สุนัขจิ้งจอกผู้เหิมเกริม
8)พระเจ้าพรหมหัตแห่งเมืองพาราณสีมีปุโรหิตอยู่หนึ่งคน ศึกษาจบศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการพร้อมทั้งไตรเพท และมีความเชี่ยวชาญ ในมนต์นี้เมื่อร่ายแล้วจะสะกดศัตรูให้อยู่ในอำนาจ
ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าของเราเกิดเป็นปุโรหิต ถวายคำแนะนำในราชกิจแก่พระเจ้าพรหมทัตอยู่สม่ำเสมอ แต่ไม่ค่อยได้ร่ายมนต์ปฐพีพิชัยนักเพราะไม่ต้องการให้ผู้อื่นจำได้ เนื่องจากจะเกิดอันตรายแก่ผู้นำไปใช้ในทางที่ผิด
อยู่มาวันหนึ่ง ปุโรหิตประสงค์จะร่ายมนต์ปฐพีพิชัยนั้นจึงได้นั่งบนแผ่นดินดาดที่เนินแห่งหนึ่ง แล้วสาธยายมนต์เสียงดัง ขณะนั้นเอง มีหมาจิ้งจอกตัวหนึ่งนอนอยู่ใกล้ๆ ฟังปุโรหิตสาธยายมนต์ซ้ำไปซ้ำมาหลายเที่ยวจนจำได้
ปุโรหิต หลังจากสาธยายมนต์อยู่หลายเที่ยวจนแน่ใจว่าไม่ผิดพลาดและคล่องปากแล้วก็ลุกขึ้นไปจากที่นั้น ขณะนั้นเองหมาจิ้งจอกก็รีบลุกขึ้นเดินเข้าไปหาปุโรหิตพร้อมทั้งกล่าวว่า
"ท่านพราหมณ์ ข้าพเจ้าต้องขอบคุณท่านมากที่สาธยายมนต์นี้ให้ข้าฟังจนข้าพเจ้าจำแม่นยำไม่แพ้ท่าน"
ปุโรหิตรู้สึกตกใจเล็กน้อยที่ได้ทราบว่าหมาจิ้งจอกจำมนต์ปฐพีพิชัยได้เพราะเกรงว่ามันจะนำไปใช้ในทางที่ผิด
"มนต์เป็นของมีค่า" ท่านเอ่ยขึ้น "เมื่อเจ้าจำได้แล้วก็จงนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางที่ถูกต้องเถิด"
จากนั้น หมาจิ้งจอกก็เดินหนีเข้าป่าไป
หมาจิ้งจอกรู้สึกกระหยิ่มใจในมนต์ที่ตนลักจำได้มาขณะที่เดินไปในป่านั้นเห็นนางหมาจิ้งจอกตัวหนึ่งยืนขวางหน้าจึงแกล้งงับที่ลำตัว
"มีอะไรหรือนาย" นางหมาจิ้งจอกสงสัย
"เจ้าไม่รู้จักข้าหรือ" หมาจิ้งจอกถาม
"รู้จักซีจ๊ะนาย" นางหมาจิ้งจอกตอบแบบเอาใจ
"เจ้าเข้าใจพูด" หมาจิ้งจอกยิ้มหวานให้พลางสอดส่ายสายตาเล้าโลมไปทั่วเรือนร่างนาง
เพื่ออวดศักดาของตน ณ ที่นั้นเอง หมาจิ้งจอกก็ร่ายมนต์ปฐพีพิชัยเรียกให้หมาจิ้งจอกหลายร้อยตัวมาอยู่ในอำนาจเขาภูมิใจมากที่มนต์สัมฤทธิ์ผล และเดินตรวจแถวหมาจิ้งจอกที่มายืนอยู่ตรงหน้าอย่างองอาจ
"ดีมาก ดีมาก" เขาเอ่ยขึ้น "ที่พวกเจ้ามากันพร้อมเพรียงในวันนี้ เวลาข้าต้องการใช้จะเรียกพวกเจ้ามาใหม่"
"ได้เจ้านาย" บรรดาหมาจิ้งจอกค้อมศีรษะลงรับคำ
หลังจากร่ายมนต์รวมพลหมาจิ้งจอกได้แล้ว หมาจิ้งจอกนั้นก็คิดจะรวมพลสัตว์อื่นต่อไป เขาจึงร่ายมนต์ปฐพีพิชัยอีกครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นเอง สัตว์ป่านานาชนิดนับตั้งแต่ ช้าง ม้า ราชสีห์ เสือโคร่ง หมู กระต่าย และเก้ง กวาง ก็มาประชุมพร้อมกันต่อหน้าพวกหมาจิ้งจอก
"มีอะไรจะให้พวกเรารับใช้หรือนาย" บรรดาสัตว์ป่าพูดขึ้นพร้อมกัน
"มีซี..มี" หมาจิ้งจอกพูดเสียงดัง "อยู่แต่ว่าพวกเจ้าจะยอมทำตามคำบัญชาของข้าหรือเปล่าเท่านั้นเอง"
"นายพูดอะไรอย่างานั้น" ช้างพูดขึ้น "มีหรือมีพวกพสกนิกรจะไม่ทำตามบัญชาของเจ้าเหนือหัว"
"เจ้ายอมรับข้าเป็นราชาของพวกเจ้าหรือ"
"ใช่แล้ว..พะย่ะค่ะ" ราชสีห์รับคำ

"ดีมาก...ดีมาก.." หมาจิ้งจอกหัวเราะลั่น "ธรรมดาราชามันต้องมีราชินีแต่ตอนนี้ข้าอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเดียวดายเจ้าคิดว่าใครเหมาะจะเป็นราชินีของข้า"
"สุดแท้แต่ท่านประสงค์เถิด" บรรดาสัตว์ป่าร้องขึ้นพร้อมกัน
หมาจิ้งจอกชายตาไปที่นางหมาจิ้งจอก แล้วส่งยิ้มหวานให้ นางหมาจิ้งจอกเข้าใจความหมายจึงยิ้มตอบ หมาจิ้งจอกเดินเข้าไปหานางพลางแลบลิ้นเลียที่หน้านางด้วยความรัก แล้วหันมาประกาศแก่บรรดาสัตว์ป่าว่า
"นางคือราชินีของพวกเจ้า"
"ต่อนี้ไปเราจะต้องหาเมืองครอบครอง" หมาจิ้งจอกพูดขึ้นอย่างองอาจ "เมื่อมีเมืองครอบครองแล้ว พวกเจ้าจะได้มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย ข้าเองกับราชินีก็จะได้ดูแลพวกเจ้าได้อย่างทั่วถึง"
"พระองค์คิดว่าจะสร้างเมืองขึ้นที่ไหนพะย่ะค่ะ" ช้างร้องถาม
"การสร้างเมืองใหม่เป็นเรื่องยุ่งยาก" หมาจิ้งจอกทำท่าครุ่นคิดหนัก "เราไปยึดเอาเมืองอื่นจะง่ายกว่า"
"แล้วพระองค์คิดว่าจะยึดเมืองไหนดีพระเจ้าข้า" ม้าเร่งเร้า
"เมืองพาราณสีเป็นยังไง" หมาจิ้งจอกตอบแบบไม่ต้องคิด
"ไชโย...ไชโย...." ราชสีห์กับเสือโห่ร้องนำ ยังผลให้สัตว์ป่าอื่นพากันโห่ร้องตามกันเสียงลั่นป่า
เมื่อพลพรรคเห็นชอบด้วยดังนั้น หมาจิ้งจอกก็สั่งให้ช้างอยู่แถวขวา ราชสีห์อยู่แถวซ้ายจากนั้นก็มีสัตว์อื่น ๆ ยืนแยกแถวกันไปทั้ง ๒ ข้าง ส่วนแถวหน้ามีช้าง ๒เชือกยืนอยู่ ราชสีห์ตัวหนึ่งถูกจัดให้ยืนอยู่บนหลังช้าง ๒ เชือกนั้นเพื่อทำตัวให้เป็นบังลังก์สำหรับให้หมาจิ้งจอกในฐานะราชากับนางจิ้งจอกในฐานะราชินีประทับนั่ง เมื่อจัดกระบวนทัพเสร็จสรรพแล้ว หมาจิ้งจอกก็สั่งพลพรรคเคลื่อนทัพทันที
กระบวนทัพสัตว์ป่าซึ่งมีหมาจิ้งจอกเป็นจอมทัพเคลื่อนตัวมุ่งหน้าเข้าเมืองพาราณสีอย่างองอาจ ชาวเมืองพาราณสีต่าง ตกใจกลัววิ่งหนีกันจ้าละหวั่น หมาจิ้งจอกนั้นมองดูเหตุการณ์อยู่บนหลังราชสีห์ด้วยความรู้สึกกระหยิ่มใจไม่แพ้กัน
ขณะที่พวกชาวเมืองพากันแตกตื่นหนีภัยด้วยความกลัวนั้น ปุโรหิตของพระเจ้าพรหมทัตเจ้าของมนต์ปฐพีพิชัยก็รู้ได้ทันทีว่าหมาจิ้งจอกรวบรวมพลมาได้เพราะใช้มนตร์ปฐพีพิชัยเรียกมา จึงรับอาสาจะสู้กับกองทัพสัตว์ป่าเอง
ปุโรหิตขึ้นไปยืนอยู่บนป้อมปราการสำรวจดูกองทัพสัตว์ป่าก็เห็นหมาจิ้งจอกนั่งเคียงคู่กับนางหมาจิ้งจอกอย่างสง่าอยู่บนหลังราชสีห์จึงร้องถาม
"เจ้าต้องการราชสมบัติหรือ"
"ใช่แล้ว.." หมาจิ้งจอกตะโกนตอบเสียงลั่น "เจ้าจะเอาอย่างไหนให้เลือกเอา ระหว่างสงครามกับการยอมแพ้"
"ก่อนที่จะเลือกตัดสินอย่างใด เราก็ต้องทราบก่อนว่าเจ้าจะรบแบบไหน" ปุโรหิตลองหยั่งเชิง
"ง่ายมาก...ข้าจะให้ราชสีห์ตัวที่ข้าขี่หลังนี้ แหละแผดเสียงร้องให้เต็มที่ พวกเจ้าก็จะตกใจจนไม่มีทางต่อสู้"
ปุโรหิตครั้นได้ทราบแผนรบของหมาจิ้งจอกแล้วก็สั่งพวกชาวเมืองให้เอาแป้งอุดหูพร้อมทั้งอุดหูให้พวกสัตว์เลี้ยงต่าง ๆ ด้วย จากนั้นก็กลับขึ้นไปบนป้อมปราการบัญชาการรบ
"ไอ้พวกโง่ จะตายยังไม่รู้สึก" หมาจิ้งจอกตวาดพลางหันมาสั่งราชสีห์ตัวที่ตนเองนั่นอยู่บนหลังให้แผดเสียงร้อง
ราชสีห์ปฏิบัติตามคำสั่งทันทีโดยป้องปากวางลงไปที่กระพองช้างแล้วแผดเสียงร้องขึ้น ๓ ครั้ง ช้าง ๒ เชือกที่ราชสีห์ยืนอยู่บนหลังตกใจเหวี่ยงราชสีห์ ส่งผลให้หมาจิ้งจอกกับนางจิ้งจอกพลัดตกลงมากองอยู่แทบเท้าช้างและถูกเหยียบตายอยู่ตรงนั้นเอง
ฝ่ายช้างที่เหลือได้ฟังราชสีห์แผดเสียงร้องก็ตกใจกลัว ตายต่างวิ่งแทงกันและกันจ้าละหวั่นเป็นเหตุให้ล้มตายกันหมดสิ้น สัตว์ป่าอื่นๆ ที่เหลือ อาทิ ม้า เก้ง กวาง กระต่ายก็ตกใจหัวแตกตายอยู่ในที่นั้นเอง เป็นอันว่าบรรดาสัตว์ป่าที่หมาจิ้งจอกคุมมารบนั้นเหลือรอดตายอยู่เพียงราชสีห์เท่านั้นซึ่งทั้งหมดก็พากันวิ่งเข้าป่าไป
ปุโรหิตให้เปิดประตูเมืองเพื่อให้ชาวเมืองออกมาช่วยกันขนซากสัตว์ที่นอนตายเกลื่อนกินเนื้อที่ ๑๒ โยชน์ ชาวเมืองต่างดีใจช่วยกันขนย้ายสัตว์ไปชำแหละเอาเนื้อตากแห้งไว้กิน ส่วนของหมาจิ้งจอกกับนางจิ้งจอกถูกทับอยู่ใต้สุด
นิทานธรรมเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า วิชาความรู้แม้จะให้ประโยชน์ แต่ถ้านำไปใช้อย่างไม่รอบคอบก็ก่อให้เกิดโทษได้เหมือนกัน เหมือนอย่างหมาจิ้งจอกได้มนตร์ปฐพีพิชัยแล้วนำไปใช้อย่างไม่รอบคอบจนมีผลทำให้ตนเองถึงตายฉะนั้น