รวมธรรมบรรยายของ
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (5)



แสงส่องใจ 4 (จบแสงส่องใจ)


คาเม วา ยทิวารญฺเญ นินฺเน วา ยทิวา ถเล
ยตฺถํ อรหนฺโต วิหรนฺเต ตํ ภูมิรามเณยฺยกํ
พระอรหันต์ทั้งหลายอยู่ในที่ใด คือบ้านก็ตาม ป่าก็ตาม ที่ลุ่มก็ตาม ที่ดอนก็ตาม
ที่นั้นย่อมเป็นภูมิน่ารื่นรมย์
นี้เป็นพระพุทธภาษิต




ธรรมบรรยายของ สมเด็จพระสังฆราช (5)


แสงส่องใจ(4) (จบแสงส่องใจ)


พระพุทธศาสนาแสดงไว้ชัดแจ้งตามคำทรงสอนในองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า "เงินเป็นงูพิษ" นึกถึงพระพุทธวจนะนี้แล้วทำให้เห็นบ้านเมืองในทุกวันนี้เต็มไปด้วยงูพิษ เลื้อยอยู่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด เมื่อนึกถึงภาพงูพิษเลื้อยอยู่ทุกคนทุกแห่ง ทุกบ้านช่องห้องหอ ก็ทำให้ขนลุกขนพองสยองเกล้าได้เหมือนกัน ความรู้สึกนี้เป็นอย่างไร แม้ประสงค์จะรู้ให้แจ้ง ก็ให้คิดวาดภาพงูร้อยแปดชนิด ที่ล้วนมีพิษแรงร้าย มีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวและได้มารวมกันอยู่เพียงในบ้านเรือนของเรา ไม่ต้องนึกถึงขนาดมีงูพิษทั่วบ้านทั่วเมือง เราจะรู้สึกอย่างไร แม้เพียงรู้สึกจากมโนภาพก็ยังยากจะรับได้แล้ว

แต่ทุกวันนี้งูเลื้อยอยู่วุ่นวายแน่นขนัดไปทั่วบ้านทั่วเมืองที่รักของเราแล้ว ลองคิดดู คิดถึงพระพุทธวจนะที่ทรงกล่าวไว้ว่า "เงินเป็นงูพิษ" แล้วพอจะเห็นจริงหรือไม่ ว่าทุกวันนี้งูพิษท่วมบ้านท่วมเมืองเราแล้ว บ้านช่องของเราแต่ละคนอัดแออยู่ด้วยงูพิษ เพราะในใจก็ตามในสมองก็ตามของพวกเราเต็มไปด้วยเงิน เงิน เงิน ขอให้ได้เงินเป็นยอมทำได้ทุกอย่าง เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของตนเองก็ทำได้ น่าอับอายเพียงไรก็ทำได้ นี่แหละคืองูพิษที่เลื้อยเพ่นพ่านอยู่แน่นบ้านแน่นเมืองไทยที่รักของเรา ที่เป็นเมืองพระพุทธศาสนาแท้ๆ


เรามีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ มีพระพุทธศาสนาเป็นชีวิตจิตใจ แต่เราอ่อนแอเกินไปเมื่อเผชิญกับงูพิษ ยอมให้งูพิษออกลูกออกหลาน หลายเพศหลายพันธุ์ พิษมากพิษน้อย ท่วมบ้านท่วมเรือน ท่วมประเทศท่วมชาติ นั่นก็คือเงินกำลังเป็นพระเจ้า บัญชาให้ทำทุกอย่างได้เพื่อเงิน เงิน เงิน เงิน อยู่ในสมองทุกเวลานาที คิดพูดทำได้ที่ไม่ดีไม่งามไม่ถูกต้องทุกอย่างแม้จะนำเงินให้เพิ่มพูน มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น ได้กินดีอยู่ดีขึ้น ได้เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีขึ้น ได้มีหน้ามีตาขึ้น ได้เป็นใหญ่เป็นโตขึ้น ฯลฯ เมื่อได้เหล่านี้เท่านั้นก็ลืมกลัวงูพิษอย่างสนิท ลืมรังเกียจความน่าขนลุกขนพองสยองเกล้าของงูพิษอย่างสนิท ลืมความทุกข์ทรมานถึงเป็นถึงตายที่จะเกิดจากพิษงูอย่างสนิท สิ่งที่เกิดแก่ชีวิตจิตใจผู้คนในทุกวันนี้จึงน่ากลัวนัก น่ากลัวที่สุด


งูพิษให้ความตายได้ทุกรูปแบบ ตายเร็ว ตายช้า ตายสงบตายทรมาน ทำให้นึกถึงคนสมัยนี้ตายได้ทุกรูปแบบด้วยอำนาจของเงิน เงินที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงชี้ไว้ถูกต้องเมื่อจะ 2600 ปีมาแล้ว ทรงชี้ไว้ชัดเจน ว่าเงินคืองูพิษ เงินเป็นงูพิษ แล้วมีหรือที่เราจะไม่ตายเพราะเงิน เงินที่คืองูพิษนั่นเอง ถ้ามีสติปัญญามีความรู้อยู่แล้วว่าสมเด็จพระบรมครูของเราเคยรับสั่งเตือนสติไว้ ว่า "เงินเป็นงูพิษ" ก็ย่อมจะสะดุ้งใจไม่มากก็น้อยเมื่อเห็นเงิน


จิตสำนึกน่าจะบอกว่า งู งูนะ ระวังงู จิตสำนึกที่ถูกต้องงดงามจะทำให้คิดได้เช่นนี้ เงินจะไม่ขึ้นสมอง จะไม่ทุ่มเทชีวิตจิตใจให้ได้เงินให้มากที่สุด ให้ทุกวิถีทาง โดยไม่คำนึงถึงความผิดชอบชั่วดี ไม่คำนึงว่ากำลังเหยียบย่ำทำลายชื่อเสียงเกียรติยศชาติสกุล ที่ท่านผู้เป็นบุพการีได้สร้างไว้อย่างสมความเป็นไทย น่าสลดใจ และน่าตกใจที่ไม่รู้ว่ากำลังจะตายเมื่อไร ทรมานเพียงไหน ด้วยพิษของงูพิษที่เข้าไปโอบอุ้มไว้ด้วยมั่นใจว่าจะให้ความมั่งมีศรีสุขมีหน้ามีตาแก่ตนได้ วางใจในงูพิษ

ไม่ระมัดระวังการปฏิบัติต่องูพิษอย่างรอบคอบ จะรับทุกข์โทษภัยหนักหนาที่สุดเพียงใดก็ได้ เช่นเดียวกับวางใจในเงิน ไม่ระมัดระวังการปฏิบัติต่อเงินอย่างรอบคอบ ก็จะรับทุกข์โทษภัยหนักหนาที่สุดเพียงใดก็ได้เช่นเดียวกัน ขออย่าไม่ให้ความสนใจความจริงนี้ "เงินเป็นงูพิษ เงินคืองูพิษ" ลงว่าสมเด็จพระบรมศาสดาทรงเตือน ก็แสดงว่าทรงเห็นภัยยิ่งใหญ่ของเงินที่กำลังจะเกิดแก่มนุษย์ในโลกแล้ว


ที่จริง สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาล้นพ้นต่อสัตว์โลกทั้งปวง คำทรงสอนทั้งนั้นล่วนเป็นเครื่องนำผู้นอบน้อมยอมรับให้ได้ไปสู่ความสวัสดี พ้นทุกข์พ้นร้อน เป็นไปตามน้ำพระพุทธหฤทัยมุ่งมั่นแม้ตั้งแต่ยังมิได้ทรงตรัสรู้ ได้ทรงช่วยสัตว์โลกสมดังพระมหากรุณาที่เปี่ยมล้นพระพุทธหฤทัย ทรงสอน ทรงสั่ง ทรงปลอบโยนอย่างอลุ้มอล่วย ไม่ทรงหักหาญให้คนผิดตื่นตระหนกตกใจจนไม่เห็นทางพาตนให้พ้นภัยได้


ดังพระพุทธภาษิตบทหนึ่งที่แสดงถึงพระมหากรุณาอย่างยิ่งแม้ต่อผู้มีบาปทำแล้ว ดังนี้ "ถ้าคนพึงทำบาป ก็ไม่ควรทำบาปนั้นบ่อยๆ ไม่ควรทำความพอใจในบาปนั้น เพราะการสั่งสมบาปนำทุกข์มาให้" คิดให้ดี คิดให้ลึกซึ้ง คิดให้เห็นชัดถึงพระมหากรุณา เคยพบง่ายๆหรือที่เมื่อทำบาปแล้วจะได้ฟังคำปลอบโยนเตือนสติเช่นนี้ พึงฟัง พึงเชื่อ และพึงสำนึกในพระมหากรุณาให้ทุกลมหายใจเข้าออก เรามีบุญนักที่ไม่เพียงเกิดเป็นมนุษย์ แต่ยังพบพระพุทธศาสนาอีกด้วย ยอดของบุญทีเดียว อย่าไม่แยแสบุญนี้เป็นอันขาด ที่สำคัญที่สุดอย่าไม่สำนึกด้วยกตัญญูต่อเบื้องพระพุทธบาท ที่ทรงพระคุณล้นหัวล้นเกล้าทั้งเราทุกคน ทั้งประเทศชาติพระศาสนาและแม้ทั้งพรหมเทพเทวามากหลาย


มนุษย์ที่ดีมีปัญญาจะมีความกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธบาท พรหมเทพท่านก็มีความดีมีปัญญา ดังนั้นท่านก็ย่อมมีกตัญญูกตเวทีต่อเบื้องพระพุทธบาทแน่นอน เคยมีคำถามบ่อยๆว่าเทวดามีจริงหรือ เมื่อไม่เคยเห็นก็ตอบได้ว่าไม่เคยเห็น แต่นั่นมิได้ปฏิเสธว่าเทวดาไม่มีและก็มิได้หมายความว่าไม่เชื่อว่าเทวดามี ผู้ที่เรียนรู้พระพุทธประวัติแม้เพียงพอสมควร ย่อมจะได้รู้พระพุทธกิจส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่ทรงแสดงไว้ คือทุกค่ำคืนทรงมีพระพุทธกิจที่ทรงปฏิบัติประจำดังนี้ ยามต้นทรงเทศน์โปรดมนุษย์ ยามสองทรงตอบปัญหาพรหมเทพ ยามสามทรงพัก ยามสี่ทรงเล็งพระพุทธญาณตรวจดูว่ามีผู้ใดที่สมควรเสด็จไปทรงโปรด ตัวอย่างที่รู้กันทั่วไปก็คือที่เสด็จไปทรงโปรดท่านพระองคุลีมาล เป็นเหตุให้ท่านพ้นจากการทำอนันตริยกรรม คือฆ่ามารดา ซึ่งจะมีผลกรรมร้ายแรง คือตกนรกอเวจี ไม่อาจพ้นได้เลย นี้เป็นเหตุที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพรหมเทพหรือเทวดามี ทั้งยังเป็นเทวดาที่เคารพศรัทธาในสมเด็จพระบรมศาสดาจริง


ไม่เช่นนั้นคงไม่พากันไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดาทั้งเพื่อกราบทูลถามปัญหาธรรม และเพื่อได้ชื่นชมพระพุทธบารมี ทั้งหมดนี้ปรากฏอยู่ในพระสูตรต่างๆหลายพระสูตร ที่ไม่มีอะไรน่าเคลือบแคลงสงสัยว่าจะเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา มีพระพุทธศาสนาเป็นที่รัก ก็แสดงว่ามีศรัทธาเทิดทูนพระพุทธองค์ น่าจะปีติโสมนัสที่ทรงเป็นที่เทิดทูนศรัทธาของพรหมเทพ ไม่ใช่จะปฏิเสธให้เห็นว่าที่มีการกล่าวถึงพรหมเทพในพระสูตรสำคัญๆทุกพระสูตรนั้นไม่มีมูลความจริง เพราะเทวดาไม่มี มันขัดกันอย่างดำเป็นขาว ขาวเป็นดำ กับที่เทิดทูนพระพุทธองค์ อันพรหมเทพเทวานั้นทั่วไปถือว่ามีบุญบารมีได้เกิดอยู่ในที่สูง มานอบน้อมยอมสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสมเด็จพระบรมครูของเรา เราผู้เป็นกัลยาณปุถุชน ยังมีความโลภความโกรธความหลง ต้องภูมิใจ ต้องปีติโสมนัสอย่างยิ่งเป็นธรรมดา นี่อย่าคิดว่าเป็นพระเป็นสงฆ์มาชักชวนให้งมงาย จะเป็นบุญกว่าเป็นบาป


พระสูตรสำคัญพระสูตรหนึ่งในพระพุทธศาสนา คือ "พระมหาสมัยสูตร" พระสูตรนี้มีแสดงนำไว้ว่า "พระพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงพระสูตรเป็นที่รัก และที่พึงใจ นำมาซึ่งปีติปราโมทย์แห่งจิต ของเทพดาเหล่านั้น ให้เทพดาเหล่านั้นร่าเริงอยู่ เราทั้งหลายจงสวดพระสูตรนั้น เพื่อเป็นที่ร่าเริงแห่งหมู่เทพดาเทอญ" นี่ก็เป็นอีกพระสูตรหนึ่งที่แสดงความสำคัญของเทวดาในความรู้สึกของท่านผู้มีพระพุทธศาสนาเป็นที่รักที่เทิดทูน


ยุคหนึ่งเมื่อนานปีมาแล้ว มีเหตุการณ์ค่อนข้างน่าเป็นห่วงเกิดขึ้นในโลก ที่น่าเกรงว่าจะเกิดแก่ไทยเราด้วย พระท่านจึงพร้อมใจกันสวด "พระมหาสมัยสูตร" อยู่นานวัน และเมื่อญาติโยมทั่วไปรู้เรื่องนี้ เข้าใจดีว่าที่นำ "พระมหาสมัยสูตร" มาสวดก็เพื่อให้เทวดาร่าเริงและก็เข้าใจไปไกล ที่ก็ไม่ผิด ว่าเพื่อให้เทวดาร่าเริงแล้ว เทวดาก็ย่อมจะเห็นน้ำใจผู้ที่สวด โดยมุ่งให้เทวดาร่าเริง ท่านที่มีบารมีได้เป็นเทวดา ย่อมเห็นใจผู้ที่มีน้ำใจให้ความร่าเริงแก่ท่าน ย่อมมีน้ำใจตอบ นั่นก็คือย่อมรักษาให้สวัสดีโดยควร


วันหนึ่งได้ไปกราบหลวงปู่เพิ่มที่วัดกลางบางแก้ว โดยมีศิษยานุศิษย์ญาติโยมติดตามไปด้วยหลายคน หลวงปู่เพิ่มท่านชรามากแล้ว ลักษณะท่าทางแบบเดียวกับหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่ญาติโยมพูดตรงกันว่าท่านน่ารักเหมือนกัน วันนั้นหลวงปู่เพิ่มท่านเล่าให้ฟัง ว่าหลวงปู่บุณย์อาจารย์ของท่านที่มรณภาพไปนานปีแล้ว


เคยเล่าให้ท่านฟัง ว่าท่านเป็นเพื่อนกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆังโฆสิตาราม เจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านทรงสั่งหลวงปู่บุณย์ ว่าอย่าสวด "พระมหาสมัยสูตร" ในบ้าน ให้สวดได้แต่ในวัดหรือในวังเท่านั้น เพราะการสวด "พระมหาสมัยสูตร" ที่ใด ที่นั้นพรหมเทพจะไปร่วมฟังมาก เพราะดังมีแสดงไว้ในพระสูตรนั้นว่าเป็นที่รักที่พึงใจ นำมาซึ่งปีติปราโมทย์แห่งจิตของเทพดา หลวงปู่เพิ่มท่านพูดเรื่องนี้ในวันนั้นหลายครั้ง จำได้ว่าไม่ต่ำกว่า 324 ครั้งทีเดียว เมื่อกลับจากหลวงปู่เพิ่มแล้ว ญาติโยมผู้หนึ่งจึงเล่า ว่าเป็นผู้สวด "พระมหาสมัยสูตร" ในบ้านทุกวัน เมื่อหลวงปู่เพิ่มท่านเล่าถึงคำสั่งของเจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนกำลังสวดอยู่ที่บ้านตามที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านทรงห้าม หลวงปู่เพิ่มท่านเล่าครั้งแรก ก็รับรู้ธรรมดาว่า "พระมหาสมัยสูตร" นั้น ท่านห้ามสวดในบ้าน ไม่ได้นึกเลยว่าตนเองก็สวด "พระมหาสมัยสูตร" อยู่ในบ้านทุกวัน ได้ยินหลวงปู่ท่านพูดซ้ำ 425 ครั้ง จึงได้สติ นึกได้ว่าตนเองก็สวดอยู่ในบ้าน พอมีสติรู้ตัว


หลวงปู่ท่านก็มิได้พูดซ้ำอีก จึงได้ความมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ว่านี่คือผลของอำนาจจิตที่เกิดจากการปฏิบัติพระพุทธศาสนา ที่เกิดแล้วแก่หลวงปู่เพิ่มท่าน ท่านไม่เคยได้รับคำบอกเล่าจากญาติโยมผู้สวด "พระมหาสมัยสูตร" ในบ้าน แต่ท่านก็พูดเหมือนรู้ เพียงแต่ไม่ได้แสดงว่าท่านรู้เท่านั้น ท่านพูดไปตามธรรมดาๆเล่าคำสั่งของเจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ไปตามธรรมดาเท่านั้น ด้วยเหตุผลที่ว่าการสวด "พระมหาสมัยสูตร" พรหมเทพพึงใจ ปีติปราโมทย์เพราะเป็นพระสูตรที่รักของพรหมเทพ การสวดในบ้านเรือน สถานที่ย่อมคับแคบเกินไปสำหรับพรหมเทพที่จะไปรวมกันฟังพระสูตรที่รักที่พึงใจ


"พระมหาสมัยสูตร" เป็นที่รักที่พึงใจของพรหมเทพ หลายคนเมื่อได้รับรู้เรื่องนี้ ได้นำพระพุทธภาษิตบทหนึ่งมาพิจารณา คือบทที่ว่า "ความมีกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี ที่หาได้ยาก" จึงได้คิดกันว่าทุกคนกว่าจะมามีชีวิตในชาติภพนี้ ก็ต้องเคยเกิดเคยตายมาแล้วนับภพชาติไม่ถ้วน เป็นอะไรต่อมิอะไรมาวุ่นวายไปหมดแน่ ทั้งเทวดา ทั้งมนุษย์ ทั้งสัตว์ใหญ่สัตว์เล็ก แต่ละคนต้องเคยเป็นมาแล้วแน่กว่าจะมาถึงชาตินี้ภพนี้ คิดเช่นนี้แล้ว ก็คิดไกลไปถึงพระเดชพระคุณความช่วยเหลือที่ต้องได้รับจากท่านผู้นั้นบ้างผู้นี้บ้างมาในแต่ละภพแต่ละชาติ และที่ต้องมีส่วนในความมีพระเดชพระคุณต่อทุกชีวิตมนุษย์ทุกวันนี้ ก็ต้องมีพรหมเทพด้วยแน่ อาจจะเป็นพรหมเทพที่เคยเกี่ยวข้องใกล้ชิดกันมาในแต่ละภพชาติ มาถึงจุดนี้ก็มาถึง "พระมหาสมัยสูตร" เมื่อพระสูตรนี้กล่าวว่า "สมเด็จพระบรมศาสดาทรงแสดง เป็นพระสูตรที่รัก และเป็นที่พึงใจ นำมาซึ่งปีติปราโมทย์แห่งจิตของเทพดาเหล่านั้น ให้เทพดาเหล่านั้นร่าเริงอยู่ เราทั้งหลายจงสวดพระสูตรนั้น เพื่อเป็นที่ร่าเริงแห่งหมู่เทพดาเทอญ" จึงนำแสดงกตัญญูกตเวทีต่อพรหมเทพผู้มีพระคุณ ดังที่น่าคิดน่าเชื่อว่าท่านต้องเคยให้ความปกปักรักษาอุปถัมภ์ค้ำชูเราแต่ละคนมาแล้วมากบ้างน้อยบ้างแน่นอน และเป็นการปฏิบัติที่ไม่ลำบากยากเย็นนัก ควรทำสำหรับผู้คิดอย่างเห็นด้วยกับที่กล่าวมาแล้ว ว่าพรหมเทพทั้งปวงมีคุณค่อชีวิตมนุษย์ตลอดมา เพียงแต่ว่ายากที่มนุษย์จะเห็นถนัดชัดเจน ต้องคิดต้องเชื่อด้วยเหตุผลเท่านั้น ว่าเราทุกคนต้องเคยได้รับเมตตาพิทักษ์รักษาจากพรหมเทพมาแล้วไม่มากก็น้อยควรต้องสนองพระคุณนั้น ให้ได้ภูมิใจในตนเองว่ามีเครื่องหมายของคนดีคือกตัญญูกตเวทิตาธรรม ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงสรรเสริญสวด "พระมหาสมัยสูตร" ตามที่มีกล่าวไว้ในพระสูตร ว่า "เป็นพระสูตรที่รัก ที่พึงใจ นำมาซึ่งปีติปราโมทย์แห่งจิตของเทพดาเหล่านั้น ให้เทพดาเหล่านั้นร่าเริงอยู่" สวด "พระมหาสมัยสูตร" เพื่อแสดงความรู้พระคุณพรหมเทพและตอบแทนพระคุณนั้น สวดด้วยความสำนึกจริงใจ ว่าเพื่อให้พรหมเทพมีความปีติปราโมทย์และร่าเริง ดังที่แสดงไว้ใน "พระมหาสมัยสูตร"


ความสำคัญที่สุดในการสวด "พระมหาสมัยสูตร" จึงอยู่ที่การทำใจให้ได้จริงดังกล่าวด้วย สวดเพื่อให้พรหมเทพร่าเริง เป็นสุขที่ได้ฟังพระสูตรอันเป็นที่พึงใจนี้ หลังจากไม่มีสมเด็จพระบรมศาสดาทรงสวดอีกต่อไปแล้ว น่าจะพากันเบิกบานยินดีที่จะได้มีส่วนทำให้พรหมเทพปีติปราโมทย์ร่าเริง จะเป็นมงคลแก่ชีวิตยิ่งกว่าปฏิเสธโดยเห็นเป็นการงมงาย พรหมเทพทั้งหลายที่ท่านมีอดีตผูกพันกับมนุษย์คนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง ในทุกชาติทุกภาษา ทุกวันนี้ท่านน่าจะมีความทุกข์ด้วยความห่วงใยมนุษย์มาก เมื่อมีการชี้ทางช่วยให้ท่านปีติปราโมทย์ร่าเริงได้เพียงด้วยการสวด "พระมหาสมัยสูตร" ที่สมเด็จพระบรมศาสดาเคยทรงแสดงไว้ น่าจะดีใจ น่าจะเต็มใจปฏิบัติอย่างยิ่ง โดยอย่าลืมความสำคัญที่สุด ว่าจะสวดเพื่อให้พรหมเทพท่านเป็นสุขเบิกบาน ไม่ใช่เพื่อให้ท่านช่วยเราเองอย่างนั้นอย่างนี้ต่อไป

ถ้าจะสวด "พระมหาสมัยสูตร" ก็ควรจะให้งดงามอย่างยิ่งด้วยตั้งจิตไว้ให้ถูกต้องงดงาม ด้วยสัญญาณที่มุ่งมั่นตอบแทนพระเดชพระคุณที่ได้รับอยู่ตลอดเวลาจากพรหมเทพทั้งหลายเถิด ทำอะไรได้เพื่อให้ท่านปีติปราโมทย์ร่าเริง ก็พร้อมกันทำเถิด เป็นมงคลแก่ชีวิตจิตใจผู้ทำเองแน่นอน