กำลังแสดงผล 1 ถึง 5 จากทั้งหมด 5

หัวข้อ: ความตาย ในความฝัน

  1. #1
    ร่วมถ่ายทอดความรู้สู่สังคม สัญลักษณ์ของ jobloi
    วันที่สมัคร
    Jun 2007
    กระทู้
    182

    บ้านมหาโพสต์ ความตาย ในความฝัน

    จากเวบ..สีทันดร โดยอาจารย์สมบัติ ศรีสิงห์
    เห็นว่าอ่านแล้วน่าจะได้ข้อคิดบ้างครับ
    ตายในฝัน


    คืนวันที่ ๗ ประมาณเวลา ตี ๓ ( เช้าตรู่วันที่ ๘) สิงหาคม ๒๕๔๗ ข้าพเจ้าฝันว่า...

    ดินกำลังจะทรุด แผ่นดินด้านล่างบางแห่งกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว เป็นเหตุให้ผิวดินบริเวณนั้นถล่มทรุดลง ตึกรามบ้านช่องบริเวณนั้นก็ถล่มทรุดลง...
    ขณะนั้น เป็นเวลาประมาณ๕โมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่ผู้คนกำลังเลิกงาน...
    เสียงประกาศเตือนภัยดังก้อง..ให้ผู้คนรีบขึ้นรถเพื่อหลีกหลบออกจากจุดอันตรายนี้โดยเร็วที่สุด ก่อนดินจะทรุด ตึกจะถล่ม...ข้าพเจ้าขึ้นรถไม่ทัน ( ทั้งย่ามใจว่าตัวเองน่าจะพ้นภัยได้ด้วยบุญ...ในฝันมันย่ามใจเยี่ยงนั้นจริงๆ)

    พวกที่ขึ้นรถไปแล้ว ข้าพเจ้าไม่ทราบชะตากรรมว่าเป็นเยี่ยงไร ?

    ด้านบนฟ้า เหมือนกับยังมีเสียงประกาศเตือนภัยจากฮอ ให้ผู้คนที่หลงเหลืออยู่รีบหนีไปโดยด่วน.. ข้าพเจ้า ยังไม่ทันได้หนี เห็นดินบริเวณใกล้เคียงเริ่มมีอาการไหวยวบยาบ ยุบบ้าง นูนสูงบ้าง เหมือนมีอะไรเคลื่อนตัวอยู่ด้านล่าง ดินบางแห่ง เปิดแยกออก ผิวดินพังลงตามรอยแยกนั้นๆ ตึกเริ่มพังถล่ม... ข้าพเจ้า เห็นดังนั้น ตัดสินใจรีบบ่ายหน้าวิ่งหนี ไปยังทิศทางที่คิดว่าดินจะไม่ถล่ม... เสียงดินถล่ม ตึกทลาย ดังไล่หลังบ้าง ไล่ขนาบข้างบ้าง ข้าพเจ้ายิ่งวิ่งหนีไม่หยุด....

    บรรยากาศดูค่อนข้างมืดสลัว...สักพัก...ดูเหมือนว่า เหตุการณ์ทั้งมวลสงบนิ่งไป ไม่มีเสียงดินถล่ม ตึกทลาย...ทว่า ตัวข้าพเจ้าเองที่วิ่งหนีมานั้น ยืนอยู่ ณ ที่ใด มิอาจรู้ได้ ขณะนั้น ได้แต่ หันซ้าย แลขวา พลางคิดว่า เราจะไปทางไหนต่อดี... ด้านหลังที่เพิ่งวิ่งหนีมา ไม่ไปแน่นอน ยังเหลืออีก 3 ทิศทางที่พึงไปได้ ...ในที่สุด ตัดสินใจเลือกทางขวา ( ด้านทิศใต้) ด้วยคิดว่า ทางนี้น่าจะเป็นแดนเร้นภัยเป็นแน่แท้ … ข้าพเจ้าย่ำเดินต่อไปตามทิศทางที่เลือกแล้ว พลางคิดว่า “คิดแล้ว ว่าเราต้องรอด แล้วเราก็รอดจริง ๆ โล่งอก นึกว่าจะหนีไม่ทัน หนีไม่พ้น ซะแล้ว”

    เดินต่อไปสักพัก ก็เห็นผู้คนอีกหลายคน ดูอากัปกิริยาไม่แตกต่างจากข้าพเจ้านัก คือ เหมือนไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ไหน จะไปไหน ดูท่าทางงงงง (ง.งูเยอะไปหน่อย) ...จากนั้น คล้ายกับไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง

    บรรยากาศยังคงมืดสลัว ไม่มีแสงอันใดเล็ดลอดมาแม้จากทุกสารทิศ บรรยากาศแม้มืดสลัว แต่ไม่มืดมิด จึงยังคงมองเห็นอะไรต่อมิอะไรอยู่...

    แปลก!!! มืด แต่สายตายังมองเห็น--- แม้มิใช่อั้งเสาะ ก็มองเห็น...

    ณ หมู่บ้านแห่งนั้น เห็นมีคน๕-๖คนยืนอยู่ก่อนแล้ว พอข้าพเจ้าเดินมาถึง จึงเข้าไปรวมกลุ่มกับพวกเขา แล้วทุกคนเดินเรียงแถวกัน ข้าพเจ้าไปอยู่ลำดับสองจากหัวแถว คนที่เดินนำหน้า เดินหน้าเรื่อยไป ไปเจอยายคนหนึ่ง กำลังเดินลงบันไดมา คนเดินนำหน้า พยายามเข้าไปหายายคนนั้น พยายามพูด ดูยายแกก็เฉยๆ จับมือแก แกก็เฉยๆ ...

    และแล้ว หลวงพี่บุญ(พระอาจารย์บุญ) ก็มา และจูงแขนข้าพเจ้าเดินห่างไปจากคนกลุ่มนั้น
    บอกว่า “ยังไม่รู้ตัวอีกหรือ ว่าตัวเองตายแล้ว ตายตั้งแต่ดินถล่มนู้นแล้ว ตอนนี้เป็นผีอยู่ ไม่เชื่อลองดูคนพวกนั้นสิ ยืนอยู่ใกล้ๆ กับยายที่เป็นคน ยายยังไม่รู้ตัวเลย ยายเขาไม่เห็นผีพวกนั้นหรอก”

    ข้าพเจ้าฟังแล้วตกใจมาก... และตามมาด้วยความเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้ง ภายในหัวอกสั่นระรัว ที่สั่นเพราะเศร้าเสียใจ ทว่าน้ำตามันไม่ไหล จึงย้อนกลับเข้าอก อกจึงสั่นสะอื้น ในใจคิดถึงลูกน้อย คิดถึงภรรยา ห่วงลูกน้อย ห่วงภรรยา บัดนี้ชีวิตเราสิ้นแล้ว ลูกเมียจักอยู่อย่างไร ใครจะดูแลเลี้ยงดู จะเอาเงินที่ไหนใช้ ทั้งยังคิดห่วงงานบางอย่าง ที่ยังค้างคาอยู่ ยังไม่แล้วเสร็จ คิดไปต่างๆ นานา ตามประสาอารมณ์ห่วงอาลัย ทั้งอยากเห็นหน้าลูก อยากเห็นหน้าภรรยา อยากพูดคุยสั่งเสีย แต่ติดที่ว่า ไปไหนไม่ถูก ไม่รู้ว่าจุดที่เราอยากไปมันอยู่ตรงไหน มันไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ เมื่อดึงสติคืนมา จึงถามหลวงพี่บุญว่า

    “ ลูกผม เป็นอย่างไรบ้าง ภรรยาผมเป็นอย่างไรบ้าง ”

    “ จะรู้ไปทำไม เขาก็อยู่ส่วนเขา เราก็อยู่ส่วนเรา ”

    “ แล้วศพผมอยู่ที่ไหน ผมอยากเห็นศพตัวเอง ”

    “ จะเห็นไปทำไม ดูแล้วจะได้อะไร ”

    “ พาผมไปพบลูก หน่อยครับ... พาผมไปพบภรรยาหน่อยครับ...พาผมไปดูจุดที่ผมตายหน่อยครับ...”

    ข้าพเจ้าพยายามอ้อนวอนให้หลวงพี่บุญพาไปดูศพ ให้พาไปพบหน้าลูกเมีย หลวงพี่บุญก็ไม่พาไป มีแต่พูดไปเรื่องอื่น...

    ในที่สุด สติข้าพเจ้าเริ่มแจ่มใส ตัดห่วงอาลัยขาดฉับ พร้อมคิดว่า “เอาล่ะ ตอนเรามีชีวิตอยู่ มีภาระต้องทำงานเลี้ยงดูลูกเมีย ไม่มีโอกาสและเวลาปฏิบัติธรรมได้มากนัก บัดนี้ เราอยู่คนเดียว ตัวคนเดียวนับเป็นโอกาสที่ดีแล้ว เอาล่ะเราจะหลีกเร้นกายไปปฏิบัติธรรมกรรมฐานในร่างผีนี่แหละ” แล้วก็บอกหลวงพี่บุญ

    พอข้าพเจ้าตัดห่วงอาลัยได้ สักพัก ข้าพเจ้าก็ฟื้นตื่นจากฝัน.... ตลอดระยะเวลาตั้งแต่หลวงพี่บุญปรากฏกาย กระทั้งข้าพเจ้าฟื้น(ตื่นจากฝัน) นั้น หลวงพี่บุญอยู่กับข้าพเจ้า อยู่เป็นเพื่อนข้าพเจ้าตลอด (นับเป็นความเมตตากรุณาของท่านจริง ๆ )… ข้าพเจ้าฟื้นตื่นจากความฝัน ความฝันที่น่ากลัว แต่เป็นฝันที่ดี นับได้ว่าเป็นฝันดีอีกแบบจริงๆ

    *****************


    ข้อคิดและความรู้จากฝันครั้งนี้
    คนเราเมื่อแรกตายไป ไม่รู้เรื่องเลยว่าตัวเองตายแล้ว
    ชีวิตหลังความตาย ( ผี-สัมภเวสี) น่าสงสารจริง ๆไม่รู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน อยากไปไหน ก็ไปไม่ถูก ได้แต่อยู่บริเวณแถว ๆ นั้นแหละ
    คนที่ตายแล้ว (ผี-สัมภเวสี) พอรู้ว่าตัวเองตาย ยิ่งน่าสงสารขึ้นกว่าเดิม มีแต่อารมณ์ห่วง อารมณ์อาลัยอาวรณ์ถึงเรื่องหลัง ไม่อาจตัดใจลืมได้ ซึ่งหลักความจริงก็คือ หากเรายังตัดใจลืมไม่ได้ จิตก็ไม่จุติ คือไม่เคลื่อนจากภพเดิมไปได้ เส้นใยแห่งห่วงอาลัยยังคงผูกมัดหน่วงเขาไว้อยู่ มัดผูกไว้ระหว่างภพมนุษย์เดิมกับสัมภเวสี ยิ่งห่วงมากยิ่งหาสมภพหรือภพใหม่ไม่พบ เปรียบเสมือนคนที่ห่วงว่าวันนี้จะมีแขกมาบ้าน ย่อมต้องรอคอยอยู่บ้าน ไม่กล้าออกไปเที่ยวนอกบ้าน เปรียบเหมือนคนที่มีบ้าน แม้ไปที่ไหน ย่อมต้องกลับมานอนบ้าน...
    (ยังดีที่ข้าพเจ้ามีหลวงพี่บุญคอยกระตุ้นเตือน... ไม่งั้นหลับแล้วไม่ฟื้น เนียะ... ??)
    ภูมิของผี มันมืดอย่างที่เคยฟังจากปากหลวงพี่บุญจริง ๆ ... ตอนนั้นไม่เข้าใจหรอกว่า มืดที่ว่านี้เป็นอย่างไร คิดเอาเองว่าคงจะมืดสนิท แต่หากมืดสนิทจริงๆ แล้ว ผีจะเป็นอยู่อย่างไรจะมองเห็นอะไรได้... พอตนเองได้เข้าไปสัมผัสภูมิของผี จึงเข้าใจถึงคำว่ามืดนั้น อย่างกระจ่าง.... มืดที่ว่านี้ มันมืดแบบสลัวๆ พอให้เห็นตะคุ่มๆ ภาพที่เห็นจะเป็นขาวดำซะส่วนใหญ่ เพราะแสงไม่พอ (นอกจากมองในระยะใกล้ๆจึงจะเห็นสีอื่น) ไม่มีแสงอันใดปรากฏเลย ( อาจจะมีบ้างหากมีเหตุการณ์วิเศษ---แต่ข้าพเจ้าอยู่ไม่นานจึงไม่ทันได้เห็น) กระทั่งเดือนดาวก็ไม่มี แต่พวกเขาก็อยู่ได้ อยู่แบบผีๆ นั่นแหละ... ผีนิสัยเกเรก็มี คงเป็นนิสัยเดิมของเขา... แต่หลวงพี่บุญก็ไปหลอกล่อให้ผีตนนั้นวิ่งไล่จับ วิ่งวนซ้าย เวียนขวา วนไปเวียนมา ตามตึกร้าง แปลกแฮะ หลวงพี่บุญวิ่งเร็วมาก ผีตนนั้นวิ่งจนเหนื่อยก็ตามไม่ทัน... นอกจากข้าพเจ้าแล้วไม่มีผีตนไหนรู้ว่าหลวงพี่บุญเป็นพระ เพราะท่านใช้ร่างกายเสมือนผี)
    “ ความประมาท เป็นหนทางแห่งความตาย ” มันนำไปสู่ความตายจริงๆ มันต้อนเราให้จนมุม ไม่มีทางเลือกอื่นให้ไปได้ นอกจากทางแห่งความตาย--- การกระทำนั้นก็ประมาท การกระทำนี้ก็ประมาท การกระทำโน้นก็ประมาท การกระทำวันก่อนก็ประมาท การกระทำวันวานก็ประมาท การกระทำวันนี้ก็ประมาท หากทุกๆ การกระทำล้วนทำด้วยความประมาท หรือแม้แต่ส่วนใหญ่ของการกระทำ เป็นการทำด้วยความประมาท ในที่สุดขณะปัจจุบันสุด มันจะบีบให้เราเลือกแนวทางประมาท และนำไปสู่ความตาย ….. ปัจจุบัน(ก่อนฝัน)ข้าพเจ้าเอง คิดเสมอว่า เราบำเพ็ญเพียร บำเพ็ญบุญมาพอสมควร บุญเหล่านั้น น่าจะช่วยหนุนเสริมให้เรารอดชีวิตได้ นั้นคือคิดเสมอว่าตัวเองต้องรอด ไม่ได้เผื่อใจไว้สำหรับความตายเลย พอตายเข้าจริงๆ จึงสะเทือนใจมาก... จึงคิดได้ว่า (ก่อนหน้านี้เป็นเพียงความรู้จำไม่ใช่การคิดได้) คนเราต้องคิดถึงความตายเสมอๆ ต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับที่จะตายได้ทุกเมื่อ นั่นคือ ต้องสั่งสมเสบียงทาง กักตุนเสบียงคือบุญบารมีไว้ให้สม่ำเสมอ ต้องบำเพ็ญสติให้กล้าแกร่ง เพื่อจะได้ไม่หลงตาย ตายแล้วจะได้ไม่หลง.... จากนั้นพึงตั้งคำถามว่า “วันนี้เราพร้อมที่ตายหรือยัง?" "หากเราต้องตายในขณะนี้ เราพร้อมแล้วหรือยัง?” หากพบว่า ไม่พร้อม นั่นแหละ ความห่วงอาลัยจะเกิดปรากฏหลังความตาย ... พึงบำเพ็ญมรณะสติ ให้สติแจ่มใสแกล้วกล้า ให้กล้าตายได้ทุกเมื่อ ให้พร้อมตายได้ทุกเมื่อ

    *** ข้าพเจ้าเข้าใจว่า นี่ไม่ใช่แค่ความฝัน ตัวข้าพเจ้าเองได้ตายจริงๆ ไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง หากไม่ฟื้นตื่นเพราะพระอาจารย์บุญมาช่วย คงหลับไม่ฟื้นไปแล้วกระมัง ***



    ความฝัน มิใช่ความจริง … แต่

    อาจเป็น ในความเป็นจริง … และ
    เป็นจริงเสมอ ในความไม่เป็นจริง

  2. #2
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ หนุ่มเหงาคนไกลบ้าน
    วันที่สมัคร
    May 2008
    กระทู้
    2,307

    Re: ความตาย ในความฝัน

    คนเฮานอนหลับกะซ้ำตายแล้วละเนาะครับคั่นนอนบ่อตืนกะแปลว่าตายไปแล้วอั่นนี่ตามความคิดส่วนตัวเนาะครับ

  3. #3
    ฝ่ายกิจการพิเศษ สัญลักษณ์ของ กำพร้าผีน้อย
    วันที่สมัคร
    Apr 2009
    ที่อยู่
    รัตนาธิเบศร์..ใกล้แยกแคราย
    กระทู้
    1,788
    ผมกะเคยฝันลักษณะนี้ 2 เทือ...แต่หลังจากฝันชีวิตกะดีขึ้น โรคประจำโตกะหาย..
    เพิ่นว่าฝันว่าเจ้าของตายนี่เป็นฝันดี...แต่ตื่นขึ้นกะไปเฮ็ดบุญกรวดน้ำครับ...

  4. #4
    ฝ่ายบริหารระดับสูง สัญลักษณ์ของ พล พระยาแล
    วันที่สมัคร
    Mar 2008
    กระทู้
    6,430
    ฝันว่าตายโรคร้ายจะหาย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ครับ

  5. #5
    แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ สัญลักษณ์ของ นา ดอกจาน
    วันที่สมัคร
    Mar 2009
    ที่อยู่
    FL,USA
    กระทู้
    229

    ความตายในความฝัน

    ได้ข้อคิดเยอะเลยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ:-*ธุจ้า รู้อย่างนี้ยิ่งต้องเร่งสร้างเสบียงและตัดห่วงออกให้มากเพราะเรารู้แต่วันเกิด แต่ไม่รู้วันตาย.
    ดังภาษิตที่ว่า "ความตายนี่แขนคอทุกบาดหย่าง" (แม่นหยังต่อบุ้)
    ไผบ่อยากตายกะบ่ต้องเกิด..

Tags for this Thread

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •