดิเลยทีเดียว

    ในบรรดาผู้คนในหอคอยงาช้างนี้ เบเลธเป็นจอมเวทที่เก่งกาจที่สุด และนับว่าเป็นอัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เคยเกิดมาบนโลกนี้ เขาหลงใหลในเวทมนตร์ของยักษ์ และหาทางจนได้มาซึ่งพลังเกือบทั้งหมดของยักษ์ แต่พลังของยักษ์นั้นเป็นพลังต้องสาปสำหรับมนุษย์ ยิ่งเมื่อได้ครอบครอง ความปรารถนาและกระหายที่จะควบคุมมันของเบเลธก็ยิ่งทวีรุนแรงขึ้น ด้วยความตระหนก ทางอาณาจักรและเหล่านักเวทแห่งหอคอยงาช้างจึงผนึกกำลังกันเพื่อปลดปล่อยตัวเองจากเบเลธ แต่เบเลธก็ได้ครอบครองพลังอำนาจแห่งศาสตร์มืดอันร้ายกาจยิ่งนัก

    ในที่สุด เหล่านักเวทแห่งหอคอยงาช้างจึงใช้มนตร์ดำต้องห้ามในการสกัดอำนาจของเบเลธเพื่อจะล่อดักและผนึกไว้ใต้หอคอย แต่ทั้งที่เหล่าอัศวินและจอมเวทเฝ้ารักษาผนึกอยู่ เบเลธก็ทำลายผนึกและหลบหนีไปได้สำเร็จ เขาหนีไปยังเกาะเฮลบาวนด์เพื่อฟื้นฟูกำลัง และดำเนินตามความทะเยอทะยานที่จะพิชิตแผ่นดินต่อไป

    มนตร์ดำที่ใช้เพื่อดักเบเลธนั้นยังคงเหลือผลกระทบอื่นที่ตามมา ดินแดนทางตอนใต้ซึ่งในปัจจุบันคือกลูดิโอนั้นตกอยู่ในภาวะเสียหายเนื่องจากมนตร์ดำ และผู้คนมากมายก็ล้มตายเมื่อมนตร์ถูกร่าย อาณาจักรกล่าวโทษเบเลธกับสิ่งที่เกิดขึ้น และแพร่ข่าวออกไปว่าเบเลธนั้นคือปิศาจท่ามกลางมวลมนุษย์

    บทที่ 15 : ความขัดแย้งในหมู่เอลฟ์



    ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในป่าเอลฟ์ในช่วงเวลานี้ หลังจากที่สูญเสียอำนาจการปกครองผืนแผ่นดินให้แก่มนุษย์ เหล่าเอลฟ์ก็ค่อยๆ ลดความลำพองลงทีละน้อย พวกเขาลืมความใฝ่ฝันที่จะครองแผ่นดินและพอใจกับชีวิตอันสงบสุขในป่า

    ยังมีเอลฟ์อยู่กลุ่มหนึ่งที่เป็นที่รู้จักในชื่อ บราวน์เอลฟ์ ซึ่งไม่พอใจกับความสงบของเหล่าเอลฟ์ ด้วยแนวทางแห่งปณิธานอันแรงกล้า พวกเขายืนกรานว่าสงครามกับพวกมนุษย์จะต้องดำเนินต่อไป ถึงแม้ว่านั่นจะหมายถึงการใช้มนตร์ดำต้องห้ามก็ตาม แต่อย่างไรก็ตาม จุดยืนนี้ก็ต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากเอลฟ์ที่

    ในช่วงเวลานี้เอง นักเวทชาวมนุษย์คนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในหมู่พวกบราวน์เอลฟ์ เขาเข้าไปหาผู้นำของบราวน์เอลฟ์และกล่าวว่า

    "กษัตริย์แห่งบราวน์เอลฟ์เอย ท่านปรารถนาอำนาจ แต่เหล่าทรีเอลฟ์ผู้อ่อนแอและผู้ที่สนับสนุนนั้นเกรง กลัวว่าพวกท่านจะบรรลุถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่พวกท่านสมควรจะได้รับ พวกเขาเพียงแค่กังวลว่าท่านจะโจมตีพวกเขาหรือนำมาซึ่งภัยที่ร้ายแรงกว่านั้นโดยการไปยั่วโทสะพวกมนุษย์ ความคิดอันอ่อนแอพวกนั้นนั่นเองที่เป็นตัวก่อให้เกิดความอ่อนแอในเผ่าพันธุ์เอลฟ์ดังที่เป็นอยู่นี้"

    ผู้นำแห่งบราวน์เอลฟ์ตอบอย่างระมัดระวัง "ท่านเป็นใครกัน นักเวทมนุษย์หรือ? ท่านมีจุดประสงค์ใดกันจึงต้องมาปั่นหัวพวกเรา"

    "นามของข้าคือดาสพาเรียน และข้าก็เป็นเพียงนักเวทธรรมดาคนหนึ่ง แต่ข้าครอบครองพลังที่ท่านปรารถนา ข้าสามารถช่วยท่านให้บรรลุถึงเป้าหมายของท่าน และเพื่อเป็นการตอบแทน ท่านต้องให้ข้าในสิ่งที่ข้าปรารถนา"

    "สิ่งที่ท่านปรารถนาหรือ? มันคืออะไรกันเล่า?"

    "ความเยาว์วัยของท่าน ความลับแห่งชีวิตนิรันดร์" รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นที่มุมปากของดาสพาเรียน "ถึงแม้ว่าข้าจะเชี่ยวชาญเวทมนตร์คาถา แต่ข้าก็ยังคงเป็นมนุษย์ และอายุขัยของข้าก็ไม่ถึงแม้กระทั่งแค่หนึ่งร้อยปี ดังนั้น กษัตริย์แห่งบราวน์เอลฟ์ ท่านจะตัดสินใจอย่างไร? เราสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อจะบรรลุถึงความปรารถนาของเราทั้งคู่"

    ด้วยแรงยั่วยวนของอำนาจแห่งมนตร์ดำที่ดาสพาเรียนครอบครอง พวกบราวน์เอลฟ์ก็ตกลงรับข้อเสนอของเขา และฝึกฝนศาสตร์มืดภายใต้การชี้นำของเขา ฝ่ายดาสพาเรียนก็ได้เรียนรู้ถึงความเป็นอมตะและจากไปอย่างพึงพอใจ

    เมื่อได้รับรู้เหตุการณ์นี้ พวกเอลฟ์ก็ขับบราวน์เอลฟ์ ซึ่งละทิ้งไอน์ฮัดซัดและเดินตามวิถีของกรัง คายน์ออกจากเผ่า การต่อสู้เกิดขึ้นในระหว่างเอลฟ์ทั้งหมด พวกบราวน์เอลฟ์ ดำเนินตามแผนของดาสพาเรียน ได้ร่ายคาถาแห่งความตายหมายจะกวาดล้างทรีเอลฟ์ให้สูญสิ้น แต่ด้วยลมหายใจสุดท้ายแห่งทรีเอลฟ์ พวกเขาได้ร่ายคำสาปใส่บราวน์เอลฟ์ คำสาปนั้นทำให้ป่าของพวกบราวน์เอลฟ์ผุพังเสื่อมโทรม และพวกบราวน์เอลฟ์ก็กลายเป็นเผ่าพันธุ์แห่งความมืด หลังจากนั้น บราวน์เอลฟ์ก็เป็นที่รู้จักกันในนาม ดาร์คเอลฟ์


    บทที่ 16 : จุดสิ้นสุดของยุคทอง



    ยุคทองแห่งเอลมอร์ อาเดนมาถึงในประมาณหนึ่งพันปีหลังจากการก่อตั้ง ในรัชสมัยของจักรพรรดิไบอุม ด้วยความเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยม ไบอุมได้สร้างกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของอาณาจักร กองทัพนี้ขับไล่พวกออร์ค ซึ่งครองอิทธิพลอยู่พอสมควรในทางเหนือของเอลมอร์ ให้ถอยร่นเข้าไปสู่ป่าดำ ซึ่งเป็นที่รู้จักในภายหลังว่าอาณาจักรออร์ค นอกจากนี้ กองทัพของไบอุมยังได้โจมตีอาณาจักรพีเรียสครั้งแล้วครั้งเล่า และในที่สุดก็ได้ยึดครองดินแดนทางตอนใต้ของเกรเซียเป็นผลสำเร็จ

    ในช่วงบั้นปลายชีวิต ไบอุมก็คลายความสนใจในการพิชิตชัย และใช้กองกำลังของอาณาจักรมาเริ่มการก่อสร้างหอคอยอันงดงามที่สูงเทียมเมฆ

    "ชื่อของข้าเป็นที่เกรงขามไปทั่วทุกมุมทวีป ชีวิตนับหมื่นอาจอยู่หรือตายเพียงข้าขยับมือ ข้าครองอำนาจโดยสมบูรณ์ แต่ข้าจะครองอำนาจนี้อยู่ได้อีกไม่กี่สิบปีเท่านั้น ข้าทนสิ่งนี้ไม่ได้! ไม่ ข้าจะต้องได้รับชีวิตอมตะจากเทพเจ้า และครองอาณาจักรของข้าไปชั่วนิรันดร์!"

    หอคอยอันงดงามเป็นสง่าจากการออกแบบของไบอุมใช้เวลาสามสิบปีในการสร้าง เขาหมายจะใช้หอคอยนี้เป็นทางที่จะไต่ขึ้นสู่ที่พำนักของเหล่าเทพเพื่อที่จะได้รับชีวิตอมตะ เมื่อเขาไต่หอคอยขึ้นไป เทพเจ้าก็เห็นถึงแผนการของเขา และตอบกลับมาดังนี้

    "บุตรแห่งมนุษย์อันต่ำต้อย เจ้าบังอาจทำให้ที่พำนักของเราต้องแปดเปื้อนเพื่อชีวิตอมตะของเจ้าหรือ? เจ้าไม่ได้เรียนรู้อะไรจากบทเรียนของพวกยักษ์เลยหรือ? อย่างนั้นก็ดี หากชีวิตนิรันดร์คือสิ่งที่เจ้าปรารถนา เราก็จะให้ตามที่เจ้าขอ แต่เจ้าจักไม่ได้ออกจากหอคอยของเจ้าอีกตลอดไป"

    ด้วยการนำโทสะแห่งเทพเจ้ามาสู่ตัวเอง ไบอุมจึงติดอยู่บนยอดหอคอยของตนไปชั่วนิรันดร์ หลังจากการหายตัวไปอย่างกะทันหันของจักรพรรดิ การแข่งขันอันรุนแรงจึงเกิดขึ้นในหมู่เชื้อพระวงศ์ด้วยต่างก็แก่งแย่งสิทธิ์ที่จะขึ้นครองราชย์ ขุนนางจำนวนมากก็พากันฉวยโอกาสเรียกร้องสิทธิในราชบัลลังก์ ทำให้อาณาจักรแห่งเอลมอร์ อาเดนทั้งหมดตกอยู่ในสภาวะความขัดแย้งภายใน แรงเงินและแรงงานที่สูญไปในการก่อสร้างหอคอยนั้นทำให้อาณาจักรอ่อนแอลงอยู่แล้ว ความขัดแย้งและการทรยศหักหลังที่เพิ่มเข้ามาอีกเมื่อบัลลังก์ไร้ผู้ครองนี้เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้าย อาณาจักรเอลมอร์ อาเดนอันรุ่งเรือง ครองอำนาจเหนือแผ่นดินมากว่าพันปี ตกอยู่ในภาวะตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว และภายในเวลาเพียงยี่สิบปี อาณาจักรก็ล่มสลายลง

หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 3 หน้า หน้าแรกหน้าแรก 123 หน้าสุดท้ายหน้าสุดท้าย

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •