คติธรรมใน เขมาเขมะสรณะทีปิกะคาถา นั้นว่า
“ มนุษย์เป็นอันมาก เมื่อเกิดมีภัยคุกคามแล้ว ก็ถือเอาภูเขาบ้าง ป่าไม้บ้าง อาราม และรุกขเจดีย์บ้าง เป็นสรณะ
นั้นมิใช่สรณะอันเกษม นั้นมิใช่สรณะอันสูงสุด
เขาอาศัยสรณะ นั้นแล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
ส่วนผู้ใดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะแล้ว
เห็นอริยสัจ คือความจริงอันประเสริฐสี่ประการ ด้วยปัญญาอันชอบแล้ว
คือเห็นความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความก้าวล่วงทุกข์เสียได้
และหนทางมีองค์แปดอันประเสริฐ เครื่องถึงความระงับทุกข์
นั้นแหละ เป็นสรณะอันเกษม นั้นเป็นสรณะอันสูงสุด
เขาอาศัยสรณะ นั้นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.”
นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสสั่งสอนไว้ ฉะนั้นพวกเราชาวพุทธควรจดจำไว้ให้ดี ไม่ควรเชื่อในสิ่งอันไม่มีเหตุ ไม่มีผล เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสสอนแต่เรื่องเหตุและผล เช่นอดีตเหตุ ปัจจุบันผล ปัจจุบันเหตุ อนาคตผล
ฉะนั้นการที่เราจะเชื่อในเรื่องของเทพเจ้าต่างๆ หรือการที่เราจะเซ่นทรวงอ้อนวอนขอร้องให้ท่านมาช่วยเราให้พ้นทุกข์ ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย
เพราะทุกข์ทั้งหลายเกิดที่จิตใจ เราจะพ้นทุกข์ได้ ก็อาศัยการปฏิบัติธรรม ตามหลักในมรรคมีองค์แปดประการ เช่นการทำความเพียรชอบ คือเพียรละจิตที่เป็น อกุศล อันเป็นกิเลส อันเป็นเหตุให้เกิดอัตตาตัวตน และเกิดโลภะ โทสะ โมหะ ความยินดี ยินร้าย หรือความพอใจ ไม่พอใจ ต่อการได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัสทางกายต่างๆ และการคิดนึกเรื่องราวต่างๆที่ผ่านไปแล้ว นี้แหละเป็นสาเหตุแห่งการเกิดทุกข์
ถ้าเราภาวนาอบรมจิตใจของเราอยู่เสมอๆ ด้วยการคิดนึกที่จะระวัง สังวรอิทรีย์ คือสังวรระวัง ไม่ให้หลงยินดี ยินร้าย พอใจ หรือไม่พอใจ ต่อการได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัสทางกายมีเย็นหรือร้อนอ่อนหรือแข็ง และจิตใจที่จะคอยคิดนึกเรื่องที่เก่าๆที่ผ่านไปแล้ว คือทำความรับรู้ทุกสิ่งได้ แต่อย่ารับรส เมื่อเราละความรู้สึกเหล่านั้นได้จิตก็จะเป็นกุศลจิต เป็นบุญ เป็นความว่าง เป็นความเข้าถึงความสงบ และเป็นความสุข
นี่แหละคือข้อปฏิบัติให้พ้นทุกข์ได้ และเป็นแนวทางของการเจริญสติ
อีกอย่างหนึ่งทุกชีวิตที่เกิดมาล้วนมีวิบาก อันเกิดจากอดีต หรือปัจจุบันเป็นเหตุให้เราต้องรับสุขและทุกข์ เมื่อเราเจริญความเพียรรู้ละ อกุศลได้ และให้จิตมีกุศลตั้งมั่นได้เราก็มีธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองชีวิตให้อยู่เย็น เป็นสุข
ดังคำที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “ ธรรมย่อมคุ้มครอง ผู้ประพฤติธรรมเป็นนิต”
---------------------------------------------------------------------------------
ขอฝากคติธรรมให้ทุกๆคน เตือนสติตนเอง
ท่านทั้งหลายอย่าได้ประมาทคนเราเวลาจะตายจะเกิดจิตขึ้นมาดวงหนึ่งมีชื่อว่า “จุติจิต” จิตดวงนี้
จะอาศัย กุศลหรือ อกุศลเป็นเหตุให้เกิด แล้วจะดับไปเกิดเป็นปฏิสนธิจิตขึ้นมา กุศลเป็นเหตุให้
เกิดในสุขติภูมิ คือสวรรค์ อกุศลเป็นเหตุให้เกิดในทุคติภูมิ คือนรก ถ้าเราไม่รีบเพียรทำให้จิต
เป็นกุศล โอกาสที่จะไปเกิดในทุคติภูมิคือนรกจะมีมากกว่า
เพราะฉะนั้นจงรีบมาปฏิบัติธรรมกันเถิด ผู้ประมาทได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ตายแล้ว ส่วนผู้ไม่ประมาทได้
ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ตาย คือไม่ตายเสียจากความดี ความเพียรละจิตที่เป็นอกุศลควรทำในวันนี้ ใครเล่าจะรู้ว่าความตายจะมีในวันพรุ่งนี้
ความเพียรภาวนาเป็นเรื่องทำไม่ยากแค่ปล่อยวางอารมณ์ หรือความรูสึก ความพอใจ หรือไม่พอ ใจต่อการได้เห็น
การ ได้ยิน การรับรู้กลิ่น การลิ้มรส และการสัมผัสเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็งและการหลงคิดนึกเรื่องในอดีตอันเป็นสาเหตุให้ทุกข์เท่านั้นเอง
ความสนุกสนานกับการกินเหล้าเมายาเป็นความสุขเพียงประเดี๋ยวเดียว ไม่ยืนนาน ไม่นานก็ดับ
ไป การมีความสุขจากการปฏิบัติธรรมยั่งยืนกว่า จัดเป็นสมบัติที่ต้องสะสมไว้ เรียกว่าอริยทรัพย์
ฉะนั้น ท่านทั้งหลายอย่าหลงไปกับการเล่นต่างๆในเทศกาลวันสำคัญ ๆ เช่นสงกรานต์เป็นต้น
ควรมาใส่ใจการทำความดีกันด้วย มีการให้ทาน การรักษาศีล และการเจริญภาวนากันดีกว่า ชีวิตนี้จะได้มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข ขอเจริญพร
Bookmarks