กฎแห่งกรรม
ข้าพเจ้าสงสัยว่า ความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมของไทยนั้น นำไปสู่ความสับสน
อย่างนี้ได้บ่อยๆไม่เฉพาะแต่กรณีนี้เท่านั้น
ยิ่งนำเอาวิธีมองกฎแห่งกรรมอย่างวิทยาศาสตร์ที่เป็นกลไกอย่างในปัจจุบัน
ก็ยิ่งสับสนมากขึ้น
เช่นกรรมของชาตินี้จะไปมีผลต่อชาติหน้าได้อย่างไร ในเมื่อขันธ์ห้าก็แตกดับไป
พร้อมกับความตายกระบวนการที่เรียกว่าสันตติของกรรมเป็นที่เข้าใจไม่ได้
เพราะไม่ได้มีลักษณะกลไก
ตามความเข้าใจของข้าพเจ้า กรรมในพุทธศาสนาคือการกระทำที่ประกอบ
ด้วยเจตนาการกระทำใดที่ไม่มีเจตนาไม่เรียกว่ากรรม
(แต่ย่อมเกิดผล เช่นขับรถเหยียบตะปู ถึงไม่เจตนาก็ทำให้ยางแบน)
กรรมย่อมมีวิบากหรือผลที่เกิดจากการกระทำ ไม่ว่าดีหรือชั่ว
ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ตาม กรรมและวิบากสัมพันธ์กันในลักษณะใดนั้นยากที่ปุถุชน
จะหยั่งได้ทั่วถึงเพราะผลที่เกิดขึ้นจากกรรมนั้นอาจจะออกมาในลักษณะ
ที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจก็ได้
เช่น แม้มีเจตนาดี ผลอาจออกมาไม่ดีอย่างที่อยากก็ได้
ตักเตือนเพื่อนด้วยความปรารถนาดี เพื่อนกลับโกรธ ก็เป็นผลข้างเคียง
(บาลีเรียกว่านิสสันท์) ที่ไม่อยู่ในเจตนา ก็ต้องรับเอาไว้
ส่วนวิบากที่เกิดจากกรรมอันมาจากเจตนาดีนั้น ย่อมดีแน่ เพียงแต่จะปรากฏ
ให้เห็นเมื่อไรและอย่างไรนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง บางทีปรากฏแล้ว
ผู้รับวิบากนั้นไม่รู้ตัวก็ได้จึงรับวิบากที่ดีนั้นได้ไม่เต็มที่ เรียกว่า
"มีบุญ แต่กรรม (อื่น) บัง"
ฉะนั้น ไม่จำเป็นต้องพูดถึงวิบากกรรมข้ามภพข้ามชาติหรอกค่ะ
แม้ในภพเดียวชาติเดียวนี้ กรรมและวิบากก็มีความซับซ้อนมาก
ที่ได้รับอยู่เวลานี้ไม่ว่าดีหรือชั่วเป็นวิบากหรือเป็นแค่ผลข้างเคียงก็แยกไม่ออก
และเป็นวิบากหรือนิสสันท์ของกรรมอะไรกันแน่ก็ไม่มีทางรู้ได้ทุกกรณีไป
โบราณท่านจึงว่า มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่จะรู้วิถีของกรรมและวิบากได้ถ้วนทั่ว
แน่นอนค่ะ ข้าพเจ้าคิดว่าคนไทยโบราณไม่ได้มองเรื่องกรรมละเอียดซับซ้อน
ถึงขนาดนี้
แต่ก็น่าเห็นใจนะค่ะ เพราะจะอธิบายได้อย่างไรว่า ทำไมคนนี้จึงเกิดเป็น
ลูกทุคคตะเข็ญใจ คนโน้นได้เกิดเป็นลูกขุนน้ำขุนนาง
ก็เด็กเพิ่งเกิดยังไม่ทันได้ทำกรรมอะไร (ไม่มีเจตนา) เหตุใดชะตาชีวิต
จึงแตกต่างกันได้ถึงเพียงนี้
ก็ต้องซัดให้แก่กรรมซึ่งสั่งสมกันมาในชาติปางก่อน ซึ่งทำให้เชื่อเรื่อง "บารมี"
ซึ่งก็เป็นเรื่องข้ามภพข้ามชาติอีกเหมือนกัน
เคยมีคนอธิบายหรือให้เหตุผลแก่ความเชื่อเช่นนี้ของคนไทยว่า ความเชื่อ
เรื่องบุญทำกรรมแต่งของคนไทยนั้นมีประโยชน์ที่ทำให้ไม่หมกมุ่นอยู่กับ
โชคร้ายของตัว ถือเสียว่ารับกรรมที่ได้ทำมาให้หมดๆ ไปในชาตินี้ ชาติหน้า
จะได้ไม่ต้องมาเจอกับความอาภัพอับโชควาสนาอีก
ก็อาจจะจริงนะค่ะ เพราะข้าพเจ้าก็เคยพบคนที่พูดอย่างนี้เมื่อต้องเผชิญกับ
ความลุ่มๆ ดอนๆ ของชีวิตมามาก
อย่างน้อยก็ไม่ทำให้บ้า หรือคิดคลั่งแค้นจนเกิดผลเสียแก่ตนเองและผู้อื่น
การมองกฎแห่งกรรมอย่างนี้เลยมาถึงการมองการทำงานของกฎในลักษณะกลไก
ซึ่งเกิดขึ้นมากในระยะหลัง
นั่นคือกรรมชั่วหรือดีย่อมให้วิบากอย่างตรงไปตรงมา (จนไม่น่าเชื่อ)
เช่นเคยหักขานกจึงทำให้พระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งรับนิมนต์ไปเจิมป้าย
ตกบันไดลงมาขาหัก
หลักกรรมเป็นเรื่องใหญ่ในพระพุทธศาสนาเพราะพระพุทธศาสน
าปฏิเสธอำนาจพระเจ้าที่กำหนดชะตาชีวิตของคน
เทวดาก็มี แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมวัฏสงสารกับคนและสัตว์, เปรต, สัตว์นรก
นั่นแหละคนเราจะดีหรือชั่ว จะสูงหรือต่ำก็อยู่ที่กรรม
พระพุทธเจ้าตรัสเรียกพระองค์เองว่าทรงเป็น "กรรมวาท" คือผู้ที่เชื่อและ
ประกาศว่ากรรมมีจริง ผลของกรรมก็มีจริง
บารมีจึงไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวใครมาลอยๆ สถานภาพอันสูงหรือต่ำย่อมมาจากกรรม
คัดลอกจากส่วนหนึ่งของ
***มติชนรายสัปดาห์ วันที่ 01 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 29 ฉบับที่ 1498
Bookmarks