กำลังแสดงผล 1 ถึง 1 จากทั้งหมด 1

หัวข้อ: พุทธประวัติ ตอนที่ 3 ในวัยหนุ่ม

  1. #1
    Maximum learning
    ศิลปิน นักเขียน
    สัญลักษณ์ของ khonsurin
    วันที่สมัคร
    Apr 2008
    ที่อยู่
    ท่าตูม สุรินทร์
    กระทู้
    8,063
    บล็อก
    197

    พุทธประวัติ ตอนที่ 3 ในวัยหนุ่ม

    พุทธประวัติ ตอนที่ 3 ในวัยหนุ่ม

    พุทธทาสภิกขุ แปลและเรียบเรียงจาก ฉบับภาษาอังกฤษ
    ของ ภิกษุสีลาจาระ (J.F. Mc kechnie)


    พุทธประวัติ  ตอนที่ 3 ในวัยหนุ่ม


    ตอนที่ 3 ในวัยหนุ่ม

    ในที่สุด กาลเวลาได้ผ่านไป เจ้าชายได้ทรงเริ่มผ่านวัยขึ้นมาเป็นหนุ่ม แต่สิ่งอันน่ารื่นรมย์เหล่านั้น กล่าวคือปราสาทก็ตาม สวนก็ตาม สระน้ำก็ตาม ที่เดินที่เล่นที่ขับม้าก็ตาม ข้าบริพารอันงามที่พระราชาจัดประทานให้เป็นอย่างดีก็ตาม ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่าอะไรในการที่จะหยุดความคิดอันลึกซึ้งของเจ้าชายได้เลย พระราชาได้ทรงสังเกตเห็นความจริงข้อนี้

    พระองค์ได้ทรงเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์จัดขึ้นเพื่อยึดหน่วงจิตใจเจ้าชาย ให้ติดอยู่ในความเพลิดเพลินนั้น ได้เป็นสิ่งที่ล้มเหลวไร้ผลโดยสิ้นเชิง พระองค์ทรงเรียกประชุมอำมาตย์ทั้งหลายของพระองค์ แล้วรับสั่งถามคนเหล่านั้นว่า ยังมีอะไรวิธีใดอีกบ้าง ที่พระองค์จะทรงสามารถจัดทำเพื่ออย่าให้ถ้อยคำพยากรณ์ของพระฤษีผู้สูงอายุนั้นเกิดเป็นความจริงขึ้นมา

    อำมาตย์ทั้งหลายได้กราบทูลถวายความคิดเห็นของตนๆ ว่า ทางที่ดีที่สุดในการยึดหน่วงจิตใจของเจ้าชาย อย่าให้คิดไปในทางสละโลกนั้น คือการจัดให้เจ้าชายได้สมรสกับสตรีสาวที่สวยที่สุดเสีย พร้อมกับทูลอธิบายว่าด้วยการทำอย่างนี้ เจ้าชายจักพัวพันอยู่กับพระชายา จนไม่มีเวลาที่จะหวนคิดถึงสิ่งอื่นใด จนเวลาล่วงไปๆ กระทั่งอยู่ในภาวะเหมาะสมที่จะขึ้นครองบัลลังก์ตามความประสงค์ของพระราชบิดา ตามแบบอย่างที่เขากระทำกัน พระราชาทรงเห็นชอบว่า

    คำแนะนำอันนี้เป็นคำแนะนำที่ดีที่สุด แต่พระองค์ยังไม่ทรงวางพระทัยในข้อที่จะเสาะหาสตรีสาวสวยมาได้อย่างไร ที่จะให้น่ารักน่าเสน่หา จนถึงกับเมื่อสมรสแล้ว จะทำให้เจ้าชายหลงใหลโดยสิ้นเชิง และมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องนึกถึงเรื่องอื่นใด นอกไปจากความคิดที่จะทำให้สตรีที่รักของตนนั้นมีความสุขอย่างยิ่งแต่อย่างเดียว

    เมื่อได้ทรงพินิจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งแล้ว พระองค์ก็ทรงพบความคิดอันแยบคาย พระองค์ทรงบัญชาให้บรรดาหญิงที่มีรูปร่างงามที่สุดทั้งหมดในประเทศของพระองค์ มาสู่นครกบิลพัสดุ์ ในวันที่ได้กำหนดไว้ เพื่อให้เดินผ่านพระพักตร์เจ้าชายสิทธัตถะ ให้เจ้าชายมีโอกาสระบุว่าสตรีใดเป็นผู้ที่สวยที่สุดกว่าบรรดาสตรีทั้งหลาย และให้เจ้าชายประทานรางวัลเพื่อความงามของสตรีผู้นั้นเป็นพิเศษ แม้สตรีอื่นทุกคนที่ได้มาแสดงตัวในที่นั้นก็จักได้รับรางวัลอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยสมควรแก่ความงามของตนจากพระหัตถ์ของเจ้าชายเองเช่นเดียวกัน

    เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะทรงมีพระราชบัญชาออกไปดังนี้แล้ว พระองค์ยังได้ทรงจัดเตรียมให้อำมาตย์ผู้มากด้วยปัญญาของพระองค์จำนวนหนึ่ง ไปคอยเฝ้าดูอยู่ ณ ที่ที่สตรีทั้งหลายเดินผ่านพระพักตร์เจ้าชาย เพื่อจะได้สังเกตว่าเจ้าชายจักพอพระทัยในสตรีคนไหนอย่างสูงสุด แล้วให้กำหนดตัวไว้ว่าเป็นผู้ใดมาจากไหน จักได้กลับไปกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบในภายหลัง ในที่สุด วันแห่งการประกวดความสวยงามก็มาถึง บรรดาหญิงสาวที่งดงามที่สุดในประเทศ ได้เดินผ่านพระพักตร์เจ้าชายโดยลำดับทีละคนๆ เป็นขบวนแห่งความงามอย่างแพรวพราวทอตาเป็นที่สุด แต่ละคนได้รับพระราชทานรางวัลจากพระหัตถ์ของเจ้าชาย ตามที่เจ้าชายทรงเห็นว่าผู้ใดควรจะได้รับเพียงไร

    สตรีเหล่านั้น แทนที่จะรู้สึกร่าเริงยินดี ในการที่ได้มีเกียรติเข้ารับของรางวัลจากพระหัตถ์เจ้าชาย กลับมีแต่ความกลัวจนสะทกสะท้าน จะกลับมีใจร่าเริงได้ ก็ต่อเมื่อได้ผ่านพ้นไปสู่หมู่เพื่อนสาวของตน เป็นอยู่อย่างนี้คนแล้วคนเล่า มันเป็นการชอบด้วยเหตุผลแล้ว ที่พวกสตรีเหล่านั้นจะรู้สึกดังนั้น เพราะว่าเจ้าชายของพวกเขาพระองค์นี้ ไม่เหมือนกับบรรดาชายหนุ่มอื่นๆ ที่พวกเขาเคยพบปะมา เจ้าชายไม่ได้ตั้งพระทัยตรวจมองความงามของหญิงเหล่านั้นเลย หรือหากจะกล่าวให้ตรงความจริงยิ่งไปกว่านั้น ก็คือว่าพระองค์ไม่ได้ทรงมีความรู้สึกนึกคิดใดๆ ในบรรดาสาวงามเหล่านั้นเลย

    พระหัตถ์ของเจ้าชายสิทธัตถะ ได้ยื่นประทานของรางวัลให้แก่สตรีเหล่านั้นก็จริง แต่พระหฤทัยนั้นกำลังคิดครุ่นอยู่ถึงสิ่งอื่นบางสิ่งโดยสิ้นเชิง มันเป็นสิ่งซึ่งใหญ่หลวงกว่า เป็นจริงยิ่งกว่าดวงหน้าอันยิ้มแย้มและท่าทางรูปร่างอันเย้ายวนของสาวๆ เหล่านั้น สตรีบางคนได้พูดว่า ขณะที่พระองค์กำลังประทับบนบัลลังก์เพื่อประทานรางวัลอยู่นั้น เธอรู้สึกราวกะว่า พระองค์เป็นเพียงเทวรูปองค์ใดองค์หนึ่ง มากกว่าที่จะเป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญ
    บรรดาอำมาตย์ที่พากันเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ตามพระราชโองการนั้น ได้เกิดความรู้สึกหวั่นใจว่า พวกเขาทั้งหลายจะต้องกลับไปกราบทูลพระราชาในการไร้ผลโดยสิ้นเชิงแห่งแผนการของพระองค์ เพราะว่าเจ้าชายไม่ได้ทรงแสดงความพอใจใดๆ ให้ปรากฏ

    ในบรรดาสตรีงามที่ผ่านไปๆ นั้นแม้เพียงคนเดียว สตรีทั้งหลายก็ได้เดินผ่านไปๆ เกือบจะถึงคนสุดท้ายอยู่แล้ว สิ่งของอันได้จัดเป็นรางวัลก็เกือบจะหมดอยู่แล้ว เจ้าชายก็ยังคงประทับนิ่ง ไม่ไหวติง มีพระหฤทัยเลื่อนลอยไปในทางอื่นอย่างเห็นได้ชัดว่า ไม่ทรงสนพระทัยในความงามอย่างยิ่งของหมู่สตรีสาว ซึ่งแต่ละคนๆ มีความงามอย่างจับตาจับใจคนธรรมดาสามัญทุกๆ คนเหล่านั้นเลย

    แต่ในที่สุด ในขณะที่สตรีซึ่งทุกคนคิดว่าเป็นคนสุดท้ายได้เข้ารับรางวัลชิ้นสุดท้ายและเดินผ่านไปแล้ว ยังมีสตรีสาวอีกคนหนึ่ง ได้เดินเข้ามาช้ากว่ากำหนดด้วยอาการค่อนข้างรีบร้อน ทุกคนที่เฝ้าดูอยู่ในที่นั้น ได้สังเกตเห็นว่าเจ้าชายได้มีอาการสะดุ้งนิดหนึ่ง ในเมื่อสตรีผู้นี้เดินมาตรงพระพักตร์ แม้สตรีผู้นี้ก็เหมือนกัน แทนที่จะก้มหน้าอย่างเอียงอายเดินผ่านเจ้าชายไปอย่างสตรีทั้งหลาย กลับมองพระพักตร์เจ้าชายอย่างตรงๆ ยิ้มแล้วถามว่า ?ยังมีรางวัลอะไรเหลืออยู่สำหรับหม่อมฉันบ้าง ? เจ้าชายได้ทรงยิ้มตอบและตรัสว่า ?ฉันเสียใจ ที่รางวัลได้หมดไปแล้ว แต่เธอจงรับเอาสิ่งนี้ไปเถิด? พร้อมกับตรัสดังนั้น ได้ทรงปลดพระสังวาลอันงดงามเป็นพิเศษจากพระศอของพระองค์ แล้วทรงพันให้รอบข้อพระหัตถ์แห่งสตรีนั้น

    อำมาตย์ทั้งหลาย เมื่อได้เห็นดังนั้น ก็พากันปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง ครั้นได้สืบจนทราบว่ากุลสตรีคนสุดท้ายนี้ มีนามว่า ยโสธรา เป็นเจ้าหญิงธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะ ดังนั้นแล้ว ก็พากันรีบกลับไปเฝ้าพระราชา กราบทูลให้ทรงทราบทุกประการ ในวันต่อมา พระเจ้าสุทโธทนะได้ทรงจัดส่งคนของพระองค์ไปสู่สำนักพระเจ้าสุปปพุทธะ เพื่อทูลขอพระธิดา อันมีนามว่ายโสธรานั้น เพื่อการสมรสกับเจ้าชายสิทธัตถะ

    มีธรรมเนียมประเพณีอยู่อย่างหนึ่ง ในบรรดาเจ้าศากยะซึ่งเป็นเชื้อชาติที่มีความเข้มแข็งกล้าหาญแห่งเชิงเขาหิมาลัยว่า เมื่อชายหนุ่มคนใดประสงค์จะสมรส ข้อแรกเขาจะต้องแสดงตนเองให้คนทั้งหลายเห็นว่า ตนเป็นผู้ฉลาดและเชี่ยวชาญในการขี่ม้า การใช้คันศรแลลูกศร และการใช้ดาบเช่นเดียวกับชายหนุ่มอื่นๆ ดังนั้นเจ้าชายสิทธัตถะ แม้ทรงเป็นรัชทายาทแห่งราชบัลลังก์ก็ยังทรงต้องอนุวัติตามธรรมเนียมประเพณีอันนี้ ดังเช่นชายหนุ่มทั้งหลาย ครั้นถึงวันนัด ชายหนุ่มผู้ฉลาดและเข้มแข็งแห่งแคว้นศากยะทั้งหมด ก็ได้มาประชุมพร้อมกัน ณ สนามอันเป็นที่ประลองฝีมือ ในกรุงกบิลพัสดุ์ ล้วนแต่เป็นนักขี่ม้า นักยิงศร และนักฟันดาบ ที่จัดเจนด้วยกันทุกคน ทุกๆ คนได้แสดงฝีมือในการขี่ม้า การใช้ศร และการฟันดาบ ตามที่ตนสามารถต่อหน้าที่ประชุมของอำมาตย์และประชาชน

    เจ้าชายสิทธัตถะทรงขี่ม้าขาวชื่อ กัณฐกะ แสดงความสามารถอาจหาญในการขับขี่ ประกวดกับคนอื่นๆ จนเป็นที่ปรากฏว่าพระองค์ทรงมีความสามารถเท่า หรือยิ่งกว่าคนที่สามารถที่สุดในประเทศของพระองค์ ในการยิงศรพระองค์ทรงสามารถส่งลูกศรไปได้ไกล และแม่นยำกว่าคนหนุ่ม ที่ถือกันในเวลานั้นว่ายิงศรได้เก่งที่สุดในประเทศนั้น กล่าวคือ เจ้าชายเทวทัตซึ่งเป็นลูกเรียงพี่เรียงน้องของพระองค์นั่นเอง ในการประลองฝีมือทางการฟันดาบนั้นเล่า พระองค์ได้ทรงฟันต้นไม้รุ่นๆ ต้นหนึ่ง ขาดออกด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว ด้วยฝีพระหัตถ์อันประณีตและเที่ยงจนถึงกับเมื่อดาบผ่านไปแล้ว ต้นไม้ก็ยังคงยืนต้นอยู่ ทำให้ผู้ที่คอยดูอยู่นั้นคิดไปว่าต้นไม้นั้นยังไม่ถูกตัด

    จนกระทั่งมีลมโชยมา จึงได้ค่อยๆ ล้มไปสู่พื้นดิน ทำให้คนทั้งหลายเห็นว่า แผลตัดนั้นเกลี้ยงอย่างกะรอยมีดตัดเนย ในการประกวดการฟันดาบคราวนี้ พระองค์ทรงเป็นผู้กำชัยชนะเลิศไว้ได้ กล่าวคือ ทรงชนะพระอนุชาต่างมารดาของพระองค์เอง ซึ่งมีพระนามว่า นันทะ อันเป็นผู้ซึ่งใครๆ คาดกันว่าไม่มีผู้ใดในประเทศนี้จะเอาชนะเจ้าชายพระองค์นี้ ในทางฟันดาบได้

    อันดับต่อไป เป็นการประลองฝีมือทางการแข่งม้าโดยอาศัยม้ากัณฐกะสีขาว ฝีเท้าเร็วของพระองค์ เจ้าชายสิทธัตถะสามารถขับขี่ทิ้งผู้อื่นทุกคนไว้เบื้องหลังได้โดยง่ายดาย นักแข่งด้วยกันพากันไม่พอใจ บางคนพูดแก้เก้อว่า ?ที่พระองค์ทรงชนะได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ น่าจะเป็นเพราะม้าต่างหาก ถ้าเราได้ม้าฝีเท้าเร็วเช่นม้ากัณฐกะมาขี่ เราก็ต้องชนะเหมือนกัน มันดีอยู่ที่ม้าต่างหาก หาใช่ดีที่คนขี่ไม่ อย่างไรๆ เอาม้าเปลี่ยวสีดำ ตัวที่ไม่เคยยอมให้ใครๆ ขึ้นหลังเลยนั้น มาพิสูจน์กันที ว่าใครจะขึ้นขี่มันได้ หรือนั่งบนหลังมันได้นานที่สุด?

    ดังนั้นบรรดาเจ้าชายหนุ่มทั้งหลาย จึงได้พยายามเต็มความสามารถของตน ผลัดกันทีละคนๆ ที่จะพยายามจับม้าตัวนั้นเผ่นขึ้นนั่งบนหลังของมันให้ได้ ผลปรากฏทุกพระองค์ ได้ถูกม้าอันลำพองและดุร้ายตัวนั้นสะบัดให้ล้มลงมายังพื้นดินทุกคราวไป กระทั่งเวียนมาถึงรอบของเจ้าชายอรชุน ซึ่งถือกันว่าเป็นนักขี่ม้าที่เยี่ยมที่สุดในประเทศมาแล้ว เจ้าชายองค์นี้ใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อย ก็ทรงสามารถขึ้นนั่งบนหลังมันได้ และหวดด้วยแส้ เพื่อให้มันวิ่งไปรอบๆ สนาม แต่ในอึดใจต่อมา โดยที่ใครๆ คาดไม่ถึงว่ามันจะมีฤทธิ์เดชอย่างไร ม้าร้ายตัวนี้ได้แว้งศีรษะของมันมาโดยเร็ว งับเอาขาของเจ้าชายอรชุน ด้วยฟันอันใหญ่คมและแข็งกร้าวของมัน ดึงกระชากเจ้าชายให้หลุดจากหลังแล้วเหวี่ยงลงยังพื้นดิน หากว่าพนักงานที่คอยเฝ้าระวังเหตุการณ์อยู่นั้น พวกหนึ่งไม่ช่วยกันรั้งแยกมันออกไว้ทัน และพนักงานอีกพวกหนึ่งไม่พากันรุมตีทางหลังของมันแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยที่เจ้าสัตว์ดุร้ายตัวนี้จะไม่ทำอันตรายแก่เจ้าชายอรชุนจนกระทั่งเสียชีวิต

    แม้ม้าเปลี่ยวดุร้ายตัวนั้น จะอาละวาดถึงเพียงนั้นมาแล้วก็ตาม รอบถัดไป ก็จำต้องเป็นรอบของเจ้าชายสิทธัตถะที่จะต้องขึ้นขี่ ตามที่ตกลงกัน ทุกคนพากันคิดว่าพระองค์จะต้องเสียชีวิต เพราะแม้เจ้าชายอรชุน ที่ถือกันว่าเชี่ยวชาญการขี่ม้าของประเทศก็ยังรอดตายไปได้อย่างหวุดหวิด แต่เจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงดำเนินอย่างแช่มช้าเป็นปรกติ ตรงแน่วไปยังม้าตัวนั้น ทรงวางพระหัตถ์ข้างหนึ่งบนคอของมัน และพระหัตถ์อีกข้างหนึ่งลูบที่จมูกของมัน พร้อมกับกล่าวคำอ่อนหวานที่หูของมันสองสามคำ และพระองค์ได้ทรงตบเบาๆ ที่สีข้างทั้งสองของมัน การกระทำได้ในชั้นต้นนี้ก็ทำความประหลาดใจให้แก่ทุกๆ คน ในการที่ม้าร้ายตัวนั้นยอมนิ่งให้ไม่กระดุกกระดิก และซ้ำยังยินยอมให้เจ้าชายขึ้นบนหลัง ขี่ขับไปข้างหน้าถอยมาข้างหลังได้ตามที่พระองค์ทรงปรารถนาอีกด้วย จึงเป็นที่ประจักษ์ด้วยกันทุกคนในที่นั้นว่า มันยินยอมทำตามความประสงค์ของเจ้าชายทุกๆ อย่างโดยสิ้นเชิง นับว่าเป็นครั้งแรกที่มีคนเข้าไปใกล้มันได้อย่างนี้โดยไม่เกรงกลัวมัน ทั้งสามารถบังคับขับขี่มัน โดยไม่ต้องมีการเฆี่ยนตีอีกด้วย แม้ม้าตัวนั้นก็จักต้องรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ในการกระทำเช่นนั้นของเจ้าชาย ซึ่งมันไม่เคยได้รับการกระทำอย่างนี้จากใครที่ไหนมาก่อนเลย มันจึงยอมให้เจ้าชาย ผู้ซึ่งไม่ทรงหวาดกลัว และทั้งไม่ทรงแสดงความทารุณต่อมัน ทรงขึ้นขี่มันได้ตามความประสงค์

    ในที่สุด ทุกคนได้ยอมรับว่า เจ้าชายสิทธัตถะได้เป็นนักขี่ม้าที่เชี่ยวชาญที่สุดของประเทศด้วยอีกประการหนึ่ง และเป็นผู้สมควรที่สุด ที่จะเป็นพระสวามีของเจ้าหญิงยโสธราผู้งามเลิศด้วย ทางฝ่ายพระเจ้าสุปปพุทธะ พระบิดาแห่งเจ้าหญิงยโสธราก็ได้ทรงเห็นพ้องในข้อนี้ ทรงยินยอมยกธิดาของพระองค์ให้เป็นพระชายาของเจ้าชายหนุ่ม ผู้ซึ่งมีรูปร่างงดงามและแกว่นกล้าพระองค์นี้ด้วยความเต็มพระทัย

    เจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงสมรสกับพระนางยโสธราผู้เลอโฉม ในท่ามกลางความชื่นชมยินดีอันใหญ่หลวงของคนทุกหมู่เหล่า และได้เสด็จพร้อมด้วยพระนางไปประทับ ณ ปราสาทอันสร้างใหม่และงดงาม ซึ่งพระบิดารับสั่งให้สร้างขึ้น เพื่อคนทั้งคู่จะได้แวดล้อมอยู่ด้วยความเบิกบานบันเทิงทุกอย่างทุกประการ เต็มตามที่คนหนุ่มสาวจะพึงบันเทิงได้

    ในบัดนี้ พระเจ้าสุทโธทนะเริ่มทรงดีพระทัยว่า พระโอรสของพระองค์จักไม่ทรงใฝ่ฝันถึงการสละบัลลังก์ ออกไปผนวชเป็นนักบวชอีกต่อไป แต่เพื่อให้เป็นที่แน่นอนยิ่งขึ้น ว่าความคิดนึกของเจ้าชายจะไม่น้อมไปในทางนั้นโดยเด็ดขาด พระราชาจึงรับสั่งไม่ให้ผู้ใดผู้หนึ่งในที่นั้นเอ่ยถึงสิ่งที่นำมาซึ่งความเศร้าสลด เช่น ความแก่ ความเจ็บ หรือความตาย เป็นต้น แม้แต่คำเดียว คนที่ห้อมล้อมใกล้ชิดอยู่เหล่านั้น จะต้องพยายามกระทำทุกอย่างทุกทาง ให้ราวกะว่าสิ่งอันไม่พึงปรารถนาเหล่านั้นมิได้มีอยู่ในโลกนี้เลย

    ยิ่งไปกว่านั้น พระราชาได้รับสั่งให้คนรับใช้ทั้งภายในและภายนอก ที่มีลักษณะส่อรูปร่างหน้าตาไปในทางชราหรืออ่อนเพลีย หรือเจ็บไข้ได้ป่วย ปรากฏออกมาเพียงเล็กน้อย ให้ออกไปเสียให้พ้นจากเขตวังของพระราชโอรส พระองค์ได้ทรงจัดจนถึงกับว่า ในเขตปราสาทและบริเวณอุทยานรอบปราสาทของเจ้าชายนั้น คนอื่นจักไม่มีผู้ใดเยี่ยมกรายเข้าไปเลย นอกจากหนุ่มสาว ซึ่งมีใบหน้าแสดงแววแห่งความสุขความร่าเริง และความยิ้มแย้มแจ่มใสเท่านั้น หากเผอิญมีใครล้มเจ็บลงในนั้น จักต้องช่วยกันรีบนำออกไปนอกบริเวณโดยทันที และจะไม่ยอมให้กลับเข้ามาอีก จนกว่าจะหายและสมบูรณ์ดังเดิม

    พระราชาทรงมีพระราชโองการอันเฉียบขาด มิให้ใครคนใดคนหนึ่งในที่นั้น แสดงอาการหรือนิมิตแห่งความอ่อนเพลียหรือเศร้าใจออกมาต่อพระพักตร์ของเจ้าชาย ทุกๆ คนที่แวดล้อมเจ้าชายอยู่ ต้องแสดงอาการรื่นเริงบันเทิงสดชื่นแจ่มใสจนตลอดทั้งวันทั้งคืน และในยามที่เป็นเวลาปรนนิบัติเต้นรำขับกล่อมจะต้องไม่แสดงอาการแห่งความเมื่อยล้าเหน็ดเหนื่อยออกมาให้ปรากฏ โดยสรุปแล้ว พระเจ้าสุทโธทนะได้ทรงพยายามจัดทำทุกสิ่งทุกอย่าง ไปในทำนองที่ว่าเจ้าชายจักไม่สามารถทราบหรือแม้แต่เพียงคาดคะเนได้ ว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งอื่นใด นอกไปจากการยิ้ม การหัวเราะและเกลื่อนไปด้วยความเป็นหนุ่มเป็นสาว เต็มไปด้วยความชื่นชม และเป็นสุขเท่านั้น

    เพื่อความมุ่งหวังของพระองค์เป็นไปสมบูรณ์ตามนั้น พระราชารับสั่งให้สร้างกำแพงสูงๆ ล้อมปราสาทและอุทยานของเจ้าชายเอาไว้ และทรงบังคับอย่างเฉียบขาดแก่ผู้เฝ้าประตูทั้งหลาย ว่าเขาจักต้องไม่ยอมให้เจ้าชายเสด็จออกไปนอกกำแพงนี้ไม่ว่ากรณีใดๆ โดยวิธีนี้ที่พระเจ้าสุทโธทนะได้ทรงคิดว่า มันจักเป็นที่นอนใจได้ ว่าเจ้าชายจักไม่ได้พบเห็นสิ่งใด นอกจากสภาพอันน่ารื่นรมย์ของความเป็นหนุ่มเป็นสาวและความสวยความงาม จักไม่ได้ยินเสียงใดๆ นอกจากเสียงแห่งความบันเทิงเริงรื่นของบทเพลงของการหัวเราะ และจักทรงพอพระทัยในการที่จะเป็นอยู่ตามที่พระบิดาได้จัดสรรประทานให้ จักไม่ทรงปรารถนาในการออกบวช และทรงเสาะแสวงหาสิ่งอื่นใด ให้มากไปกว่าการเป็นอยู่อย่างเจ้าชาย ผู้เป็นพระโอรสหัวแก้วหัวแหวนของพระบิดาเท่า
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย khonsurin; 07-05-2009 at 06:39.
    *********************************


    อิสระ เสรี เสมอภาค




    *********************************

Tags for this Thread

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •