คติธรรมเตือนใจอย่าให้หลง
คติธรรมเตือนใจอย่าให้หลง

พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า ( โลกนี้ไม่มีอะไรเลย มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไรเลย ) (โรคบางอย่างรักษาก็หาย ไม่รักษาก็หาย โรคบางอย่าง รักษาก็ไม่หาย ไม่รักษาก็ไม่หาย )

ในบทแผ่เมตาว่าไว้ว่า ( สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงมีกรรมเป็นของๆตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย จักทำกรรมอันใดไว้เป็นบุญหรือเป็นบาป จักต้องเป็นผู้ได้รับผลของกรรมนั้นๆสืบไป )

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเราต้องทำใจให้ยอมรับในผลอันเป็นวิบากของชีวิตที่เรา ต้องได้รับอยู่ เราจึงต้องหมั่นภาวนาอยู่เสมอๆเพื่อให้จิตใจปล่อยวางจากความยึดมั่น ถือมั่น สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นเพียงปรากฏการของธรรมชาติ ทุกชีวิตที่เกิดมาย่อมต้องเจอะเจอ ความสูญเสียในสิ่งอันเป็นที่รัก ความเป็นผู้มีโรค ในความเป็นผู้มั่งคั่ง ในความเป็นผู้อดยาก ในความเป็นผู้ต้องพัดพรากจากกัน ในการภาวนาจะช่วยให้เรามีจิตใจที่เข้มแข็งมีขันติ คือความอดกลั้นอดทน ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตและเข้าใจในชีวิตมากขึ้น ว่าล้วนมีวิบากจัดให้เป็นไป

การภาวนาก็โดยการทำจิตคิดเห็นอยู่ในใจเสมอๆ ว่าเราจะต้องไม่ยินดี ยินร้าย หรือพอใจ ไม่พอใจ ต่อสิ่งที่ได้เห็น ต่อสิ่งที่ได้ยิน ต่อสิ่งที่ได้กลิ่น ต่อสิ่งที่ได้รับรส ต่อสิ่งที่ได้รับสัมผัส มีเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง หรือความเจ็บไข้ และให้ระวังความคิดในจิตใจที่จะคอยยึดถือเรื่องเก่าๆที่ผ่านไปแล้วในชีวิต ที่จะเป็นสาเหตุแห่งการเกิดทุกข์ เมื่อเราภาวนาได้เช่นนี้บ่อยๆก็จะเกิด สติ รู้ขึ้นว่าสิ่งที่ได้รับรู้ทั้งหมด เป็นเพียงสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น ไม่มีสัตว์ไม่มีบุคคล หรือตัวเราตัวเขา เพราะจิตไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่รู้ ในสิ่งที่เห็น ความทุกข์ทั้งปวงก็พอจะระงับลงได้บ้าง และเมื่อภาวนาบ่อยๆเข้าจนจิตสามารถหลุดพ้นจากความยึดถือแม้สุขและทุกข์ลงได้ พระนิพพานก็อยู่ไม่ไกล.
----------------------------------------------------------------------------

พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า ( โลกนี้ไม่มีอะไรเลย มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไรเลย ) (โรคบางอย่างรักษาก็หาย ไม่รักษาก็หาย โรคบางอย่าง รักษาก็ไม่หาย ไม่รักษาก็ไม่หาย )

ในบทแผ่เมตาว่าไว้ว่า ( สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงมีกรรมเป็นของๆตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย จักทำกรรมอันใดไว้เป็นบุญหรือเป็นบาป จักต้องเป็นผู้ได้รับผลของกรรมนั้นๆสืบไป )

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเราต้องทำใจให้ยอมรับในผลอันเป็นวิบากของชีวิตที่เรา ต้องได้รับอยู่ เราจึงต้องหมั่นภาวนาอยู่เสมอๆเพื่อให้จิตใจปล่อยวางจากความยึดมั่น ถือมั่น สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นเพียงปรากฏการของธรรมชาติ ทุกชีวิตที่เกิดมาย่อมต้องเจอะเจอ ความสูญเสียในสิ่งอันเป็นที่รัก ความเป็นผู้มีโรค ในความเป็นผู้มั่งคั่ง ในความเป็นผู้อดยาก ในความเป็นผู้ต้องพัดพรากจากกัน ในการภาวนาจะช่วยให้เรามีจิตใจที่เข้มแข็งมีขันติ คือความอดกลั้นอดทน ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตและเข้าใจในชีวิตมากขึ้น ว่าล้วนมีวิบากจัดให้เป็นไป

การภาวนาก็โดยการทำจิตคิดเห็นอยู่ในใจเสมอๆ ว่าเราจะต้องไม่ยินดี ยินร้าย หรือพอใจ ไม่พอใจ ต่อสิ่งที่ได้เห็น ต่อสิ่งที่ได้ยิน ต่อสิ่งที่ได้กลิ่น ต่อสิ่งที่ได้รับรส ต่อสิ่งที่ได้รับสัมผัส มีเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง หรือความเจ็บไข้ และให้ระวังความคิดในจิตใจที่จะคอยยึดถือเรื่องเก่าๆที่ผ่านไปแล้วในชีวิต ที่จะเป็นสาเหตุแห่งการเกิดทุกข์ เมื่อเราภาวนาได้เช่นนี้บ่อยๆก็จะเกิด สติ รู้ขึ้นว่าสิ่งที่ได้รับรู้ทั้งหมด เป็นเพียงสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น ไม่มีสัตว์ไม่มีบุคคล หรือตัวเราตัวเขา เพราะจิตไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่รู้ ในสิ่งที่เห็น ความทุกข์ทั้งปวงก็พอจะระงับลงได้บ้าง และเมื่อภาวนาบ่อยๆเข้าจนจิตสามารถหลุดพ้นจากความยึดถือแม้สุขและทุกข์ลงได้ พระนิพพานก็อยู่ไม่ไกล.
----------------------------------------------------------------------------