พร่ำ...รำพัน
เคยได้ยินได้ฟังมาว่า ใครที่เดินทางมาที่สาลวโนทยาน เมื่องกุสินารา เข้าไปในมหาวิหารพุทธปรินิพพาน นั่งเจริญภาวนา สวดสรรเสริญพุทธคุณ เวียนประทักษิณแล้วเข้าไปกราบที่ฝ่าพระบาทของพระพุทธองค์ ทำจิตให้สงบแล้วระลึกถึงพุทธคุณเอนกอนันต์ประการ คนผู้นั้นจะอดน้ำตาไหลมิได้
เคยได้อ่านเจอข้อความที่พระเถระผู้ใหญ่ซึ่งท่านเคยเดินทางมานมัสการพุทธสังเวชนียสถาน ได้เขียนเล่าความพรรณนาถึงบรรยากาศของการมาที่เมืองกุสินาราแห่งนี้ ซึ่งล้วนแล้วแต่ชวนให้เกิดความซาบซึ้งและใฝ่ฝันอยากจะมาสักครั้ง มิใช่อยากจะมาร้องไห้ เพราะโตแล้วจะร้องไปทำไม แต่อยากจะมาดื่มด่ำสัมผัสกับสิ่งที่เกิดขึ้น ดังที่ท่านเหล่านั้นได้พรรณนาไว้ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ ผู้มีความเคารพสูงสุดในพระรัตนตรัย
เมื่อมีโอกาสจึงได้เดินทางมากราบนมัสการพุทธสังเวชนียสถาน ณ สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา อันเป็นที่ตั้งพระวิหารพุทธปรินิพพานแห่งนี้
เมื่อข้าพเจ้าก้าวเดินเข้ามาสู่บริเวณอุทยาน ซึ่งมีสนามหญ้าเขียวขจีเป็นบริเวณกว้าง ดูแล้วสะอาดงามตา มองไปที่พระวิหารและพระมหาสถูป ซึ่งมีต้นสาละขึ้นอยู่ ๓-๔ ต้น แวดล้อมด้วยซากปรักหักพังของหมู่สังฆาราม ที่ครั้งหนึ่งเคยมีความเจริญรุ่งเรือง กระทั่งถูกปล่อยให้ทิ้งร้างจมอยู่ใต้พื้นปฐพีมานานกว่า ๗๐๐ปี ข้าพเจ้าเริ่มมีจิตใจห่อเหี่ยวเมื่อได้เห็นความเสื่อมสลายของสิ่งที่เคยยิ่งใหญ่เหล่านั้น
เมื่อเดินตามถนนอ้อมไปตามทางเดินที่ทางกรมโบราณคดีของอินเดียได้ทำเอาไว้ ผ่านซากปรักหักพังเหล่านั้นไปถึงด้านหน้า มองเห็นพระวิหารและพระมหาสถูปสูงใหญ่ ตั้งอยู่บนเนินยกพื้นที่เด่นสง่า เป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีให้เห็นได้ในที่อื่นใด นอกจากสาลวโนทยาน สถานที่พระพุทธองค์เสด็จเข้าสู่มหาปรินิพพาน ทิ้งร่างวางขันธ์ ละธาตุเหลือธรรมไว้ ณ เมืองกุสินาราแห่งนี้เท่านั้น
ก้าวแรกที่เริ่มเดินขึ้นสู่พระวิหาร รู้สึกเย็นวูบเข้าในหัวใจ คล้ายกับน้ำหนักตัวจะลดลงเหลือน้อยนิด ตัวรู้สึกเบาหวิวคล้ายจะล่องลอยไปโดยมิได้ย่างก้าว จิตที่ตั้งมั่นด้วยสติ พร้อมใจที่จดจ่อต่อพระพุทธองค์ที่ประทับบรรทมอยู่เหนือพระแท่นภายในพระวิหาร กระทั่งลุเข้าถึงภายใน พอเหลือบตาเงยหน้าขึ้นมองจ้องไปเห็นพระพุทธรูปปางมหาปรินิพพาน บรรทมราบอยู่บนพระแท่นที่ประทับ สีเหลืองอร่ามดูงดงามยิ่งนัก มีผ้าห่มหลากหลายสีสันที่ผู้ศรัทธาทั้งหลายน้อมนำมาถวายบูชาพระพุทธองค์ บรรยากาศภายในคุกรุ่นไปด้วยสรรพสำเนียงแห่งการสาธยายธรรม สรรเสริญพุทธคุณมิได้ขาดสาย ข้าพเจ้าน้อมใจระลึกถึงพระพุทธบิดา จ้องดูพระพักตร์ที่ทรงหลับพระเนตร พระโอฏฐ์แย้มนิด ๆ เสมือนคนนอนหลับธรรมดา ๆ ช่างงามสุดจะพรรณนาเสียเหลือเกิน
พระพุทธองค์ทรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์แม้ทุกอย่าง เพื่อออกบวชแสวงหาหนทางนำสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากห้วงแห่งวัฏฏะ ทนลำบากทุกข์ทรมานพระองค์ จนจิตได้หลุดพ้นจากกิเลสสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ประกาศสัจธรรมคือความจริงอันประเสริฐเที่ยงแท้นั้นแก่เวไนยสัตว์ทุกหมู่เหล่า ตลอดระยะเวลาที่ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่นั้น ได้เสด็จดำเนินไปตามหมู่บ้านคามนิคมน้อยใหญ่ ถิ่นรุ่งเรืองเมืองกันดารทั้งหลาย ด้วยสองพระบาทเปล่าที่ก้าวย่างอย่างทุ่มเท เพื่อที่จะชี้นำสัตว์โลกให้ถึงความหลุดพ้นจากทุกข์ บางครั้งพระองค์ถูกนินทาว่าร้าย ใส่ความ ถูกบริภาษด่าทอด้วยคำพูดดูถูกเหยียดหยาม ถูกลอบทำร้ายปลงพระชนม์นานาสาระพัดอย่าง จากพวกเดียรถีย์โมฆะบุรุษผู้มืดบอด สูญเสียผลประโยชน์ที่เกิดจากการตั้งตนเป็นผู้ลวงโลก แต่พระพุทธองค์ทรงอาศัยความมีเมตตาในหมู่สัตว์ไม่เลือกชั้นวรรณะ ฝ่าฟันอุปสรรคเอาชนะเหล่ามารร้ายด้วยความบริสุทธิ์ บางคราวพระองค์ทรงอาพาธ บางโอกาสทรงท้อพระทัยเมื่อเหล่าสาวกดื้นรั้นไม่ปฏิบัติตามคำที่พระองค์เพียรพร่ำสอน แต่พระองค์ก็ไม่ทรงท้อถอยและทอดทิ้ง ยังหลั่งรินน้ำพระทัยเมตตาธรรมนำจิตใจของชาวโลกตลอดมา กระทั่งพระชนมายุ ๘๐ ด้วยฝ่าพระบาทเปล่าทั้งสองที่ทรงย่ำเดินไปทั่วดินแดนชมพูทวีป พระองค์ตระหนักถึงธรรมชาติที่เที่ยงแท้ คือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งพระองค์ไม่อาจจะหลีกพ้นได้ สุดท้ายพระองค์เสด็จมาสู่สาลวโนทยานแห่งนี้ แล้วทรงเข้าสู่แดนปรินิพพาน ทิ้งร่างวางขันธ์ ทิ้งธาตุเหลือธรรมคือคุณงามความดีที่เคยบำเพ็ญมาตลอดเวลา ๔๕ พรรษา ให้อนุชนรุ่นหลัง ได้รักษาและประพฤติตาม แม้พระองค์จะปรินิพพานไปนานแล้ว แต่คำสอนยังคงแว่วอยู่ในโสตประสาท เสมือนหนึ่งพระองค์เพิ่งจะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปเมื่อไม่นานมานี่เอง
ฝ่าพระบาททั้งสองที่ราบเรียบ แต่ทรงไว้ซึ่งพลังแห่งความเมตตา ยากจะหาสิ่งใดในโลกหล้ามาเปรียบปรานได้ ข้าพเจ้าค่อยๆก้มกราบลงที่ฝ่าพระบาททั้งสองนั้นด้วยความรูกสึกสำนึกในพระพุทธคุณอันยิ่งใหญ่เหลือหลายนั้น เมื่อหน้าผากแตะสัมผัสที่ฝ่าพระบาท พลันรู้สึกเย็นวาบหวิวเข้าสู่หัวใจ ขนตามสรรพางค์กายลุกซู่ กายเบาหวิวเหมือนปุยนุ่น ความรู้สึกทั้งหมดดับวูบลงกับความสงบเยือกเย็นที่เข้ามาแทนที่ น้ำตาแห่งความปีติใจได้ไหลรินออกมาโดยมิรู้ตัว ข้าพเจ้ารำพันอยู่ในใจว่า นี่หรือหนอ....คือสิ่งที่ผู้คนต่างกล่าวขวัญถึง มันช่างดื่มด่ำชื่นฉ่ำใจเหลือเกิน เกิดมาชาตินี้ไม่เสียทีจริง ๆ
ข้าพเจ้าขยับออกมาจากฝ่าพระบาททั้งคู่นั้น แล้วถอยมานั่งหลับตาอยู่ที่มุมเงียบ ๆของพระวิหาร ปล่อยเวลาและอารมณ์ให้ค่อยผ่านไปกับความรู้สึกที่อิ่มเอิบอยู่ในใจ ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองไปที่ฝ่าพระบาททั้งสอง แล้วจ้องไปที่พระพักตร์ของพระองค์ พลันจิตก็ประหวั่นนึกไปถึงผู้มีพระคุณทั้งสอง ข้าพเจ้ารำพึงขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าข้าพเจ้ามีบุญวาสนามากกว่านี้ ขณะที่พ่อกับแม่ยังมีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าจะพาท่านทั้งสองมากราบที่ฝ่าพระบาทของพระพุทธองค์ให้จงได้ แต่บัดนี้ ท่านทั้งสองได้เสียชีวิตไปนานแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้แต่พร่ำ....รำพัน และคำนึงถึง น้ำตาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาของตนได้ไหลรินออกมาอีกระลอกหนึ่ง พร้อมกับความคิดที่เตลิดไปเสียไกล
พิณอิสระ
ต้นมกราปี ๕๒
กุสินารา อินเดีย
Bookmarks