โอวาทสี่ของเหลี่ยวฝาง 3

ข้อที่หนึ่ง การสร้างอนาคต



มีความเชื่อกันมาแต่โบราณกาลว่า การจะมีบุตรหรือไม่นั้น ก็ขึ้นกับเหตุผลเดียวกัน ผู้ที่ทำความดีติดต่อกันมาแล้วร้อยชาติ ก็ย่อมมีบุตรหลานที่ดี สามารถสืบสกุล ให้ยืดยาวได้ถึงร้อยชั่วคน ผู้ที่ทำความดีมาสิบชาติติดต่อกัน ก็ย่อมมีบุตรหลานที่ดี สามารถสืบสกุล ให้ยืดยาวได้ถึงสิบชั่วคน ผู้ที่ทำดีติดต่อกันเพียงสองสามชาติ ก็ย่อมจะมีบุตรหลานสืบต่อไป สองสามชั่วคนเท่านั้น ผู้ที่ไม่มีบุตรเลย ก็จะเห็นได้ว่า ไม่เคยสั่งสมคุณธรรมความดี ที่เป็นชิ้นเป็นอันมาบ้างเลย

นอกจากบางคนเท่านั้น ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุผลดังที่กล่าวมาแล้ว คือเป็นผู้ที่ไม่มีหนี้กรรมกับผู้ใดมา

ธรรมชาติแห่งการมีบุตรธิดา ถ้ามองตามทัศนะของกฎแห่งกรรมแล้ว ก็คือการเปิดหน้าบัญชีลูกหนี้เจ้าหนี้ ขึ้นมาสะสางกันอีกวาระหนึ่ง บุตรธิดาบางคนเกิดมาทวงหนี้ ก็ทำตัวดื้อรั้นอวดดี ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายเสียหาย จนบิดามารดาไม่มีความสุขตลอดเวลา ส่วนที่เกิดมาใช้หนี้บุญคุณ ที่ติดค้างกันอยู่ในภพก่อนๆ ก็มีความกตัญญูกตเวที ว่านอนสอนง่าย เป็นที่พึ่งทั้งทางกาย และทางใจของบิดามารดา นำความปลื้มปิติ ความภาคภูมิใจมาให้บิดามารดามีความสุข ความอิ่มใจอยู่เสมอ

กุศลกรรมและอกุศลกรรมในอดีต ล้วนเป็นเหตุปัจจัยให้ชีวิตต้องเวียนว่าย มาพบกันอีก ตามกระแสของวิบากกรรม มาเป็นพ่อแม่กันตามกรรมดีกรรมชั่ว ที่แต่ละคนได้ก่อให้เกิดความสัมพันธ์กันมาแต่อดีต ผู้ใดมิได้ก่อหนี้กรรมไว้กับใครเลย ก็ย่อมไม่มีผู้ใดตามมาทวงหนี้หรือมาใช้หนี้ ก็ทำให้ไม่มีบุตรธิดาในชาติปัจจุบัน ซึ่งในกรณีเช่นนี้มีน้อยมาก ท่านเหลี่ยวฝานจึงมิได้กล่าวไว้ (ผู้ถอดความ)

แล้วท่านก็บอกพ่อว่า เมื่อพ่อรู้ตัวเองว่าไม่ดีอย่างไรบ้างแล้วเช่นนี้ และเข้าใจความเป็นไปของฟ้าดินแล้วไซร้ ก็จงรีบเร่งสั่งสมคุณธรรมความดีงามทันที ไม่คอยแต่จับผิดผู้อื่น สามารถให้อภัยได้ แม้ความผิดนั้นจะเทียบเท่าภูเขาก็ตาม มีขันติอดทนต่อความไม่พอใจ ไม่โกรธง่าย มีแต่ความเมตตากรุณา ไม่พูดมาก ไม่ดื่มสุรา รักษาสุขภาพให้ดีทั้งกายและใจ สิ่งที่แล้วมาแล้ว ก็ให้คิดว่าตายไปแล้ว เมื่อวานนี้ แล้วเริ่มต้นสร้างสิ่งที่ดีงามขึ้นมาแทนที่ เหมือนเกิดใหม่ในวันนี้ มีชีวิตใหม่เพื่อสร้างสมคุณธรรมที่ดีใหม่ ไม่ใช่ชีวิตเก่าที่มีแต่เลือดเนื้อ และเต็มไปด้วยความเป็นปุถุชน สร้างชีวิตให้หลุดพ้นจากความครอบงำ ของกิเลสตัณหาอุปาทาน สามารถพัฒนาตนเองให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง แล้วชีวิตก็จะมีคุณค่า ผิดแผกแตกต่างจากชะตาชีวิต ที่ได้กำหนดไว้แล้ว ในคำพยากรณ์

ก็ร่างกายที่กอปรด้วยเลือดเนื้อนี้ ยังเป็นไปตามลิขิตของดินฟ้า ทำไมกับชีวิตที่กอปรด้วยคุณธรรมความดีงาม ฟ้าดินจะไม่หยั่งรู้ได้หรือ โชคชะตาที่ฟ้าดินลิขิตมา มนุษย์ยังพอหลีกเลี่ยงได้บ้าง แต่เคราะห์กรรม ที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์เอง ก็จะหนีไม่พ้นเลย มีผู้เขียนโคลงบทหนึ่งไว้ว่า

มนุษย์ต้องคอยสำรวจตนเองเสมอ เพื่อจักได้ดำเนินชีวิตไปตามครรลองคลองธรรม

เมื่อกระทำแต่ความดีงามแล้วไซร้ ไฉนจักไม่ได้ความดีอันเป็นผลเล่า

ความดีความชั่ว จึงล้วนแต่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของมนุษย์เองทั้งสิ้น การที่ท่านผู้เฒ่าข่งพยากรณ์ไว้ให้นั้น เป็นเพียงชะตาชีวิตที่ลิขิตจากฟ้าดิน ย่อมมีทางแก้ไขได้ จงรีบสร้างคุณธรรมความดีงาม เริ่มด้วยการช่วยเหลือผู้อื่น โดยไม่เห็นแก่ตัว เสียสละเพื่อผู้อื่นโดยไม่หวังการตอบแทน อย่ามุ่งหวังแต่ชื่อเสียง ทำอย่างเงียบๆ การปิดทองหลังองค์พระปฏิมานั้น กลับได้บุญมากกว่า ถ้ามีคนรู้เห็นกันมาก พากันสรรเสริญอนุโมทนาสาธุการ ความมีชื่อเสียง ก็จะแบ่งความดีงามไปเสียมาก บุญก็จะน้อยลง เพราะได้ผลในปัจจุบันไปเสียแล้วบ้าง แต่ถ้าทำแล้วไม่โอ้อวดในความดีนั้น ผลบุญก็จะเต็มดุจวารีที่เปี่ยมฝั่ง ใครเล่าจะแย่งหรือแบ่งบุญของเราไปได้ การทำดีเช่นนี้ มีหรือจะไม่ได้เสวยผลแห่งความดีนี้

คัมภีร์โบราณชื่อว่า เอ็กเก็ง ก็ได้เน้นถึงความดีความชั่วไว้อย่างละเอียดละออ สอนคนดีให้รู้จักหลบหลีกจากกรรมชั่ว สั่งสมแต่กรรมดี เพื่อจักได้ผลดีตอบแทน หากว่าลิขิตของชะตาชีวิตเป็นสิ่งแน่นอนแล้วไซร้ จักหลีกเลี่ยงกรรมชั่ว สั่งสมแต่กรรมดีได้อย่างไร ในหน้าแรกของคัมภีร์ก็กล่าวไว้ว่า ครอบครัวใดสั่งสมแต่ความดีงาม ไม่เพียงแต่หัวหน้าครอบครัวเท่านั้น ที่จะได้เสวยผลแห่งความดีนั้น แม้แต่ลูกหลานเหลนโหลน ก็จะพลอยได้เสวยผลแห่งกรรมดีนั้นด้วย วิเคราะห์ดูให้ดีแล้ว จะเห็นได้ว่า ชะตาชีวิตไม่สามารถควบคุมมนุษย์ไว้ได้เสมอไป จิตใจมนุษย์สำคัญกว่า จิตใจที่ดีงาม ย่อมกระทำแต่สิ่งที่ดีงาม และได้รับผลที่ดีงาม ผู้มีจิตใจทราม ย่อมกระทำแต่สิ่งที่เลวทราม และได้ผลที่ทราม ท่านถามพ่อว่า เชื่อท่านหรือไม่เล่า

พ่อเชื่ออย่างมาก เพราะท่านพูดมีเหตุผล พ่อจึงคุกเข่าลงกราบท่าน เพื่อแสดงว่ารับคำสั่งสอนด้วยความเคารพอย่างสูง แล้วพ่อไปนั่งลง ณ หน้าที่บูชาพระรัตนตรัย สารภาพบาปในอดีตต่อพระพักตร์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างหมดเปลือก แล้วอธิษฐานขอให้ได้เป็นขุนนาง ต่อนี้ไปจะเริ่มกระทำความดีให้ครบสามพันครั้ง เพื่อตอบแทนพระคุณฟ้าดิน และบรรพชนของพ่อ

ท่านอวิ๋นกุเถระ เห็นพ่อมีความตั้งใจทำความดีถึงปานนี้ จึงเอาตัวอย่างบัญชีกรรมดีกรรมชั่วมาให้พ่อดู แล้วสอนพ่อ ให้จดบัญชีพฤติกรรมของตนเอง แต่ละวันอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยไม่เข้าข้างตนเอง ถ้าเป็นกรรมดีก็จดไว้ข้างหนึ่ง ถ้าเป็นกรรมชั่ว ก็จดไว้อีกข้างหนึ่ง เหมือนบัญชีรับจ่าย ต้องนำกรรมชั่วไปลบกรรมดี ให้เหลือกรรมดีสามพันครั้ง โดยไม่มีกรรมชั่วที่ไม่ได้หักกลบลบหนี้แล้ว จึงจะนับว่าทำความดีได้ครบสามพันครั้ง ต้องนำบัญชีมาทบทวนดูทุกวัน เพื่อเตือนใจให้รู้ว่าในวันหนึ่งๆ เราได้ทำอะไรไปบ้าง ดีมากกว่าชั่ว หรือชั่วมากกว่าดี อะไรผิดอะไรถูก จักได้แก้ไขปรับปรุงตนเอง ไม่ทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก กรรมชั่วเบาๆ ก็ต้องลบความดีออกเสียหนึ่งครั้ง กรรมชั่วหนักๆ ก็ต้องลบความดีออกหลายๆ ครั้ง จนกว่าความดี จะครบสามพันครั้งดังที่ได้อธิษฐานไว้ แล้วสอนพ่อสวดมนต์บริกรรมคาถา เพื่อช่วยให้มีจิตมั่นคง โดยอาศัยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยเป็นสรณะ เพื่อให้คำอธิษฐานหนักแน่นสัมฤทธิ์ผลเร็ววัน

ท่านยังเล่าให้พ่อฟังต่อไปว่า ผู้ที่ชำนาญการวาดฮู้ (ลงเลขลงยันต์) ได้กล่าวไว้ว่า หากมนุษย์ไม่รู้วิธีวาดฮู้ได้ถูกต้องแล้วไซร้ จะถูกผีสางเทวดาหัวเราะเยาะเอาได้ เพราะฉะนั้น การวาดฮู้ก็ต้องหัดให้เป็นไว้ เคล็ดลับของวิชานี้ อยู่ที่ต้องทำใจให้เป็นเอกัคตาให้ได้เท่านั้น เมื่อเริ่มจับพู่กัน ก็ต้องหยุดความรู้สึกนึกคิดใดๆ ให้หมด ไม่วอกแวก ทำจิตให้นิ่ง รวมพลังจิตทั้งหมดพุ่งตรงไปยังปลายพู่กัน แล้วจรดปลายพู่กันลงไปที่กระดาษ ผ้า หรือแพรก็ได้ ทิ้งน้ำหนักปลายพู่กันให้แน่นิ่ง เป็นการเบิกทวารฟ้าดินด้วยพลังจิต ที่พุ่งกระทบอย่างแหลมคม ฮู้จะศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ก็อยู่ที่จุดเริ่มต้นนี้เอง เมื่อเริ่มต้นแล้ว ก็ต้องเขียนให้จบขบวนการโดยไม่หยุดชะงัก ไม่ต่อเติม ไม่ยกพู่กันขึ้น ต้องวาดให้ต่อเนื่องเป็นเส้นเดียวกัน จิตเป็นเอกัคตาตลอดแนวทาง ที่พู่กันตวัดไปมา ฮู้นี้ก็จะศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะอธิษฐานใดๆ ต่อฟ้าดิน ก็จะสัมฤทธิ์ผลอย่างแน่นอนและรวดเร็ว

ผู้ที่มีกิเลสธุลีหนาแน่นในใจ เหมือนตกอยู่ในความมืด ดังอยู่ในครรภ์มารดา ไม่สามารถมองเห็นอะไรอื่น เมื่อจรดปลายพู่กันลงไปครั้งแรก ก็เท่ากับได้เจาะความมืดให้แสงสว่างส่องเข้าไปได้ และเมื่อตวัดพู่กันไป ด้วยจิตอันแหลมคมเป็นสมาธิอยู่นั้น ก็เป็นการพุ่งพลังจิตไปตามพู่กันนั้น โดยมีแสงสว่าง และชาดในพู่กันเป็นสื่อนำพลังจิตไป พลังจิตประทับอยู่ตรงไหน ความศักดิ์สิทธิ์ก็เกิดที่นั่น

การบริกรรมก็ต้องทำสม่ำเสมอ ขาดไม่ได้เช่นกัน ต้องบริกรรม จนแม้ปากไม่บริกรรมแล้ว แต่ใจยังคงบริกรรมอยู่ บริกรรมจนไม่รู้สึกว่า ตัวเราเป็นผู้บริกรรม เพราะมนต์ก็ดี การบริกรรมก็ดี ตัวเราผู้บริกรรมก็ดี ได้ผสมผสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเสียแล้ว จนแยกไม่ออกเมื่อใด เมื่อนั้น การบริกรรมก็ศักดิ์สิทธิ์

นักปราชญ์ท่านเมิ่งจื่อได้กล่าวไว้ว่า อันว่าอายุยืนหรืออายุสั้น หามีความแตกต่างกันไม่ ให้หมั่นฝึกฝนตนเองไปจนกว่าจะถึงวันนั้น วั้นนั้นคือวันที่เราจะได้พบความจริงว่า ใดๆ ในโลกนี้ หามีความแตกต่างกันไม่ ล้วนแต่เป็นสภาวะธรรม ที่มนุษย์สมมุติกันขึ้นมา ผู้ที่ฝึกฝนตนเอง จนไม่เห็นความแตกต่าง ของสภาวะธรรมเมื่อใด ผู้นั้นก็เข้าถึงสภาวะธรรมเมื่อนั้น และไม่ถูกความไม่รู้ไม่เข้าใจหลอกหลอน เบียดเบียนหลุดพ้นจากความร้อยรัด ของกิเลสตัณหาอุปาทานได้หมดสิ้น

ถ้าคิดโดยผิวเผิน ก็จะรู้สึกแปลกใจ เพราะความมีอายุสั้นและอายุยืนนั้น แตกต่างกันอย่างตรงกันข้ามทีเดียว แต่ถ้าคิดให้ลึกซึ้งแล้ว ก็จะเห็นได้ว่า ท่านพูดไว้ไม่ผิดเลย ทุกสิ่งในโลกนี้ ล้วนเป็นเพียงสภาวะธรรมหนึ่งๆ เท่านั้น มนุษย์มักจัดเข้าพวกกันบ้าง แยกประเภทให้บ้าง จนดูสับสนสลับซับซ้อนไปหมด ธรรมดาทารกที่เกิดมาใหม่ๆ นั้น หารู้ไม่ว่าอายุสั้นอายุยืนมีความหมายอย่างไรกัน ต่อเมื่อเติบโตแล้ว จึงสามารถแยกแยะความหมาย เลือกคุณค่าของสรรพสิ่ง โดยคำสอนของผู้ใหญ่บ้าง จิตดั้งเดิมเป็นเช่นน้นบ้าง ตอนนี้เอง ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วของเด็กนั้น ก็จะเริ่มมาให้ผล จึงได้เห็นความอายุสั้นบ้าง อายุยืนบ้าง ความแตกต่างจึงบังเกิดขึ้น ด้วยประการฉะนี้