บรรพบุรุษของ"ชาวอุบล"
การตั้งบ้านแปงเมืองของชาวอุบล คือส่วนหนึ่งแห่งการเดินทางอันยาวนานของพวกไต-ลาว เข้าสู่ลุ่มน้ำโขงและอีสาน มีการตั้งเมืองเป็นศูนย์กลางของชุมชน การเดินทางอันยาวนานของบรรพบุรุษของชาวอุบลนี้กินอาณาบริเวณกว้างขวาง จากหนองบัวลุ่มภู หรือ นครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน (เขตจังหวัดอุดรธานีในปัจจุบัน) จนถึงดอนมดแดง ห้วยแจระแม เมืองอู่ผึ้ง ที่สุดคืออุบลราชธานี
การสร้างบ้านแปงเมืองของบรรพบุรุษชาวอุบลแบ่งตามพื้นที่ เป็น 2 เขตคือ
ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง … ประเทศลาวในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตจัมปาศักดิ์
ฝั่งขวาแม่น้ำโขง … ในภาคอีสาน ตั้งแต่จังหวัดอุดรธานี ถึงอุบลราชธานีในปัจจุบัน
กระบวนการสร้างบ้านแปงเมืองของลาวเวียงจันทน์และจำปาศักดิ์ เป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ผู้คนอพยพมาฝั่งขวาแม่น้ำโขงมากขึ้น มีทั้งพวกที่ตั้งบ้านเมืองขึ้นใหม่ หรือสมทบกับชุมชนที่ก่อตั้งอยู่แล้ว ในช่วงเวลาดังกล่าวประชากรของหนองบัวลุ่มภูคงเพิ่มมากขึ้น ดังปรากฏว่า เจ้าพระวอ-พระตา ส่งคนไปสร้างบ้านแปงเมืองในบริเวณใกล้เคียง เช่น ที่เมืองสิงห์โคกและสิงห์ท่า แถบลุ่มน้ำชี-มูล (ปัจจุบันคือจังหวัดยโสธร) จนเกิดเมืองบริวารขึ้น 4 ทิศคือ เมืองภูเขียว เมืองภูเวียง เมืองผ้าขาว เมืองพันนา กำลังคนที่เพิ่มมากขึ้นนี้เองทำให้เจ้าพระวอ-พระตาสามารถสร้างเมืองหนองบัวลุ่มภูได้ ตำนานบันทึกไว้ว่า “สร้างบ้านแปงเมืองด้วยเวียงไม้แก่น ยกขึ้นเป็นเมืองเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน”
บรรพบุรุษของชาวอุบลแรกเริ่มคือ เจ้าปางคำ แห่งเมืองหนองบัวลุ่มภู .. ซึ่งเชื่อกันว่า เจ้าปางคำ ดองเครือญาติกับพวกลาวหลวงพระบาง กล่าวคือ เจ้าอินทกุมาร ได้ธิดาของพระเจ้าสุริยวงศาเป็นชายา นางจันทกุมารีเป็นเป็นชายาของพระยุวราช ส่วนเจ้าปางคำได้พระนัดดาของพระเจ้าสุริยวงศาเป็นชายา เจ้าพระตา พระวอ เป็นโอรสของเจ้าปางคำ เชื่อกันว่าท่านทั้ง 2 ได้เป็นเสนาบดีสมัยพระไชยเชษฐาธิราช พระอัยกาของพระเจ้าสิริบุญสาร เสนาบดีทั้ง 2 ท่านมีบทบาทมากในการชิงราชสมบัติคืนให้กับพระเจ้าสิริบุญสารจากพวกที่ก่อการจราจลวุ่นวาย เข้าใจว่าท่านคงมีบุญบารมีมากขึ้นถึงขั้นที่ทำให้พระเจ้าสิริบุญสารหวาดระแวง จนท่านต้องหนีกลับมาตั้งมั่นที่หนองบัวลุ่มภูดังเดิม
เจ้าพระวอ-พระตามีกำลังกล้าแข็งเป็นลำดับ จนราว พ.ศ.2310 ทำให้พระเจ้าสิริบุญสารแห่งเวียงจันทน์ส่งกำลังมาปราบปรามด้วยความหวาดระแวงว่าทั้งสองท่านจะคิดการใหญ่ แต่ก็ถูกไพร่พลของเจ้าพระวอและเจ้าพระตาตีแตกกลับไปทุกครั้ง และทำการสู้รบกันอยู่ถึง 3 ปี ฝ่ายเจ้าพระวอกับเจ้าพระตาเห็นว่ากำลังของตนมีน้อย จึงได้ไปขอกำลังของกองทัพพม่าให้มาช่วย แต่พม่ากลับส่งกำลังไปช่วยพระเจ้าศิริบุญสารตีเมืองหนองบัวลำภู หรือนครเขื่อนขันฑ์กาบแก้วบัวบานแตก ทำให้เจ้าพระตาเสียชีวิตในที่รบ ส่วนเจ้าพระวอกับไพร่พลที่เหลือก็แตกหนีลงไปของพึ่งเจ้านครจำปาศักดิ์
เจ้าพระวอเกิดหมางใจกับพระเจ้าองค์หลวงเจ้านครจำปาศักดิ์ จึงได้อพยพย้ายหนีกลับไปตั้งมั่นอยู่ที่ดอนมดแดง ริมฝั่งแม่น้ำมูล และได้แต่งเครื่องราชบรรณาการไปเมืองนครราชสีมา ขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อปี พ.ศ.2319 เมื่อพระเจ้าสิริบุญสารทราบเรื่อง จึงแต่งให้พระยาสุโพรีบคุมกองทัพมาตีเจ้าพระวอที่ดอนมดแดง แล้วล้อมจับเจ้าพระวอได้จึงให้ประหารชีวิต
ท้าวก่ำ บุตรเจ้าพระวอ ท้าวคำผง ท้าวทิดพรหม บุตรเจ้าพระตาหลบหนีไปได้ และแจ้งเรื่องมายังเมืองนครราชสีมาให้นำความกราบบังคมทูลพระเจ้ากรุงธนบุรีเพื่อขอกำลังไปช่วย ซึ่งพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและเจ้าพระยาสุรสีห์ ยกกองทัพไปตีเมืองจำปาศักดิ์และเวียงจันทน์ ในปี พ.ศ.2321 แล้วยึดเมืองทั้งสองไว้และได้อัญเชิญพระแก้วมรกตกับพระบางลงมายังกรุงธนบุรี พร้อมกับคุมตัวเจ้านครจำปาศักดิ์ลงมาด้วย สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงโปรดฯ ให้เจ้านครจำปาศักดิ์กลับไปครองจำปาศักดิ์ดังเดิม โดยเป็นเมืองประเทศราชขึ้นตรงต่อกรุงธนบุรีนับแต่นั้นมา … ในพงศาวดารไทยจึงบันทึกไว้ว่า ครั้งนั้นกองทัพธนบุรีตีได้นครพนม หนองคาย เวียงจันทน์ ซึ่งอยู่ตรงเขตอีสานเหนือ ส่วนทางอีสานใต้ได้ให้จัดกองกำลังของเจ้าคำผงคอยกวาดต้อนผู้คนให้เข้าสังกัด เห็นไดขัดถึงการที่เมืองอุบลเป็นศูนย์กลางสำคัญและเป็นแหล่งสะสมประชากร
ส่วนท้าวคำผง สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดฯ ให้ตั้งเป็น พระประทุมสุรราชภักดี ขึ้นกับเมืองจำปาศักดิ์ ในปี พ.ศ.2323 เมืองเขมรเกิดจลาจล พระประทุมฯ ท้าวทิดพรหม และท้าวคำสิงห์ ได้ร่วมยกทัพไปปราบพร้อมกับสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก แต่ก็เกิดเหตุการณ์ทางกรุงธนบุรีเสียก่อน พระประทุมฯจึงได้ติดตามกองทัพไปยังกรุงธนบุรีด้วย
ครั้นเมื่อสมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึกได้ขึ้นครองราชสมบัติแล้ว พระประทุมฯจึงขอพระราชทานย้ายครอบครัวไปตั้งภูมิลำเนาที่บ้านห้วยแจระแม (ใกล้กับเมืองอุบลฯในปัจจุบัน) และท้าวคำสิงห์ย้ายไปอยู่บ้านสิงห์โคก สิงห์ท่า
ต่อมาได้เกิดกบฏอ้ายเชียงแก้วชาวเมืองโขง ซึ่งแสดงตนเป็นผู้วิเศษ ยกกำลังไปล้อมเมืองจำปาศักดิ์ ขณะที่เจ้านครจำปาศักดิ์กำลังประชวรหนัก พระประทุมสุรราชภักดีและท้าวฝ่ายหน้าพากันยกกำลังไปปราบปะทะกับอ้ายเชียงแก้วที่แก่งตะนะ จับอ้ายเชียงแก้วได้จึงให้ประหารชีวิต เพื่อเป็นบำเหน็จความชอบในการทำประโยชน์ต่อบ้านเมือง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ท้าวฝ่ายหน้าบุตรเจ้าพระตาเป็นเจ้าพระวิไชยราชขัตติวงศา ครองนครจำปาศักดิ์สืบแทนพระเจ้าองค์หลวง และให้พระประทุมราชภักดีเป็นพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ยกฐานะบ้านแจระแมขึ้นเป็นเมืองอุบลราชธานี ศรีวนาลัย เมื่อวันจันทร์เดือน 8 แรม 13 ค่ำ ปีชวด พ.ศ.2335
ต่อมาพระประทุมฯเห็นว่าบ้านห้วยแจระแมไม่เหมาะที่จะตั้งเป็นเมืองใหญ่ จึงได้ย้ายมาตั้งบ้านเมืองที่ตำบลบ้านร้าง เรียกว่า ดงอู่ผึ้ง ริมฝั่งแม่น้ำมูลอันเป็นที่ตั้งของจังหวัดอุบลราชธานีในปัจจุบัน พร้อมกับได้สร้างพระอารามหลวงขึ้นเป็นวัดแรก
ภายหลังการก่อตั้งเมืองอุบลฯ แล้ว ก็ได้มีการตั้งเมืองสำคัญในเขตปกครองของจังหวัดอุบลราชธานีขึ้นอีกหลายเมือง เช่น ใน พ.ศ.2357 โปรดฯให้ตั้งบ้านโคกพเนียง เป็นเมืองเขมราฐธานี
ปี พ.ศ.2366 ยกบ้านนาก่อขึ้นเป็นเมืองโขงเจียง (โขงเจียม) โดยขึ้นกับนครจำปาศักดิ์
ปี พ.ศ. 2388 ในรัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกบ้านช่องนางให้เป็นเมืองเสนางคนิคม
ยกบ้านน้ำโดมใหญ่ขึ้นเป็นเมืองเดชอุดม ให้หลวงอภัยเป็นหลวงยกบัตรหลวงมหาดไทยเป็นหลวงปลัด ตั้งหลวงธิเบศร์เป็นพระศรีสุระ เป็นเจ้าเมือง รักษาราชการแขวงเมืองเดชอุดม
ปี พ.ศ. 2390 ตั้งบ้านดงกระชุหรือบ้านไร่ ขึ้นเป็นเมืองบัวกัน ต่อมาได้เปลี่ยนมาเป็นเมืองบัวบุณฑริก หรืออำเภอบุณฑริกในปัจจุบัน
ปี พ.ศ. 2401 ตั้งบ้านค้อใหญ่ ให้เป็นเมือง ขอตั้งท้าวจันทบรม เป็นพระอมรอำนาจ เป็นเจ้าเมือง ตั้งท้าวบุตตะเป็นอุปฮาด ให้ท้าวสิงหราชเป็นราชวงศ์ ท้าวสุริโยเป็นราชบุตร รักษาราชการเมืองอำนาจเจริญขึ้นกับเมืองเขมราฐ
ปี พ.ศ. 2406 ในรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านกว้างลำชะโด ตำบลปากมูล เป็นเมืองพิบูลมังสาหาร และให้ตั้งบ้านสะพือ เป็นเมืองตระการพืชผล ตั้งท้าวสุริยวงษ์ เป็นพระอมรดลใจ เป็นเจ้าเมือง
ปี พ.ศ. 2422 ในรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านท่ายักขุเป็นเมืองชานุมานมณฑล และให้ตั้งบ้านเผลา (บ้านพระเหลา) เป็นเมืองพนานิคม
ปี พ.ศ.2423 โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านนากอนจอ เป็นเมืองวารินชำราบ
ปี พ.ศ. 2424 โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านจันลานาโดม เป็นเมืองโดมประดิษฐ์ (ปัจจุบันเป็นหมู่บ้านที่อำเภอน้ำยืน)
ปี พ.ศ.2425 โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านทีเป็นเมืองเกษมสีมา ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นอำเภอม่วงสามสิบนั่นเอง
อุบลราชธานี จึงเป็นเมืองที่มีเขตการปกครองอย่างกว้างขวางที่สุด ทางด้านตะวันออกของภาคอีสานตอนล่างครอบคลุมที่ราบและแม่น้ำสายสำคัญของภาคอีสานถึง 3 สายด้วยกัน คือ แม่น้ำชี แม่น้ำมูล และแม่น้ำโขง อีกทั้งยังมีแม่น้ำสายเล็กๆที่มีกำเนิดจากเทือกเขาในพื้นที่ เช่น ลำเซบก ลำเซบาย ลำโดมใหญ่ เป็นต้น
แม่น้ำทั้งหลายเหล่านี้ไหลผ่านที่ราบทางด้านเหนือและทางด้านใต้ทอดเป็นแนวยาวสู่ปากแม่น่ำมูลและแม่น้ำโขง ยังความอุดมสมบูรณ์ให้แก่พื้นที่ในบริเวณแถบนี้ทั้งหมด ทำให้เกิดสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์มาแต่โบราณกาล
ขอบคุณ … เนื้อความบางส่วนจากหนังสือ เมืองอุบล ธานีแห่งราชะ ศรีสง่าแห่งไพรพฤกษ์ โดย ดร. ธิดา สาระยา และ http://www.lib.ubu.ac.th/html/ub_inf...n/history.html
(((ถ่าซ้ำผู่ข่ากะขออภัยเด้อจ้า)))
Bookmarks