กำลังแสดงผล 1 ถึง 2 จากทั้งหมด 2

หัวข้อ: เพ้อ...รำพึง

  1. #1
    ร่วมถ่ายทอดความรู้สู่สังคม สัญลักษณ์ของ พิณอิสระ
    วันที่สมัคร
    Sep 2008
    ที่อยู่
    ขอนแก่น อุดรธานี และสุรินทร์
    กระทู้
    503

    เพ้อ...รำพึง

    เพ้อ...รำพึง
    อากาศยามเช้าตรู่ของฤดูหนาว ต้นเดือนพฤศจิกายน ข้าพเจ้านั่งมองพระสถูปใหญ่ ซึ่งเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่ามกลางสายหมอกจาง ๆ สีขาวนวลคุกรุ่นไปด้วยไอหนาวและกลิ่นธูปหอม ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามีความสงบและเยือกเย็นแผ่ซ่านเข้าไปถึงภายในจิตใจ และนั่งสงบนิ่งดื่มด่ำกับความรู้สึกเช่นนั้นอยู่เป็นเวลานาน...โดยไม่อนาทรร้อนใจต่อเวลาที่ค่อย ๆ ล่วงไป จนเริ่มสาย หมอกสีขาวนวลเรื่อ ๆ เริ่มจางลง พร้อมกับการมาของแสงสุริยาตอนเช้าตรู่ ที่กำลังสาดแสงสีทองส่องสว่างทั่วท้องนภาเพื่อให้แสงสว่างแก่ชาวโลก วันแล้ววันเล่าไม่เคยลางเลือน ประดุจพระประทีปแก้วที่แม้จะทิ้งร่างวางขันธ์เสด็จเข้าสู่อมตมหานิพพานไปนานแสนนานแล้ว แต่ธรรมะคำสอนของพระองค์ยังคงส่องส่วางชี้นำทางอันประเสริฐให้แก่เหล่าเวไนยผู้ใฝ่ศึกษาและปฏิบัติตามอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปร มวลหมู่สัตว์ทั้งทวิบทจตุบาทเริ่มส่งเสียงเจื้อยแจ้ว เพื่อดำเนินชีวิตไปตามวิถี
    และแล้วความรู้สึกอย่างหนึ่งก็เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า คือความรู้สึกว่าตัวเองบุญน้อยด้อยวาสนา ที่ไม่อาจเกิดมาได้ทันเห็นการประชุมเพลิงพระบรมศพของพระพุทธบิดา ไม่มีญาณปัญญาที่จะสามารถระลึกนึกย้อนไปในอดีตชาติว่ามัวไประหกระเหินอยู่ ณ ที่ใดจึงได้แต่มานั่งรำพึงถึงพระพุทธองค์อยู่ ณ เพลานี้ และแล้วก้อนสะอึกก็ขึ้นมากระจุกอยู่ที่หัวใจและเบ้าตา เมื่อข้าพเจ้าระลึกไปถึงเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นและผ่านเข้ามาในวิถีชีวิตของข้าพเจ้า อาจจะไม่เหมาะสมที่จะกล่าวเรื่องส่วนตัวของตน แต่นี่คือสิ่งที่เกิดกับข้าพเจ้า และเป็นความรู้สึกที่ข้าพเจ้ารำพึงถึงอยู่ในขณะนี้
    เมื่อปลายปี ๒๕๓๐ คุณพ่อของข้าพเจ้าป่วยหนักมากจนล้มหมอนนอนเสื่อ ร่างกายซูบผอมอย่างน่าเวทนายิ่ง บรรดาลูก ๆ ต่างก็มีความกังวลใจกับการป่วยของท่านในครั้งนี้ ซึ่งถือว่าหนักที่สุดเท่าที่ประสบมา เพราะไหนจะเพิ่งย้ายครอบครัวมาอยู่ใหม่ (จากเดิมอยู่อำเภอกระนวน ขอนแก่น มาอยู่อำเภอบ้านดุง อุดรธานี) ยังไม่ทันได้ตั้งหลักปักฐานที่มั่นคง อยู่ปะปนกับคนแปลกหน้าที่ต่างคนต่างย้ายมาอยู่รวมกัน มองไปทางไหนก็ไร้ญาติขาดมิตร ไหนจะเรื่องเงินทองที่มีอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ยตามประสายาก ข้าพเจ้าแม้ไม่มีส่วนร่วมทุกข์ร่วมยากกับพี่ ๆน้อง ๆ มากนัก เพราะเข้ามาเรียนในตัวเมืองตั้งแต่ยังเด็ก แต่ก็อดที่จะเป็นห่วงและทุกข์ใจด้วยไม่ได้ การเยียวยารักษาเป็นไปตามมีตามได้ หมอที่ไหน ใครว่าดี ก็ขวนขวายไปรักษา แต่อาการก็ยิ่งนับวันจะทรุดหนักลงเรื่อย ๆ จนล่วงเข้าปีใหม่ อาการของท่านก็มีแต่ทรงกับทรุด แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าสังเกตุและจดจำมิลืมเลือนคือความเข้มแข็งของจิตใจท่านที่แสดงออกทางแววตา และวาจาที่กล่าวปลุกปลอบใจลูก ๆ ให้มีกำลังใจอยู่เสมอ ไม่ให้ท้อถอยและย่อท้อต่อชะตากรรม ประกอบกับช่วงนั้นข้าพเจ้ากำลังศึกษาและใกล้จะสอบพอดี ไหนจะห่วงเรื่องพ่อ ไหนจะกังวลเรื่องเรียนและสอบ มันรู้สึกสับสนไปหมด ยอมรับว่าเหนื่อยและท้อใจ และดูเหมือนพ่อจะเข้าใจความรู้สึกนี้ดีกว่าใคร ท่านจึงให้กำลังใจแก่ข้าพเจ้า บอกให้กลับไปเรียนและตั้งใจสอบเอาปริญญามาฝากพ่อให้ได้ อย่ามัวห่วงพ่อ อนาคตลูกยังมีอีกไกล พ่อไม่เป็นไรแล้ว เดี๋ยวก็หายดี ว่าพลางก็แสดงอาการขึงขังเหมือนคนไม่เจ็บป่วยทั้ง ๆ ที่นอนอยู่บนเสื่อแทบจะลุกนั่งไม่ไหวแล้ว ข้าพเจ้าจำต้องกลับไปเรียนและเตรียมสอบเหมือนเดิม โดยเร่งท่องและอ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืน บางคืนอ่านหนังสือไป คิดถึงพ่อไป จนน้ำตาไหลเป็นทางหยดลงเปียกหนังสือ แต่ก็ทนอดทนกลั้น แทบไม่หลับไม่นอน ถ้าง่วงนอนและอ่อนเพลียมาก ๆ ก็ซื้อยาแก้ง่วงมากินตามที่เพื่อน ๆ บอก กว่าเดือนเศษ ๆ จึงถึงวันสอบ ( เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าเกิดปัญหาทางสายตา ต้องใส่แว่นตาอยู่ระยะหนึ่ง ) พอสอบเสร็จข้าพเจ้ารีบกลับบ้านเพื่อดูแลพ่อทันที โดยที่ยังไม่ทราบผลสอบ พ่อถามเมื่อเห็นหน้าข้าพเจ้าว่า พอจะมีหวังไหม ? ข้าพเจ้าตอบด้วยความมั่นใจว่า ได้แน่ ๆ เพราะรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ สังเกตุดูอาการของท่านเริ่มจะดีขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนมีกำลังภายในอะไรสักอย่างมาช่วยกระตุ้นจิตใจ ดูแววตายังเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวเหมือนเดิม ไม่มีแสดงความท้อถอย ซึ่งผิดกับข้าพเจ้าที่นับวันก็ยิ่งจะสับสนในใจมากขึ้น หากว่าพ่อเป็นอะไรไปแม่กับน้อง ๆ ซึ่งยังเล็กอยู่ จะอยู่กันอย่างไร พวกพี่ ๆ ต่างก็มีครอบครัวต้องรับผิดชอบดูแลกันเกือบทุกคนแล้ว ยังดีที่มีพี่ชายคอยดูแลอยู่คนหนึ่ง พอให้เบาใจได้บ้าง ทุกอย่างล้วนไม่มีคำตอบสำหรับข้าพเจ้าในเวลานั้น กระทั่งข้าพเจ้าทราบผลสอบในอีกยี่สิบวันต่อมา ปรากฏว่า ข้าพเจ้าสอบได้ ตอนนั้นพ่อดูเหมือนจะดีใจมากเป็นพิเศษ หน้าตาของท่านยิ้มแย้มสดชื่นขึ้นมาทันใด และวันต่อ ๆ มาก็สามารถลุกนั่งและเริ่มทานอาหารได้ตามปกติ จนต่อมาไม่นานก็สามารถลุกเดินไปไหนมาไหนเองได้ ถึงกับแบกจอบแบกเสียมลงทุ่งนาเหมือนคนปกติ ข้าพเจ้าเองก็โล่งใจว่าท่านคงหายเป็นปกติแน่แล้ว กระทั่งโรงเรียนเปิดเทอมใหม่ในเดือนพฤษภาคม พ่อบอกให้ข้าพเจ้ากลับไปเรียนหนังสือตามเดิม และบอกสั้น ๆ ว่า เอาให้ได้อีก ทางนี้ไม่ต้องห่วงแล้ว หายแล้ว ซึ่งข้าพเจ้าก็เชื่อว่าน่าจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
    ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๓๑ ข้าพเจ้าไปร่วมงานบวชพี่ชายของเพื่อนที่อำเภอมัญจาคีรี กลับมาถึงหอพักประมาณบ่ายสองโมงเศษ ๆ มีคนบอกข้าพเจ้าว่ามีโทรศัพท์ด่วนเรื่องพ่อ มาถึงเมื่อใดให้กลับบ้านทันที ข้าพเจ้ายังไม่ได้ลงจากรถสามล้อที่เหมามา รีบบอกให้เขาพากลับไปส่งที่ บ.ข.ส.ทันที ดีที่รถโดยสารสะดวกสบายมีวิ่งไปมาตลอด ระหว่างทางจากขอนแก่นไปถึงอุดรธานี แล้วต่อไปยังอำเภอบ้านดุง แล้วเหมารถสามล้อเครื่องเข้าไปในหมู่บ้านอีก ๑๕ กิโลเมตร กว่าจะถึงก็พลบค่ำพอดี พอถึงบ้านบรรยากาศดูประหลาดตา มีผู้คนขวักไขว่ เดินสวนกันไปมา แม่รีบพาข้าพเจ้าไปที่ป่าช้าของหมู่บ้านทันทีที่เดินทางไปถึง และชี้ให้ข้าพเจ้าดูที่กองฟอน ซึ่งไฟกำลังลุกไหม้สรีระร่างกายของพ่ออยู่ แปลกที่ข้าพเจ้ามิได้ร้องไห้ ทั้งที่ใจคิดกังวลมาตลอดทางว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อ ข้าพเจ้าเข้มแข็งพอที่จะระลึกถึงพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเข้าใจถึงกฏของธรรมชาติ ที่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา และข้าพเจ้าเห็นพ่อป่วยมาเป็นเวลานาน จนพอจะทำใจได้แล้ว จึงได้แต่เพ่งพินิจร่างที่กำลังถูกไฟโหมไหม้ ซึ่งบางส่วนก็แหลกกระจายเป็นฝุ่นผงไปแล้ว และบางส่วนที่ยังพอมองเห็นเป็นรูปร่างลักษณะของอวัยวะส่วนนั้น ๆอยู่ ได้แต่ปลอบโยนให้แม่คลายความทุกข์ลง ไม่ต้องกังวลอะไรอีก ให้ถือว่าพ่อท่านไปดีแล้ว ผมจะคอยเอาใจใส่ดูแลแม่เอง ซึ่งท่านก็พอจะทำใจได้บ้างแล้ว แต่ที่เสียใจก็คือลูกมาไม่ทันได้ดูใจและไม่ทันได้จุดไฟให้พ่อ สมกับที่พ่อมีความหวังและภาคภูมิใจ บรรยายกาศยามพลบค่ำ ณ ป่าช้าที่เป็นฌาปนสถานสำหรับเผาศพของชาวบ้าน แสนจะวังเวงเงียบงันอะไรเช่นนี้ ช่างเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับคนที่จากโลกนี้ไปเสียเหลือเกิน นอกจากเสียงไฟไหม้แตกกระจายลุกเป็นเปลวเพลิงแล้วดับวูบลงแล้ว ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย ข้าพเจ้าทอดเวลาให้ผ่านไปพร้อมกับการคลืบคลานเข้ามาของความมืดมิด จึงชวนแม่กลับบ้าน โดยทิ้งไว้แต่ความอาลัยรักและคิดถึงให้อยู่เบื้องหลัง นับจากนั้นมาจนเวลาล่วงมาถึงบัดนี้ นานหลายปีแล้ว
    เมื่อข้าพเจ้ามานั่งอยู่ต่อหน้าพระสถูปมกุฏพันธนเจดีย์ซึ่งเป็นสถานที่ ที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพของพุทธบิดาในวันนี้ ความรู้สึกในวันที่สูญเสียพ่อไปได้ย้อนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าไม่ทันได้เห็นใจพ่อในขณะที่ท่านเสียชีวิต เดินทางไปก็ไม่ทันได้ทำพิธีฌาปนกิจศพของท่าน ได้เห็นแต่กองฟอนกับท่อนกระดูกที่กำลังถูกไฟโหมไหม้ในตอนพลบค่ำ ช่างเหมือนกับที่ข้าพเจ้าเกิดไม่ทันได้เห็นพระพุทธบิดาในวันที่พระองค์เสด็จเข้าสู่มหาปรินิพพาน และไม่ทันได้เห็นพิธีการถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระพุทธองค์
    ข้าพเจ้าได้แต่นั่งเหม่อลอย มองทอดสายตาไปยังพระสถูป ด้วยใจที่อาลัยอาวรณ์ถึงพระองค์ท่าน พร้อมรำพึงในใจว่า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้มีกรรมหนักแท้หนอ.. ช่างบุญน้อยด้อยวาสนากระไรเช่นนี้ พลันน้ำตาก็หยดลงมาถูกข้างแก้ม โดยไม่ทันได้รู้สึกตัว ไม่ทราบด้วยเหตุผลใด เพราะในห้วงคำนึงของหัวใจ ทั้งระคนด้วยความเศร้าคิดถึงหน้าของพ่อผู้จากไป และรู้สึกน้อยใจที่ได้แต่มานั่งดูพระสถูปอันเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธบิดา จึงปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาจนหมดก้อน แล้วค่อย ๆ เช็ดออกพร้อมกับลืมตาขึ้นด้วยความปีติใจ ที่อย่างน้อยก็ได้เดินทางมากราบไหว้สักการะบูชา จนถึงสถานที่เผาศพพระพุทธองค์ พร้อมกันนี้ข้าพเจ้าไดตั้งจิตอธิษฐานแผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ เจ้ากรรมนายเวร และแผ่ส่วนบุญกุศลนี้ อุทิศไปให้แก่คุณพ่อและคุณแม่ทั้งสองของข้าพเจ้าด้วย.......

    พิณอิสระ
    กุสินารา ๒๕๔๙

  2. #2

    Re: เพ้อ...รำพึง

    ขอแสดงความเสียใจกับพิณอิสระด้วยค่ะ ที่ได้สูญเสียทั้งพ่อและแม่ไปแล้ว...เด็กน้อยว่ามันคงจะเป็นเรื่องที่เศร้าที่สุดโลก เพราะเท่ากับว่าคนที่รักเฮาที่สุดในโลกได้จากไปไม่มีวันกลับ..และเวลาที่แค่คิดเด็กน้อยถ่าแม่และพ่อของเด็กน้อยต้องจากไปแค่นี้...น้ำตามันกะไหลแล้วจ้า...

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •