กำลังแสดงผล 1 ถึง 3 จากทั้งหมด 3

หัวข้อ: นิยาย...ฟ้าบ่หงาย ตอนที่ ๒

  1. #1
    ละไมฝน
    Guest

    นิยาย...ฟ้าบ่หงาย ตอนที่ ๒

    ฟ้าบ่หงาย


    เขียนโดย ละไมฝน

    ตอนที่ ๒ ก่อพระเจดีย์ทราย


    ย้อนกล่าวไปเมื่อเดือนออกใหม่ ขึ้น ๒ ค่ำ ลมพัดหยอกยอดไผ่นวยนาย นกการเวกร่ำร้องเสียงหวานเจื้อยแจ้วยามเมื่อฟ้าค่อนแจ้ง พวกนายฮ้อยต้อนวัวควายไปขายเมืองล่างบางกอก หวนกลับคืนสู่เคหา ซื้อสร้อยแหวนเงินทองมาฝากลูกฝากเมีย ซื้อหมกหม่ำมาต้อนแม่ย่า หมู่ช่างฝีมือชาวบ้านพร้อมใจกันสร้างกุฏิหลังใหม่ แทนกุฏิไม้ใบตองตึงหลังเก่าร้าง นับแต่รู้ข่าวว่า เจ้าหัวใหม่จะมาครองวัดแห่งนี้ พ่อจารย์คำหมอพราหมณ์มาทำพิธีโสกกุฏิ (โฉลก) เฒ่าก็นำเส้นด้ายฝ้ายขาวยาวย่อง วัดความยาวกลอนกุฏิ ปากพึมพำมะหล่ำมะเหลื่อว่า

    ? กลอนกุฏี พระดีแตก แขกมาเฮ้าโฮม โยมมาหาสู่ พ่อครูตาย...?

    เส้นด้ายฝ้ายขาววัดไปตกโฉลก ?พ่อครูตาย? พ่อเฒ่าใจหาย เหงื่อตกไหลไคลย้อย โบฮานทำนายว่า ตกโสกนี้ ถ้าเจ้าหัวบ่ตาย ก็ต้องลาสิกขาไปนอนซ้อนเมียสาว วัดจะกลับคืนร้างเป็นทางเทียวผีเปรต เป็นดงหมากเขือบ้า เป็นป่าหมากเขือขื่น ...

    สาวกระจ้อน สาวคำผอง เอื้อยน้องสองศรี เอื้อยคนหัวปีลูกพ่อเฒ่าจูมสี คนน้องลูกท้ายปีแม่ใหญ่อึ่ง สองสาวเจ้าได้ยินคำพวกผู้เฒ่าเล่าลือว่า เจ้าหัวรูปงามจากบ้านโคกสะอาด จะมาครองวัดบ้านโคกใหญ่ จึงปลุกกันตื่นแต่เช้า ลุกขึ้นก่อไฟนึ่งข้าวเหนียว นึ่งข้าวสุกแล้วฟายใส่ก่อง ทำของทานของกินใส่ปิ่นโต ไปจังหันจังเพล

    ตะวันสายสาดส่องก้นผู้สาวนอนตื่นสาย สาวกระจ้อนบ่อาบน้ำ ผัดหน้าทาแป้งขาววอก ปากแต้มสีแดงแจ้ดแลด เด็ดดอกไม้สีแสดมาเสียบแซมกล่อมผมนาง เบี่ยงสไบแพรผ้ายาววาลายดอกดาว สะพายก่องข้าวน้อย น้ำเต้าปุ้งใส่น้ำเต็ม พากันย่างหยากย้ายหน้าบานเพ้อเว้อออกมาวัด

    สาวจันดาถือปิ่นโตตามหลังแม่ทุมมา ท่วงทางย่างงามปานช้างเทียมแม่ สาวเจ้าสวมเสื้อไหมคอกลม แขนกระบอก ขับผิวใสขาวนวล ฝาดผ่องเป็นยองใย ผ้าเนื้อดีทอจากเส้นไหมเงิน เบี่ยงสไบบางพร้อม งามผืนผ้าพิลาศลายแพรวาหอม นุ่งซิ่นจกแม่เจ้าทอมือ แม่สอดลายสายเส้นเป็นเครือเป็นดอก ฝูงพญานาคน้อยเล่นน้ำอยู่ตีนนาง...งามหลาย

    หมู่ผู้เฒ่าแต่งพานบาศรี เย็บขันหมากเบ็ง แซมดอกไม้หอมสดสะพรั่ง พากันมาออกมาตุ้มโฮม(รวมกัน)บนหอแจก(ศาลาการเปรียญ)

    เสียงกลองเพลดังตุ้มตึ้ง ขบวนแห่แหนสมภารใหม่มาถึงหมู่บ้านแล้ว เหลียวเห็นแสงวะวับแวววับไหว นั่นคือแสงแดดใสส่องหัวญาครูเฒ่า ผู้นั่งเป็นเจ้านำหน้าขบวนยาว หมู่ผู้บ่าวหามเสลี่ยงพรั่งพร้อม ทั้งเจ้าหัวเฒ่าและเจ้าหัวน้อย พากันม่วนชื่นดีดเต้น เต้นแล้วดีดตามจังหวะเสียงพิณแคน แต๊ะ แลน แตร แลน แต๊ะ แลน แตร ทั้งหามทั้งฟ้อน ย้อนหน้าย้อนหลัง เจ้าหัวเฒ่านั่งบ่เป็นสุข เอียงซ้ายเอียงขวาจนเอวเคล็ดเอวคลอน เจ้าหัวบ่าวนั่งเอนหน้าเอนหลัง ม่วนเพลินเสียงแคนลำเซิ้ง ปานจะกางแขนรำฟ้อน เณรอุ่นน้อย เณรย่องตอด ย่างต้อยต่องตามหลังอยู่บ่ห่าง หมู่อุบาสกอุบาสิกาเหงื่อไหลไคลย้อย ติดตามขบวนแห่แหนผ่านโคกใหญ่ โคกน้อย โคกสูง โคกต่ำ โคกเห็ดสำมะปิ (เห็ดหลากหลายชนิด) ผ่านโคกเห็ดข้าวไคหอม พอขบวนเคลื่อนคล้อยแห่มาถึงวัดแล้ว ก็แยกย้ายย่างขึ้นหอแจกพักผ่อนตามอัธยาศัย ?.

    ? หัวซาบุญงามแท้ๆ เนาะ?
    สาวกระจ้อนอุทานฮ้อง จับจ้องญาซาหนุ่มรูปงามตาบ่กะพริบ ? ตาก็คม ดั้งก็โด่ง ผิวขาวเหลืองปานพระสังข์ทองถอดรูปเงาะก็บ่ปาน ?
    ? ข้อยว่างามปานพระอินทร์แต้มนะ ?
    สาวคำผองครางเสียงอือๆ ตาเคลิ้มฝันเช่นคนละเมอ
    ? เฮ็ดจังไดหนอ เจ้าหัวบุญจะได้ฉันของทานปิ่นโตกู ?
    สาวกระจ้อนหันไปปรึกษาน้องสาวต่างแม่
    ? เจ้าเฮ็ดของขบฉันอันใด ใส่ปิ่นโตล่ะ ?
    ? แกงอ่อมหอยจูบ (หอยขมสับก้น) กูไปงมมามื้อวานนี้ ?
    ? โอ้ย เอื้อยเอ้ย...เจ้าหัวฮูปงามเพิ่นบ่ฉันของทานเอื้อยดอก เพิ่นอายจูบหอย?
    ? แล้วปิ่นโตมึงล่ะ อีผอง?
    สาวกระจ้อนย้อนถามน้องต่างแม่
    ? ห่อหมกปลาคาบของ (ปลาก้าง) ?
    ? ตายละ ก้างปลาติดคอเจ้าหัวซาตายก่อนหดสรงน้ำแน่ๆ เลย ของทานมึง พระเพิ่นฉันยากกว่าของกูอีก?
    ผู้ใหญ่เม้า หันมาทำตาดุ เสียงดุ
    ? อย่าเถียงกันเสียงดังหลาย อายพี่อายน้องบ้านไกลเพิ่นแน ?

    พอถึงเพลาฉันเพล พระเณรจับสลากเลือกปิ่นโตโยมอุปัฏฐาก ญาครูโต้นจับสลากได้ปิ่นโตยายกองแลน ตาเข แม่ฮ้างเฒ่าบ้านใกล้วัด ญาท่านเปิดฝาปิ่นโตแล้วถึงกับครางโอ้...หน้าเหลืองตาต่ำสลด เมื่อเหลือบเห็นแจ่วบอง คั่วแมงกุดจี่ แลแมงอีนูน เจ้าหัวเฒ่าถอนหายใจ เนื่องจากบ่มีฟันจะขบเคี้ยว

    เณรย่องตอด สามเณรรับใช้ญาครูใหญ่ จับสลากได้ปิ่นโตสาวคำผอง ผู้หมกปลาคาบของใส่ปิ่นโตมากินทาน เณรอุ่นน้อย จับสลากได้ปิ่นโตสาวกระจ้อน ผู้แกงอ่อมหอยต่อยก้น ใส่ผักลืมผัวข้าวคั่วหอม เมื่อนั้นเณรอุ่นน้อยนั่งจูบหอยเหงื่อย้อยไหล ทั้งจูบหอยทั้งฮ้องไห้ น้ำตาไหลอาบปิ่นโต

    ส่วนญาซาบุญเติมโชคดีเหลือล้น จับสลากได้ปิ่นโตสาวมณฑา ผู้แกงปลาซ่อนตัวใหญ่ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งทั่วศาลาหอแจก ปลาซ่อนแม่ไข่ยวงเหลืองอ้อยต้อย เณรน้อยเหลียวมองทำตาม้อยๆ กลืนน้ำลายคอยท่าหัวปลามัน

    นับจากนั้นมา เป็นอันว่ายายกองแลนแม่ฮ้างเฒ่า ได้เป็นแม่อุปัฏฐากญาครูโต้น สาวจันดาลูกหล่าแม่ทุมมา ได้เป็นแม่ออกค้ำเจ้าหัวบุญเติม สาวคำผองนั้นเป็นแม่ออกค้ำเณรย่องตอด ส่วนสาวกระจ้อนเป็นแม่ออกค้ำเณรอุ่นน้อยผู้จ่อยเหลือง...
    .............................................

    ดวงตะวันต่ำคล้อย ยามแลงแสงแดดอ่อน ลมพัดปลายไผ่บ้าน สำราญแท้ไผ่เสียดสี เสียงลม วี...วี๊...วี...ลมพัดตีหมากงิ้วแห้ง ปุยนุ่นขาวแตกเปลือกปลิวกระจายเต็มฟ้า ลมพัดผ้าสบงบางน้อยเณรอุ่น ผู้ยืนอยู่บนหอกลองเพล เป็นเวรเป็นกรรมตาผู้สาว ผู้เหลียวเห็นหมากงิ้วน้อยห้อยต่องต้อน ผ้าซ้อนก็บ่มี พวกหมู่สาวนมตูมตั้ง หาบน้ำผ่านลานวัด เหลือบเห็นหมากงิ้วของเณรน้อยเท่ากิ่งก้อยก็บ่ปาน พาลพาโลหัวเราะร่าหน้าแดงปานตำลึงสุก หาบน้ำแล่นล้มแล้วลุก ลัดผ่านลานวัดเข้าสู่เรือนชาน วางไม้คานหาบน้ำแล้ว เหลือบเบิ่งกระชุน้อยน้ำบ่มี

    ฝ่ายเณรอุ่นน้อยเหิมฮึกคึกคะนอง ตีกลองแลงหยอกสาว เสียงยาวๆ สลับสั้น กระชั้นเร่งเร้าเจ้าหัวพลอยเคืองขุ่น

    ? จัวน้อยผีบ้า..ไผพาตีกลองทำนองนี้ บวชมาตั้งหลายปี เฮ็ดดีก็บ่ได้ ?
    ญาครูบุญเติมยืนเท้าสะเอว หน้าบึ้งบอกบุญบ่รับ

    เณรอุ่นยิ้มเป้ยๆ บ่คิดเคืองขุ่นคำด่า ท่านครูบาบุญเติมนี้ มีเมตตาธรรมมากล้ำคำสอน คำดุด่าป้อยๆ เณรอุ่นน้อยคิดว่าเจ้าหัวฮัก เจ้าหัวแพง เณรเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่ตายแต่น้อยๆ ญาครูรับเลี้ยงไว้จนเติบใหญ่กล้าหน้าบาน พออายุครบบวชแล้ว จึงบวชอุ่นน้อยเป็นเณรคำ เณรสำนึกบุญคุณปรนนิบัติญาครูเจ้าบ่ห่างหนี บ่คิดสึกไปเล่นเกเรลักขโมยของคนอื่น จับนมผู้สาวคราวนั้น เพราะสาวขี้ดื้อมาหยอกแหย่ หยอกบ่หยอกเล่นๆ กำพวงขะหลำแล้วแล่นหนี

    เกิดมาเป็นเณรน้อย คอยติดตามผู้เป็นปราชญ์ จากวัดบ้านโคกสะอาด ด้วยศรัทธากล้าญาครูเจ้าจึงตามมา ยามปวดเมื่อยอ่อนล้าแข้งขา ได้เณรอุ่นน้อยคอยนวดเฟ้น บีบคลายเส้นคลายเอ็น ทั้งเอ็นใหญ่เอ็นน้อยและเอ็นอ้อยทุกค่ำแลง

    ความซุกซนของเณรอุ่นนั้นก็เหลือหลาย สาธยาย ๓ วัน ๓ คืน ยืดยาวบ่จบสิ้น

    เมื่อได้ยินคำญาครูตำหนิด่า เณรจึงตีกลองช้าๆ...ช้าลงสาละวัน เป็นสัญญาณบอกเตือน ย่างเดือน ๖ ปีนี้ ประเพณีก่อพระเจดีย์ทรายเวียนมาถึง ให้ชาวบ้านพร้อมใจกันแต่งพานบาศรี ทั้งผู้เฒ่าผู้โอ่ ผู้บ่าวผู้สาว และลูกเล็กเด็กน้อย มาขอขมาโทษเจ้าหัว ที่ล่วงเกินด้วยวจีกรรมกายกรรม เมื่อครั้งสาดน้ำเล่นสงกรานต์ม่วนชื่น ทั้งเณรน้อยทั้งสีกากุมกอดกันอุ้มลุ้มอยู่ลานวัดอาราม

    ตึง...ตุ้ม...ตึง ตึง...ตุ้ม...ตึง ตึง...ตุ้ม...ตึง...

    เสียงกลองน้อยทิดทองไสท่วงทำนองเร้าใจ ทั้งสาวใหญ่สาวน้อย คว้าไม้คานหาบกระชุ ลุกขึ้นย่างย้ายเป็นทิวแถวลงสู่ฝั่งน้ำชีหลง ยามหน้าฝนน้ำพัดทรายมาเต็มฝั่งยามหน้าแล้ง ได้บุญหลายขนทรายเข้าวัด อ้ายทิดสังข์ดีดพิณน้อย เสียงจ้อยๆ ลำเต้ยหยอกผู้สาว

    สาวกระจ้อนเพิ่นม่วนใจ กระโจนลงจากชานเฮือนทั้งดีดทั้งเต้น ดีดแล้วเต้นแล่นลงท่าทราย สองตีนนางลื่นไถลหงายหลังขาชี้ฟ้า มองเห็นแต่ตีนผ้าซิ่นถลกคลุมหัว กกก้นดำปานก้นหม้อต้มยาฮากไม้ ยาสมุนไพรญาพ่อครูโต้นนั่นแล้ว

    แล้งๆ นี้น้ำชีลงลดหลาย เม็ดทรายใสวับวาวขาวเกลี้ยง สาวจันดาเบี่ยงสไบแพรหอมอวลกลิ่น นุ่งซิ่นงามลายนาคน้อยทอเส้นไหมคำ หมู่ผู้บ่าวเหลียวแลนำ ทำตาส้มตาหวาน แย่งกันช่วยนงคราญขนทรายยีย้วย น้อยเณรอุ่น เณรย่องตอดช่วยกันจัดแจงแต่งดินลานไว้ เณรก็ปักธงไท้เรียงรายงามตา เชิญญาติโยมโฮมเฮ้า(ร่วมกัน)มาขนทรายเข้าวัด เก็บดอกไม้มาแจมจัดประดับประดาเจดีย์น้อย ดอกดาวเรือง ดอกชบา ดอกรัก ดอกพุดขาวซ้อนช่อกลีบหนา ดอกมันปลาหอมกว่าดอกเป้า ดอกคัดเค้าหอมยามเช้า ดอกไข่เน่าหอมยามงาย หอมบ่วายหอมกลิ่นผืนผ้าแพรวาสาวจันดา...

    ? ญาครูครับ เจดีย์ทรายแม่ออกจันดา ตบแต่งดอกไม้ง้ามงาม ?
    เณรอุ่นแล่นขึ้นมารายงานครูบาบุญเติมบนหอแจก

    สมภารหนุ่มทอดถอนใจยาว ตาคู่คมทอดมองแนวระเบียงศาลา ประดับประดาดอกไม้แห้ง ร้อยอุบะดอกลิ้นฟ้า ดอกสะแบงแสดแดงเดือนห้า หมู่ผู้สาวนำมาร้อยเรียงราย สายลมพัดพลิ้วกระพือบินไหวๆ คือฝูงนกกระจาบใบตาลสานห้อยละลานตา ทั้งสีสันธงทิวประดับดีงามล้วน ทั้งบุญใหญ่บุญน้อย บุญค้ำบุญคูณ อาศัยศาลาหอแจกนี้ สืบสานประเพณีสืบมา

    ? งามปานใด ก็เป็นเพียงสิ่งสมมติขึ้นเท่านั้นแหละ จัวน้อยเอ๋ย ?
    ? ค่ำแลงนี้แม่ออกจันดาเพิ่นมาลงวัด ทิดบัวไข ทิดทองสา อ้อมหน้าอ้อมหลังอยู่บ่ห่าง?

    เณรน้อยเอื้อนเอ่ยถึงสาวงามแม่ออกค้ำผู้งามล้ำ แทงใจผู้นั่งฟังให้ฮ่ำฮอนนำ(คะนึงถึง) หัวใจญาครูพลันไหวหวั่น

    แม้นว่าหน้าตาอาจดูสงบนิ่ง แต่ภายในใจนั้นเต้นแฮงนักแท้ ปานเณรน้อยรัวกลองเพลยามหิวข้าวเที่ยง ฮ่ำฮอน(คะนึงหา) อยากเห็นหน้าสาวจันดาลูกแม่ทุมมาโยมอุปัฏฐาก ผู้มาจังหัน จังเพลอยู่บ่เว้น สาวจันดาอายุย่าง ๑๙ ปีงามเต็มเทียมแม่ ญาครูสรงน้ำใหม่ พยายามหักห้ามใจบ่คิดนำคำเว้า แต่ใจก็ยังคิดฮอดสาวเจ้าคิดเป็นวรรคเป็นเวร

    ขึ้นชื่อว่าใจพระ หรือใจคน ก็มีเลือดมีเนื้อบ่ต่างกัน มันโลดแล่นไปมาบ่หยุดนิ่งปานลิงขึ้นหมากพร้าว เจ้าหัวหนุ่มผู้หวังจะครองผ้าไปนิพพาน แต่ว่ามารผู้สาว มากางแขน กางขากั้น ยามจำวัดหลับฝัน หมู่คนธรรพ์มาอุ้มสม อุ้มไปดมกลิ่นกายสาว นอนเคียงนางกลางอุ่นจนแจ้งจ่างปาง

    ญาครูบุญเติม ผู้บวชเรียนมาแต่น้อยเท่าใหญ่ ครองวัตร ครองศีล ครองธรรมมานาน แต่กายกับจิตยังเกี่ยวกอดกันอยู่ ลางทีกิเลสก็พาใจญาครู ล่องลอยไปนอกกำแพงวัด เห็นดอกไม้งามหอมนัก แม้กระทั่งดอกหญ้าข้างทางก็ดูงามเหลือหลาย อยากเอื้อมเด็ดดอกพะยอมหอมกำหนัด มันใกล้จนมือเอื้อมถึง แต่ว่าใจก็เด็ดดอกไม้หอมมาดอมดมบ่ได้...

    ค่ำคืนนี้...เดือนเพ็ญเพ็งเต็มดวง นวลแสงเย็นอาบคืนค่อนแจ้ง หมู่ผู้เฒ่าผู้สาวเด็กน้อย เก็บดอกไม้ดวงมาลาหวงหอม พร้อมธูปเทียนขึ้นมานั่งบนศาลาหอแจก พ่อใหญ่จารย์คำหมอพราหมณ์ นำหมู่ชาวบ้านสวดมนต์ไหว้พระ รับศีลรับพรจากพระเณรแล้วลงสู่ลานวัด จุดธูปเทียนบูชาพระเจดีย์ทราย จนเฮืองฮุ่งไปทั่วลานกว้าง หมู่บ่าวสาวนั่งเคียงกันข้างกองทราย ผู้บ่าวผู้สาวอธิษฐานเป็นคู่นอนฮ่วมห้อง ใจประสงค์ฮักฮ่วมบุญปันแบ่ง มื้อนี้กินข้าวฮ่วมพา มื้อหน้ากินปลาฮ่วมหนอง ใจประสงค์กันแล้วแก้วใสในถ้ำก็จะค้นหา...

    ฝ่ายสาวจันดาน้องก่อกองทรายคอยท่า ฮ่ำฮอนหาญาครูบ่าว คอยเจ้าหัวมาจุดเทียนฮ่วมอธิษฐานฮักแพง ดุจดั่งปลาฮักน้ำ จวงจันทร์คำฮักปวงดาว ปรารถนาให้เม็ดทรายนับล้านเป็นดั่งเนื้อดินก้อนเดียวกัน...นั่นแล้ว แต่ว่าญาครูเจ้าดำรงสมณเพศสืบศาสนา คือดั่งมีกำแพงสูงบังตา บุญและ บาปนี้เป็นของคู่กันปานคนกับเงา เงาตามคนไปทุกที่...ทุกวี่ทุกวัน

    ? เป็นบ้าป่วงแบบนี้... บ้านสิล่ม วัดสิฮ้าง ญาครูเจ้าบ่ฮุ่งธรรม...บาปหลายแท้หนอเฮา ?
    สาวจันดาครุ่นนึกตำหนิตนบ่เจียมใจ

    งามแสงเพ็ญนวลกระจ่าง แกมแสงเทียนรุ่งเรืองทั่วลานบุญ หมู่เด็กน้อยเล่นลอดแลดข้าวสาร บักกบบักเขียดประสานนิ้วกัน ทั้งสองข้าง ยกขึ้นเหนือศีรษะ อีติ่งต้อยอยู่แถวหน้าเรียงราย เดินก้มหัวโน้มตัวลอดใต้แขนบักกบบักเขียด พร้อมกับฮ้องว่า...

    ลอดแลดข้าวสาร สองทะนานข้าวเปลือก
    เด็กน้อยน้อย ตาเหลือกตาลาน
    เจ้าหัวคลาน อ่อมเอาะอ่อมอ้อย
    เด็กน้อยน้อย นำก้นคุบเอา...

    บ่ทันจบคำ บักกบบักเขียดก็จับมือกันเอาอีนางแพงกับพิกุลอยู่ข้างหลังไว้ ....

    เด็กน้อยอีกกลุ่มหนึ่ง เล่นจ้ำมู่มี่ บักเขือขื่น เสียงฮ้องเฮแซวๆ ว่า

    ? จ้ำมู่มี้ จ้ำมู่มน หักคอคนใส่หน้านกกด หน้านกกดหน้าลิงหน้าลาย หน้าผีพรายหน้ากิกหน้าก้อม ย้อมแยะ ผ้าเตาะแตะ กับผ้าต่อกลาง พับมือบางไปต่อไก่ ต่อได้แล้ว มาฟักมาฟัน ลาวเวียงจันทน์ ใส่แหวนข้างซ้าย ย้ายแยะ...?

    กลุ่มของบักโม่งขี้มูกเขียว ชวนหมู่เล่นมอญซ่อนผ้า อีเขียดจะนาน้อย แก้มป่องเป็นสาวมอญ ถือผ้าข้าวม้าฟั่นจนแข็งปานท่อนไม้ เดินย่องๆ อ้อมข้างหลังหมู่เพื่อน

    ? มอญซ่อนผ้า ตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง ระวังให้ดี จะตีหลังแตก....?

    อีกเขียดจะนาน้อยลอบวางผ้าไว้ข้างบักโม่งขี้มูกเขียว ย่างย่องอ้อมวงอีกรอบ ย่องวนกลับมาคว้าผ้า ตีหลังบักโม่งขี้มูกเขียวดังตุ๊บ !

    บักโม่งเจ็บจุก ลุกขึ้นร้องไห้ไปฟ้องแม่...

    เดือนขึ้นสูง แสงเทียนดับ หมู่ผู้เฒ่าจูงแขนลูกน้อยกลับเรือนนอน หมู่ผู้สาวกลับเรือนเข็นฝ้าย ทิดเคนน้อยเป่าแคนตามหลัง เสียงลายแคนสุดสะแนนม่วนหู แต๊ะ แลน แตร แลน แต๊ะ แลน แตร.. สาวกระจ้อนนอนย่างแม่คีงไฟ (เตาไฟ) สาวนางตกตลิ่งทรายขาเคล็ดเอวคลอน นอนครางฮือๆ สาวคำผองเข็นฝ้ายเว้าบ่าว อยู่นอกชานเรือนเย็นลมชมดาว ทิดทองสาสูบยามวนใหญ่ควันปุ้ยๆ ขยับเข้าใกล้ผู้สาวเข็นฝ้าย ....

    (โปรดติดตามตอนต่อไป)

  2. #2
    แปะไว้เดี๋ยวกลับมาอ่านจ้า

  3. #3
    Maximum learning
    ศิลปิน นักเขียน
    สัญลักษณ์ของ khonsurin
    วันที่สมัคร
    Apr 2008
    ที่อยู่
    ท่าตูม สุรินทร์
    กระทู้
    8,063
    บล็อก
    197
    อ่านแล้วสนุกดีนะคะ มีความสุขมากค่ะที่ได้อ่าน
    *********************************


    อิสระ เสรี เสมอภาค




    *********************************

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •