กำลังแสดงผล 1 ถึง 5 จากทั้งหมด 5

หัวข้อ: ศิลปะแห่งการให้อภัย

  1. #1
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ ต้นข้าว
    วันที่สมัคร
    Dec 2007
    กระทู้
    588

    ศิลปะแห่งการให้อภัย

    ศิลปะแห่งการให้อภัย


    การให้อภัยเป็นเรื่องที่ดี แต่พอให้อยู่เสมอ กลับกลายเป็นต้องยอมอยู่ตลอด
    เพราะคนที่ได้รับการอภัยไม่เคยสำนึกได้เลยว่าทำอะไรไม่ดีไว้บ้าง
    ยังคงเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ควรทำอย่างไร

    การให้อภัยเป็นสิ่งที่ดี ไม่มีใครเถียง แต่การ "ให้อภัยอยู่เสมอ" นี่เอง
    คือสาเหตุที่ทำให้การอภัยนั้นไม่มีราคา ไม่มีน้ำหนัก ไม่มีความหมาย
    ในใจของผู้รับ

    สาเหตุก็เพราะคุณกำลังทำผิดหลักการของการให้อภัยที่แท้

    การให้อภัยที่ถูกนั้นควรให้เพียงครั้งเดียวหรือสองครั้งเท่านั้น ถ้ามีการ
    ให้อภัยจนเป็นเรื่องปกติก็ไม่ใช่ความผิดของผู้ทำผิด หากแต่เป็นความผิด
    ของผู้ให้อภัยเอง ที่ให้ไม่เป็น หรือไม่มีศิลปะของการให้ การให้อภัย
    ซ้ำซากคือการลดคุณค่าของการให้อภัย หรือคือการแสดงให้เห็นว่าสิ่ง
    ที่ทำผิดพลาดไปไม่ใช่เรื่องใหญ่โต

    ในทางพุทธศาสนา เวลาให้อภัยใคร ท่านวางขั้นตอนดังนี้

    1. ผู้ทำผิดต้องตระหนักรู้ถึงความผิดที่ได้ทำลงไปแล้ว
    2. ตัวผู้ทำผิดนั้นเกิดความรู้สึกอยากจะขอโทษ
    3. พยายามขอโทษด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง
    4. ผู้ที่เหนือกว่าเขายกโทษให้ (= ให้อภัย)
    5. ก่อนจะยกโทษ มีการชี้แจงความผิดและชี้ทางออกที่ถูกต้องให้
    6. ผู้ทำผิดและมาขอให้บยกโทษให้ ตั้งใจว่าจะปรับปรุงตัว บางที
    อาจมีการปฏิญาณตนว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในทางที่ถูกต้อง

    ลองทบทวนดูว่าทำไมการให้อภัยของคุณจึงให้ผลในทางลบ ทั้งที่
    การให้อภัยเป็นเรื่องที่ดี

    ในประเทศญี่ปุ่น มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเกเร ติดเหล้า ติดการพนัน
    แม่ห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง จนปัญญาจะทำให้กลับตัวเป็นคนดีได้
    หลวงลุงซึ่งบวชเป็นพระเซนอยู่ทราบเรื่อง รีบเดินทางกลับมายัง
    บ้านน้องสาวและพำนักที่บ้านหลังนั้นหนึ่งคืน เช้ามาขณะกำลังจะ
    เดินทางกลับ หลวงลุงหารองเท้ามาสวมด้วยด้วยกิริยางก ๆ เงิ่น ๆ
    เจ้าหนุ่มที่เพิ่งฟื้นจากอาการเมาแอ๋กลับจากบ่อนเมื่อใกล้รุ่ง จึงกุลีกุจอ
    เข้าไปช่วยผูกเชือกรองเท้า หลวงลุงยืดตัวขึ้นพลางลูบหัวพร้อมกล่าว
    ว่า

    "หลานเอ้ย! หลวงลุงต้องขอโทษด้วยที่รบกวนเธอ ดูเอาเถอะ
    คนเราวันหนึ่งก็ต้องแก่เหมือนหลวงลุงนี่แหละ พอแก่แล้วทำอะไรก็
    ไม่สะดวก หูตาฝ้าฟางลงทุกที นี่แค่ผูกเชือกรองเท้ายังต้องพึ่งคนอื่น
    เลย หลวงลุงขอโทษเธอจริง ๆ นะ เฮ้อ! ไม่น่าเกิดมาสร้างภาระให้
    ใครเลย"

    ไม่พูดเปล่า น้ำตาหลวงลุงร่วงพรูลงบนหลังมือเจ้าหลานชาย นาทีนั้น
    เอง ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าเขาทอดทิ้งหลวงลุงมาเป็นเวลานาน แล้วใจ
    ก็เชื่อมโยงถึงผู้เป็นแม่ ซึ่งต้องคอยเป็นห่วงเป็นใยเขาวันแล้ววันเล่า
    โอ... เขากลายเป็นภาระของแม่ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หยาดน้ำตาบน
    หลังมือพลันให้เขาเกิดสามัญสำนึกถึงความไม่ได้เรื่องของตน จึงบอกว่า

    "หลวงลุงครับ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ ผมละเลยทั้งแม่และหลวงลุง
    มาโดยตลอด จากนี้ไปผมจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ขอหลวงลุงให้อภัยผมด้วย"

    จากนั้นเป็นต้นมา แม่ก็ได้ลูกชายคนใหม่มาด้วยกุศโลบายในการทำให้
    หลานชายรู้สึกสำนึกผิดอย่างลึกซึ้งจากหลวงลุงของเขานั่นเอง

    การให้อภัยที่จะมีผลที่แท้จริงจึงไม่ใช่การบอกว่า "ฉันยกโทษให้เธอ"
    แล้วจบกัน หากแต่ต้องมาจากการที่คนทำผิดเกิดจิตสำนึกขึ้นมาอย่าง
    ถ่องแท้ว่าสิ่งทีเขาทำนั้นผิด แล้วอยากเริ่มต้นใหม่ อยากแก้ไขตัวเอง

    หากการให้อภัยดำเนินไปในลักษณะนี้ จึงจะเป็นการให้อภัยใน
    ความหมายที่แท้



    โดย.... "ท่าน ว. วชิรเมธี"

  2. #2
    อืมมม ดีคับผม หามาอีกนะคับชอบอ่าน
    ชะตาฟ้าลิขิต...แต่ชีวิตเป็นของข้า

  3. #3
    ร่วมถ่ายทอดความรู้สู่สังคม สัญลักษณ์ของ โด้ไดอารี่
    วันที่สมัคร
    Feb 2008
    ที่อยู่
    Manchester, Uk
    กระทู้
    637
    1. ผู้ทำผิดต้องตระหนักรู้ถึงความผิดที่ได้ทำลงไปแล้ว
    2. ตัวผู้ทำผิดนั้นเกิดความรู้สึกอยากจะขอโทษ
    3. พยายามขอโทษด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง


    สามข้อนี้ผมมีครับ

  4. #4
    ฝ่ายเทคนิคและโปรแกรม สัญลักษณ์ของ ต่วง
    วันที่สมัคร
    Feb 2008
    กระทู้
    1,826
    ขอบคุณมากครับสำหรับสิ่งดีๆ มีสาระ

  5. #5
    ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมหา สัญลักษณ์ของ sompoi
    วันที่สมัคร
    Mar 2007
    ที่อยู่
    japan
    กระทู้
    5,708
    บล็อก
    23
    8)อยู่ได่ย่อนข้อความดีๆของน้องต้นข้าวนิล่ะ ขอบใจน้องหลายๆเด้อ
    มองต่าง..อย่างปลง

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •