ทรัพย์ของพระ... กรรมสิทธิ์เป็นของใคร
ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างอยู่ในสมณเพศโดยมีผู้ที่ทำบุญถวาย หรือได้มาโดยวิธีซื้อ หากผู้ใดจะซื้อกรรมสิทธิ์ต่อจากพระภิกษุ ถามหาผู้รู้กฎหมายได้ดี มิฉะนั้น ท่านอาจเสียเงินต้องทวงคืนที่ผู้ใดยังเป็นปัญหาอยู่
เรื่องมีอยู่ว่านายปานทิพย์ดื่มด่ำในรสพระธรรม ขณะยังหนุ่มหน้าตาดี มีีอาชีพซื้อขายรถจักรยานยนต์ทั้งเก่าและใหม่ ปานทิพย์ถูกแย่งคนรัก อกหักไม่มีหญิงใดมาช่วยดามหัวใจให้ ตั้งใจบวชอุทิศให้บิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้ว ความเงียบทำให้ใจสงบเกิดความสุขเข้าใจแก่นพุทธศาสนาจึงไม่ยอมสึกเป็นฆราวาส
พ.ศ.2515 ให้สงสารญาติโยมคนหนึ่งเดือดร้อนเรื่องเงิน พระภิกษุชโยหรืออดีตนายปานทิพย์จึงรับซื้อที่ดินไว้ในราคา 1 ล้านบาท เนื้อที่ 10 ไร่ อยู่อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี และถึงแก่มรณภาพปลายปี 2529 นางขจีน้องสาวเป็นผู้จัดการมรดกโดยคำสั่งของศาล ปมปัญหาน่าจะไม่เกิดขึ้นถ้าหากไม่มีการซื้อขายที่ดินแปลงนี้
พ.ศ.2531 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มเจริญโดยเฉพาะในยุครัฐบาลชาติชาย ชนชั้นกลางกลายเป็นเศรษฐีชั่วข้ามคืน ขจีในฐานะผู้จัดการมรดกขายที่ดินแปลงนั้นราคา 10 ล้านบาท ศุภเกียรติพ่อค้าอาชีพพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นผู้ซื้อ ได้วางเงินมัดจำไว้ 3 ล้าน ที่เหลือตกลงชำระในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กัน เพื่อให้ผู้ซื้อมั่นใจขจีจึงได้มอบโฉนดที่ดิน และหนังสือมอบอำนาจให้แก่ผู้ซื้อยึดถือไว้เป็นประกัน
ระหว่างนั้นผู้ซื้อเตรียมจัดสรรขายบ้านและที่ดิน นี่คือปมปัญหาที่ 2 ผู้ใดซื้อที่ดินส่วนใดของแปลงนี้อาจมีปัญหา วันที่ 1 มกราคม 2535 ศุภเกียรติให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้นั้นก็ได้เร่งรัดตั้งแต่ปลายปี 2534 แต่ขจีทำเพิกเฉย
ศุภเกียรติให้สงสัยและสืบได้หลักฐานว่าขจีแจ้งความต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่า โฉนดที่ดินแปลงที่มีการซื้อขายกันนี้ได้สูญหายและขอออกใบแทนโฉนดที่ดิน หลังจากนั้น ได้โอนขายต่อให้กับนางกัลยาเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2535 ศุภเกียรติให้แค้นเคืองเพราะเสียรู้จึงได้ฟ้องศาลเพื่อให้ศาลพิพากษาตามสัญญาเดิมที่ทำไว้ ศาลจะบังคับตามคำฟ้องหรือไม่ ขอให้ติดตามแค่อึดใจ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของพระชโยตามสารบัญจดทะเบียน หลังโฉนดที่ดินพิพาทเอกสารที่อ้าง ป.2 โดยนายผดุงได้จดทะเบียนโอนขายให้แก่พระภิกษุชโยเมื่อปี 2515 กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของพระชโยได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศจะจำหน่ายจ่ายโอนให้ผู้ใดก็ได้ แม้ว่าจะมีคนแอบนินทาลับหลังก็ตาม แต่เมื่อพระภิกษุชโยถึงแก่มรณภาพดังกล่าว หลักกฎหมายมีว่าให้ทรัพย์สินตกเป็นของวัดตามภูมิลำเนาของพระภิกษุชโยเว้นแต่จะได้ทำพินัยกรรมไว้เป็นอย่างอื่น กรณีนี้ที่ดินที่พิพาทจึงตกเป็นสมบัติของวัดและกฎหมายก็ไม่ได้บัญญัติก้าวหน้าไปถึงให้วัดเป็นทายาทโดยธรรม ของพระภิกษุที่ถึงแก่มรณภาพด้วย แม้ว่าศาลจะมีคำสั่งให้ขจีเป็นผู้จัดการมรดกก็จริงอยู่ต้องถือว่า ขจีนั้นถือกรรมสิทธิ์ที่ดินไว้แทนวัด ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยผลแห่งกฎหมาย ที่ดินแปลงนี้ต้องบังคับตามพระราชบัญญัติสงฆ์ว่าที่วัดและที่ธรณีสงฆ์จะโอนกรรมสิทธิ์ได้ก็แต่โดยพระราชบัญญัติ
ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสองหมายถึงวัด จำเลยที่ 1 ขจี จำเลยที่ 2 ทำนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่วัดให้แก่บุคคลใดๆ หามีอำนาจทำได้ไม่ นิติกรรมดังกล่าวจึงเป็นโมฆะตามกฎหมาย การโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยร่วม(คือกัลยา ผู้ซื้อที่ดินพิพาททราบต่อมา) ย่อมเสียเปล่ามาแต่เริ่มแรก โดยศาลไม่จำเป็นต้องเพิกถอน และโจทก์(คือศุภเกียรติ) ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยตามฟ้องได้ กรณีนี้จึงไม่จำเป็นวินิจฉัยว่าโจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 2 หรือไม่ ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
คนที่เจ็บช้ำใจคือศุภเกียรติและกัลยาหาทางแก้ไขติดตามทวงเงินกันเอาเอง
ข้อมูล : เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 1816/2542
รศ.พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช [ หนังสือพิมพ์มติชน ]
Bookmarks