* โดย หนูดี...วนิษา เรซ*

เคยสงสัยไหมคะว่า คนที่จะอยู่ต่อไปในโลกอย่างดีในโลกยุคหน้า ต้องมีคุณสมบัติ
หรือลักษณะอย่างไรบ้าง...และเราจะเตรียมลูกของเราอย่างไรให้เขาดำรงอยู่ได้
ไม่ใช่แค่อยู่รนอดได้นะคะ แต่อยู่ได้อย่างสง่างาม
ประสบความสำเร็จในสิ่งที่เขามุ่งหวัง แถมยังมีความสุข
และเหลือเวลาพร้อมด้วยทรัพย์สินที่จะช่วยเหลือคนอื่นๆ ได้อีกต่างหาก*...หนูดีว่า
นี่คือสิ่งมุ่งหวังของพ่อแม่ทุกๆ คน

แต่เราจะทำอย่างไรดีคะ ที่จะให้เด็กๆ
ของเรามีความพร้อมที่จะก้าวไปถึงจุดนั้นได้
ในเวลาที่เราไม่ได้อยู่ดูแลเขาอีกต่อไปแล้ว

คำถามนี้ มีคนๆ หนึ่งลองตอบได้น่าสนใจมาก...ท่านอาจารย์คนเก่งของหนูดีเอง
ที่ฮาร์วาร์ด ชื่อ *ดร.โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์* เพิ่งเขียนหนังสือเล่มใหม่เอี่ยม
ชื่อ *Five Mind for the Future*
ซึ่งท่านเซ็นชื่อหน้าปกและส่งมาอ่านให้หนูดีอ่านเล่นที่บ้าน
แทนคำขอบคุณที่หนูดีส่ง "ผ้าพันคอไหมไทย" ไปให้ท่านสวมหน้าหนาว ...ซึ่งจริงๆ
แล้ว ผ้าผืนนั้น เป็นผ้าปูโต๊ะขนาดเล็กและยาวค่ะ

หนูดีเห็นท่านพันคอไปแล้วเลยไม่กล้าแก้ความเข้าใจผิดกับท่าน...แต่แอบเอามาเขียนถึงดีกว่าค่ะ
แก้คิดถึง

หนังสือเล่มนี้สนุกมาก...อ่านเพลินเลย เพราะอาจารย์หนูดีชวนคุยว่าในโลกยุคหน้า
คนเราต้องเก่งด้านไหนบ้าง
ต้องคิดถึงให้ได้แบบไหนบ้างถึงจะอยู่รอดอย่างประสบความสุขความสำเร็จสูงที่สุดด้วย
ถึงแม้ท่านจะเป็นเจ้าของทฤษฎีเรื่องอัจฉริยภาพหลายประการ
แต่ท่านไม่ได้พูดถึงอัจฉริยภาพเป็นเรื่องใหญ่เลย

มาดูกันไหมคะว่า มีความฉลาดอะไรบ้างที่เราน่าฝึกลูกๆ (และรวมถึงตัวเราด้วย)
ให้เก่งกาจ...แต่ดูแล้ว ให้ยึดหลักกาลามสูตรนะคะ ว่าอย่าเชื่อไปทั้งหมด
ในห้าความคิดนี้ อาจจะมีด้านที่หก ที่คนเขียนมองพลาดไปแล้วลืมเขียน
อาจจะมีด้านไหนที่ไม่จำเป็น
หรืออาจจะไม่น่าจะจำเป็นทั้งห้าด้านเลยก็ได้ค่ะ...การอ่านไป ตั้งคำถามไป
เป็นนิสัยที่หนูดีถูกอาจารย์ท่านนี้ล่ะค่ะ ฝึกมาตลอดปีเลยว่า
ห้ามเชื่อทฤษฎีไหนง่ายๆ แค่เพราะมันน่าเชื่อ
อย่าเชื่อแค่เพราะอาจารย์เราเป็นคนบอก อย่าเชื่อแค่เพราะคนพูดเป็นคนดัง ฯลฯ...
เพราะหากเราฝึกคิดแบบนี้ แล้วเห็นช่องโหว่ได้...วันหนึ่งเราเอง
ก็อาจเป็นคนคิดค้นทฤษฎีใหม่ๆ มาอุดช่องโหว่นั้นเองก็ได้นะคะ



*1. Disciplined Mind สมองคิดเก่งในสาขาที่เราเลือก *

ความคิด ความเก่ง และทักษะแรกนี้จำเป็นมากค่ะ...เมื่อเราเลือกเรียนอะไร
เลือกทำอาชีพอะไร เราจำเป็นต้องเก่งและรู้รอบในสาขาวิชาชีพเราให้มากและดีที่สุด
เช่น ถ้าเราเลือกเป็นหมอ ก็ให้เป็นหมอที่เก่งมากๆ เลือกเป็นคนขายต้นไม้
ก็ต้องเชี่ยวชาญรู้จักต้นไม้ทุกชนิดทุกพันธุ์ รู้จักการเลี้ยงดู การเพาะ
ให้ครบถ้วน เพราะในการที่เราจะเก่งรอบด้านได้ เราต้องเก่งลึกก่อน คือ รู้ให้หมด
ในสิ่งที่เป็นของเราอย่างแท้จริง

ดังนั้นตอนเลือกหนแรกที่นี่ล่ะค่ะที่สำคัญ
เพราะนี่คือบ้านหลังแรกของเราเป็นบ้านที่เราต้องดูแลให้ดีที่สุด..และการเลือกสาขาที่จะเรียนนี้เราก็ต้องย้อนมาดูที่ความชอบหรือความถนัดของเราว่า
มันคืออะไร ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกลค่ะ บางคนบอกว่า
การค้นหาตัวเองเป็นเรื่องยากนั้น มักเป็นคนที่เลือกวิธีผิด คือการวิ่งไปมา
ทุกที่เพื่อหาตัวเอง ทั้งๆ ที่ตัวเขาก็อยู่ที่นั่น รอเขาอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น หน้าที่แรกที่เราต้องฝึกให้ลูกก็คือ *
การนิ่งและมองให้ดีว่าอัจฉริยภาพที่เรามีติดตัวมาคืออะไร*และเราจะพัฒนาเขาต่อไปได้อย่างไร
มันอาจจะเป็นด้านดนตรี ภาษา ธรรมชาติ ฯลฯ
หรืออาจจะหลายด้านรวมกันก็ได้ค่ะ



*2. Synthesizing Mind สมองคิดสังเคราะห์ข้อมูล *

นั่นแน่...เก่งด้านเดียวไม่พอแล้วสำหรับโลกยุคหน้าค่ะ เพราะว่าคำว่า
*"รู้อะไรกระจ่างแม้อย่างเดียว
แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล"* หนูดีต้องขอต่ออีกหน่อยว่า
รู้ให้กระจ่างสักสองสามอย่างจะดีกว่าค่ะ สมองของเราไหว
สบายอยู่แล้ว...โดยเฉพาะสมองเด็กๆ เพราะเขาชอบเชื่อมโยงข้อมูลเข้าหากัน

ในโลกยุคหน้า
คนทำงานส่วนใหญ่จะมีโอกาสเปลี่ยนงานหรือเปลี่ยนอาชีพเฉลี่ยคนละห้าครั้งเชียวนะคะ
เราเรียนจบมาด้านไหน หลายคนก็ไม่ได้ทำงานด้านนั้น
หรืองงานหลายอาชีพก็ต้องใช้ความรู้หลายสาขาวิชามารวมกัน ยกตัวอย่างง่ายๆ
อย่างหนูดีเลยค่ะ อาชีพหนูดีเป็นสาขาใหม่เรียนว่า *Mind, Brain, and
Education*จะว่าหนูดีเป็นหมอ ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว จะวาหนูดีเป็นนักจิตวิทยา
ก็ไม่เชิง
จะว่าเป็นนักการศึกษา ก็ไม่ใช่ทั้งหมด...
และนี้เป็นเทรนด์ที่มาแรงมากค่ะฝนยุคนี้ คือ การเกิดอาชีพใหม่ๆ
จากการนำอาชีพดั้งเดิมมาผสมกัน
ซึ่งน่าจะเป็นข้อมูลที่พวกเราสะสมกันไว้ในฐานะมนุษยชาตินั้นเยอะมาก
การจำกัดตัวเองไว้ในกรอบวิชาเดียว จึงเป็นการจำกัดศักยภาพมนุษย์ ดังนั้น
คนเก่งยุคหน้า
เลยควรรู้หลายสาขาเพื่ออุดช่องโหว่ของสาขาวิชาเดียว...ในโลกยุคของลูกเรา
เราคงได้เห็นอาชีพแปลกๆ ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย ...น่าตื่นเต้นดีนะคะ



*3. Creating Mind สมองคิดสร้างสรรค์ สิ่งใหม่ๆ *

*รู้รอบหลายสาขาวิชา...*ที่สำคัญที่สุด คือ*การคิดค้นสิ่งใหม่ แนวคิดใหม่ๆ
สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ
ขึ้นมาได้ค่ะ*เพราะการรู้อย่างเดียว...รู้แล้วความเก่งจบลงแค่ที่ตัวเราก็น่าเสียดาย
แต่ถ้าหากเราสามารถนำความเก่งนั้น มาสร้างสรรค์อะไรดีๆ ให้โลกได้
คงคุ้มค่าน่าดูค่ะ ...เพราะฉะนั้น หากเราเป็นนักวิทยาศาสตร์
เราอาจคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ให้วงการศิลปะก็ได้ เช่น
หนูดีเพิ่งเห็นนักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่ง คิดค้นนำขยะดีๆ
มาผลิตเป็นกระเป๋าดีไซน์สวย น่าใช้เชียว...
นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของการคิดไดเยี่ยมสำหรับโลกยุคหน้าค่ะ

เพราะถ้าแค่รู้ข้อมูล...
เราก็ฝึกลูกหรือลูกศิษย์ให้เป็นได้ก็แค่เพียงผู้บริโภคข้อมูล
แต่ข้อมูลจะมีคุณค่ามากกว่าเป็นเพียงแค่สิ่งที่ถูกเสพก็เมื่อเราสามารถเอาสมองของเราเป็นเครื่องแปลและแปรข้อมูลได้
เปลี่ยนเป็นสิ่งใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์แบบที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน



*4. Respectful Mind สมองคิดให้เกียรติคน *

ฉลาดแล้ว ทักษะเยี่ยมแล้ว... ไม่น่าจะพอแน่ๆ สำหรับโลกยุคหน้า
เพราะ*การให้เกียรติคนและการถ่อมตัว
เป็นนิสัยที่อัจฉริยะทุกคนต้องฝึกให้มีค่ะ...* หนูดีเข้าเรียนฮาร์วาร์ดวันแรก
สิ่งแรกที่ได้ยินคือปีนี้ขอให้นักเรียนใหม่ทุกคน ฝึกนิสัยให้เป็นคนถ่อมตัว
เพราะคนเก่งที่ให้เกียรติใครไม่เป็น... ในที่สุดแล้วไม่มีใครอยากให้เกียรติเขา
และผลงานดีๆ ก็จะมีออกมาไม่ได้ เพราะหาเพื่อนเก่งๆ ดีๆ
ร่วมทำงานวิจัยด้วยไม่ได้เป็นคำสอนที่มีค่ามาก...
เพราะวันหนึ่งที่เราเป็นคนเก่งมาก ก็จะมีคนชมมาก
หากเราไม่รู้จักการประมาณใจให้ถ่อมตัวเสมอ
เราก็จะเหลิงและลืมไปว่าทุกคนในโลกนี้คืออัจฉริยะทั้งนั้น ทุกคนเก่งทั้งนั้น
ขึ้นอยู่กับว่า เขาเก่งด้านไหนเท่านั้นเอง... ว่าไปแล้ว
บทเรียนการถ่อมตัวถ่อมใจ
เป็นหนึ่งในบทเรียนที่หนูดีถือว่ามีค่าที่สุดจากฮาร์วาร์ดค่ะ



*5. Ethical Mind สมองคิด มีคุณธรรม
เห็นความเชื่อมโยงถึงการกระทำของเรากับผู้อื่น *

คนเก่งทีได้รับการกล่าวถึงอย่างชื่นชมในยุคนี้
ไม่ใช้คนที่แค่ประสบความสำเร็จเรื่องงาน หาเงินได้เยอะเท่านั้นนะคะ
แต่คนที่ใครๆ รักและชื่นชม มักเป็นคนเก่งที่คิดถึงสังคมโดยรวมเป็น...
บางคนเรียกทักษะนี้ว่า *"คุณธรรม"* แต่หนูดีชอบเรียกว่า *"การเห็นว่า
พฤติกรรมของเรามีผลกระทบได้ทั้งทางดีลางร้ายกับผู้อื่น"*

การคิดแบบให้เกียรตินั้น เรามักจะทำกับอื่นอีกคนเดียว แต่การคิดแบบ
*"คุณธรรม"*จะเป็นการคิดถึงคนเป็นร้อย เป็นหมั่น เป็นล้านเลยทีเดียวว่า
การกระทำของเราจะกระทบกับคนอื่นอย่างไร....เช่น หากวันหนึ่ง
เราได้เป็นเจ้าของโรงงานน้ำตาลที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เราจะทำอย่างไรกับน้ำเสียของโรงงาน หากเราได้เป็นนักการเมือง
เราจะทำอะไรกับเงินภาษีปีละเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน

คนเก่งแบบนี้ มีตัวอย่างที่ดีคือ *คุณบิล
เกตส์*ซึ่งรวยอันดับหนึ่งของโลกติดต่อกันหลายผี แต่ทุกวันนี้
ชีวิตของเราเป็นการกุศลและมีเป้าหมายว่า อยากบริจาคเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของรายได้
ทำเป็นโครงการต่างๆ ที่ทำให้โลกนี้ดีขึ้น... น่าทึ่งมากนะคะ ที่คนๆ หนึ่ง
สร้างอาณาจักรมหึมานี้มาจากศูนย์ และวันหนึ่งจะนำเงินจากแหล่งนี้กลับคืนให้โลก

*โลกยุคหน้า คงไม่ใช่โลกที่น่าอยู่นัก หากแต่ละคนคิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัว *

ในการเป็นพ่อแม่ที่ดี คงไม่ใช่แค่การสอนให้ลูกเก่งวิชา สอบได้เกรดสี่เท่านั้น
แต่เป็นการสอนให้เขาใช้สมองเขาได้เต็มคุณค่า
และรู้ว่าจะใช้สมองนั้นไปทำไมทั้งเพื่อตัวเองและเพื่อสังคม...
เป็นโจทย์ที่ไม่ง่ายเลยนะคะ แต่หนูดีว่า การเลี้ยงลูกให้ดี
เป็นการให้ของขวัญที่ดีที่สุดกับโลกแล้วค่ะ...
นี่เป็นคำที่หนูดีได้ยินเสมอจากแม่ของหนูดีว่า
หนูดีเป็นของขวัญมีค่าที่สุดที่แม่มอบให้โลก... และหนูดีเชื่อว่า
พ่อแม่คนไหนคิดได้แบบนี้ไม่มีทางที่จะเลี้ยงลูกผิดพลาดค่ะ
และเด็กคนนั้นจะมีความสุขมากกับความเก่งของเขา



*Brain Tips *

*เทคนิคสนุกๆ อันหนึ่งของการสอนลูกให้ถ่อมตัว คือ การให้เขาลองเรียนอะไรใหม่ๆ
ทุกปี โดยอาจจะคงกิจกรรมด้วยเดิมไว้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น
หากเขาเรียนบัลเลย์อยู่ก็ให้เรียนต่อเนื่อง แต่ปีนี้อาจให้เพิ่มเรียนศิลปะ
ปีหน้าให้ลองเรียนเต้นละติน อีกปีให้ลองเรียนเทควันโด.. เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
บ้างค่ะ เพราะเด็กๆ จะไดใช้กล้ามเนื้อมัดที่แปลกออกไป ได้ลองก้าว
ลองหมุนตัวแบบที่ไม่เคยหมุน... แต่ประโยชน์ที่แท้จริงคือ การที่เขาจะรู้ว่า
โลกนี้ยังมีคนเก่งอีกเยอะแยะ
มากมายหลายแบบ...และเราไม่ใช่คนเดียวในโลกที่เก่ง...ถ้าทำได้แบบนี้
เขาจะมีคนให้ทึ่งใหม่ๆ ทุกปี ว่า ครูคนนี้ปั้นดินเก่งจัง โอ้โห เพื่อนใหม่คนนี้
หมุนตัวตามจังหวะซัลซ่าได้ตั้งสามรอบ ในขณะที่เขาหมุนแล้วเซทั้งๆ
ที่ในห้องบัลเลย์เขาคือ เด็กเก่งที่สุด...ให้เด็กลองด้วยตัวเองแบบนี้ รับรอง
ถ่อมตัวอย่างน่ารักและเป็นธรรมชาติแน่นอนค่ะ *