กำลังแสดงผล 1 ถึง 7 จากทั้งหมด 7

หัวข้อ: วิชาอ่านใจของพระพุทธเจ้า

  1. #1
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ ต้นข้าว
    วันที่สมัคร
    Dec 2007
    กระทู้
    588

    วิชาอ่านใจของพระพุทธเจ้า

    เรื่องแปลกแต่จริงคนเรามักอยากรู้ว่าคนอื่นคิดอะไรทั้งที่ความคิดหรือกระทั่งความรู้สึกของตนเองยังอ่านไม่ออกหรือบางทีอ่านออกบอกถูกแต่ก็ไม่ยอมรับคิดอย่างนี้โกหกว่าคิดอย่างนั้นรู้สึกอย่างนั้นแต่หลอกว่ารู้สึกอย่างโน้น
    ตัวเองยังไม่รู้จักแล้วจะไปรู้ใจใครอื่นได้? แต่นั่นแหละที่คนกว่าครึ่งโลกอยากทำได้และมักออกแนวชอบเดาใจมากกว่ารู้ใจใครจริง

    พุทธศาสนามีชื่อเสียงว่าเป็นยอดแห่งศาสตร์ทางจิตจึงมักถามกันทั่วไปว่าพระพุทธเจ้าเคยสอนวิธีอ่านใจคนไว้ไหม? อันนี้ต้องตอบตามจริงว่าสอนและสอนไว้ในหลักปฏิบัติอย่างใหญ่ชื่อ?มหาสติปัฏฐานสูตร?ใจความสรุปโดยย่นย่อที่สุดคือ?

    ถ้าอ่านใจตัวเองออกก็บอกได้ว่าใจคนอื่นเป็นอย่างไร?เหตุผลคือใจเป็นธรรมชาติชนิดเดียวกันไม่ว่าจะภายในตนหรือภายนอกตนเมื่อรู้ข้างในนี้ได้ก็ย่อมรู้ข้างนอกโน้นได้เช่นกัน

    ธรรมชาติของใจนี้เป็นอย่างไร? ใจนี้มี?ความรู้สึก?อย่างใดอย่างหนึ่งประกอบอยู่ด้วยตลอดเวลาไม่สุขก็ทุกข์

    ?ความรู้สึก?เป็นเพียงคำกลางๆแต่?สุข?กับ?ทุกข์?นั้นเป็นแยกซ้ายแยกขวาของความรู้สึกกระแสสุขจะฉายสว่างส่วนกระแสทุกข์จะหดมืดทุกคนสัมผัสได้ว่ายามสุขคล้ายตัวเองและใครๆเรืองแสงออกมาจะจัดจ้าหรือนวลอ่อนก็ขึ้นอยู่กับระดับความสุขแต่ยามทุกข์จะคล้ายตัวเองและใครๆกระจายรังสีมืดดำออกมาจะเข้มหนักหรือเบาบางก็ขึ้นอยู่กับระดับความทุกข์

    สังเกตให้ดีจะเห็นความสุขมาพร้อมกับกายที่ผ่อนคลายความรู้สึกในอกจะเปิดเผยกว้างขวางส่วนความทุกข์มาพร้อมกับกายที่เครียดเกร็งความรู้สึกในอกจะกดแน่นคับแคบหากคุณจับได้ว่าความรู้สึกในอกตอนเปิดเผยเป็นอย่างไรตอนปิดแคบต่างไปแค่ไหนคุณมองใครๆบนถนนก็จะเริ่มสัมผัสได้ว่าความรู้สึกที่กลางอกของแต่ละคนต่างกันไปบางคนเปิดกว้างสบายบางคนปิดแคบอึดอัด

    และหากสังเกตให้ละเอียดขึ้นคุณจะพบว่าความรู้สึกทางกายกับทางใจอาจคล้อยตามหรือขัดแย้งกันเช่นบางคนนอนอยู่บนเตียงนุ่มในห้องแอร์เหมือนกายพักสนิทแสนสบายแต่ใจกลับวิ่งเต้นวุ่นวายหาความสงบเย็นมิได้บางคนเสียอีก ที่เดินเท้าเปล่ากลางแดดเปรี้ยงเหงื่อกาฬไหลโทรมแต่ใจกลับเงียบเชียบเรียบเย็นเป็นสุขไป

    เมื่อแยกถูกว่ากายกำลังเป็นสุขหรือเป็นทุกข์อย่างไรและใจกำลังเป็นสุขหรือเป็นทุกข์สอดคล้องหรือแตกต่างจากกายคุณจะเห็นถนัดและแยกแยะถูกว่ากายกำลังเชื่อมโยงกับสิ่งใดแล้วใจกำลังผูกพันกับเรื่องดีร้ายประมาณไหน

    อย่างเช่นกายวางนิ่งอยู่บนฟูกนุ่มก็เกิดกระแสสบายทางกายในแบบผ่อนคลายแต่ถ้าขณะนั้นใจกลับทะยานไปผูกโยงอยู่กับศัตรูคู่แค้นก็เกิดกระแสความเร่าร้อนในแบบอาฆาตพยาบาทหากเป็นตัวคุณเองคุณย่อมรู้ว่ากำลังหมกมุ่นครุ่นคิดแค้นเคืองใครแต่หากเป็นคนอื่นคุณอาจสัมผัสรู้เพียงไฟโทสะทว่าจะรู้หรือไม่รู้ว่าใครกำลังปรากฏในห้วงมโนทวารของเขาก็ขึ้นอยู่กับว่ามีสัมผัสละเอียดอ่อนเพียงใดยิ่งใจคุณเย็นเป็นเมตตาประณีตห่างไกลจากโทสะในตนเองเพียงใดก็จะยิ่งสามารถเห็นรายละเอียดของโทสะในคนอื่นชัดเจนขึ้นเพียงนั้น

    คุณจะพบว่าความรู้สึกสุขทุกข์เป็นสิ่งที่รู้ได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยฌานญาณลึกซึ้งอันใดและความรู้สึกสุขทุกข์ก็เป็นสิ่งที่บังเกิดกับกายใจอยู่ตลอดเวลาอย่างเช่นในบัดนี้เมื่อถามว่าตัวเองกำลังเป็นทุกข์หรือเป็นสุขคุณอาจถามแยกได้สองทาง

    ทางที่หนึ่งถามว่าความรู้สึกทางกายเป็นอย่างไรทางเดียวที่จะทราบความรู้สึกทางกายคือคุณต้องรู้เสียก่อนว่ากำลังอยู่ในอิริยาบถแบบไหนนั่งตรงหรือนั่งบิดส่วนใดส่วนหนึ่งกำเกร็งหรือผ่อนคลายตลอดตัวเมื่อทราบอาการทางกายคุณย่อมทราบความรู้สึกที่เกิดขึ้นรวมๆว่าสบายหรืออึดอัดแม้อากาศร้อนจนเหนียวตัวก็พลอยรู้หรือแม้อากาศเย็นสบายผิวก็พลอยเห็น

    ทางที่สองถามว่าความรู้สึกทางใจเป็นอย่างไรทางเดียวที่จะทราบความรู้สึกทางใจคือคุณต้องรู้เสียก่อนว่าใจกำลังผูกอยู่กับสิ่งใดเช่นในที่นี้ใจคุณต้องผูกอยู่กับตัวหนังสือในแต่ละบรรทัดบรรทัดไหนอ่านแล้วเข้าใจอ่านแล้วรับได้ก็สบายใจบรรทัดไหนอ่านแล้วสงสัยอ่านแล้วต่อต้านก็ไม่สบายใจ

    หากไม่แน่ใจว่ากำลังเผชิญกับความรู้สึกทางใจแบบไหนแน่ก็ให้มองว่ากลางอกแน่นทึบหรือโปร่งเบาตอนอกทึบแน่นให้บอกตัวเองเลยว่ากำลังเป็นทุกข์คิดอะไรไม่ค่อยออกมองอะไรไม่ค่อยเห็นแต่หากหัวอกปลอดโปร่งให้บอกตัวเองว่ากำลังเป็นสุขหูตาจะกว้างขวางจะคิดอ่านอะไรก็ง่ายดายเป็นระเบียบ

    จะเกิดอะไรขึ้นหากคุณหมั่นสังเกตเข้ามาที่ความสุขความทุกข์ของตนเอง? คุณจะพบว่าความคิดฟุ้งซ่านลดระดับลงความทะยานอยากออกไปนอกตัวจะอ่อนกำลังลงและที่สำคัญที่สุดคือคุณจะเห็นความจริงว่าสุขก็ดีทุกข์ก็ดีล้วนแล้วแต่ตั้งอยู่ให้ดูแค่ครู่หนึ่งเมื่อหมดเครื่องหล่อเลี้ยงแล้วสุขและทุกข์นั้นๆก็จางตัวหายไปเป็นธรรมดา

    สิ่งที่อาจทำให้คุณประหลาดใจคือเมื่อรู้จักหน้าตาของสุขทุกข์ชัดๆกับทั้งเห็นว่าสุขทุกข์ไม่เที่ยงใจคุณจะไม่ยึดติดสุขกับทั้งไม่อยากอมทุกข์เอาไว้คล้ายกับใจแยกออกไปเป็นผู้ดูไม่ใช่ผู้ยินดียินร้ายกับสุขทุกข์อีกต่อไป

    และสิ่งที่คุณอาจคาดไม่ถึงคือเมื่อใจเท่าทันและไม่ผูกยึดกับสุขทุกข์ทั้งปวงแล้วมีความวางใจเป็นกลางได้แล้วต่อไปเมื่อชำเลืองแลคนอื่นจะได้ด้วยสายตาตรงหรือด้วยหางตาก็ตามคุณจะสามารถสัมผัสสำเหนียกถึงกระแสสุขทุกข์ทางกายทางใจของพวกเขาได้กับทั้งเห็นว่าธรรมชาติสุขทุกข์ของผู้อื่นก็เหมือนสุขทุกข์ของคุณเองนั่นคือต้องมีเหตุปัจจัยอะไรสักอย่างบันดาลให้เกิดแต่แล้วก็ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ต้องเสื่อมสลายหายไปพร้อมกับตัวต้นเหตุนั่นเอง

    ต่อให้คุณพบกับคนที่ดูเหมือนเปี่ยมสุขอย่างเหลือล้นสัมผัสที่ไวของคุณก็จะทราบว่าเขาไม่ได้สุขคงเส้นคงวาตลอดเวลาเพียงแค่คิดหรือตั้งใจเพ่งเล็งบางสิ่งความสุขทางใจก็ถูกบีบให้แคบลงได้มากแล้ว

    และเมื่ออ่านความรู้สึกของตนเองและผู้อื่นออกคุณจะเห็นรายละเอียดมากขึ้นทุกทีและพบว่าอะไรๆในชีวิตมนุษย์รวมอยู่ที่นั่นทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นวิธีคิดวิธีพูดหรือวิธีลงมือกระทำการใดๆหากใจเล็งในทางดีก็สบายหากใจเล็งในทางร้ายก็อึดอัดง่ายๆแค่นี้เองคุณจะถือสาหาความใครต่อใครน้อยลงเรื่อยๆแล้วหันมาโทษต้นเหตุคือวิธีคิดวิธีพูดและวิธีทำของตนเองที่ก่อให้เกิดทุกข์ขึ้นอย่างสูญเปล่าโดยแท้

    ตามดูตามรู้สุขทุกข์อยู่
    ในที่สุดจะเห็นความไม่เที่ยง
    ตามดูตามรู้ความไม่เที่ยงอยู่
    ในที่สุดจะเห็นความไม่น่ายึดมั่น
    ตามดูตามรู้ความไม่น่ายึดมั่นอยู่
    ในที่สุดจะเห็นนิพพาน!



    วิชาอ่านใจของพระพุทธเจ้า


    ที่มา www.dungtrin.com/empty4/05.htm

  2. #2
    แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ สัญลักษณ์ของ ไทสกลฯ
    วันที่สมัคร
    Jun 2009
    กระทู้
    217


    ขอบคุณเจ้าของกระทู้..

    เป็นศาสตร์เดียว...ที่คนผิวเหลือง ล้ำหน้า พวกคนผิวขาว
    และคนผิวเหลือง ที่เก่งสุดในศาสตร์นี้ คือ คนไทยที่อยู่ในประเทศไทย...แม้ต้นตำหรับไม่ใช่คนไทยก็ตาม

  3. #3
    Maximum learning
    ศิลปิน นักเขียน
    สัญลักษณ์ของ khonsurin
    วันที่สมัคร
    Apr 2008
    ที่อยู่
    ท่าตูม สุรินทร์
    กระทู้
    8,063
    บล็อก
    197
    ขอบคุณมากนะคะสำหรับสาระดีๆ ที่มีประโยชน์ค่ะ



    *********************************


    อิสระ เสรี เสมอภาค




    *********************************

  4. #4
    ร่วมถ่ายทอดความรู้สู่สังคม
    วันที่สมัคร
    Jul 2008
    กระทู้
    641
    ผมเป็นแค่แมลงตัวน้อยๆตัวหนึ่งที่ฟลุ๊กบินเข้ามาอ่านในหัวข้อนี้เด้อคับ อ่านเบิ่งที่ผมพิมพ์ซะก่อนอย่าฟ้าวเปิดกายเด้อคับ

    เลยอ่านทั้งหมดแล้วผมวาไม่มีคุณใดยิ่งใหญ่กว่าคุณของพระรัตนตรัยอีกแล้ว เพราะพระพุทธเจ้าเห็นว่าหากไม่เผยแผ่ธรรมสัตว์โลกหนิยากที่สิเข้าถึงซึ่งพระนิพาน และจะยังคงเวียนว่ายตายเกิดอยู่นิล่ะบ่ไปไส

    ทุกอย่างสิ่งทุกอย่าง

    เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป >_____________________<"""

  5. #5
    ร่วมถ่ายทอดความรู้สู่สังคม สัญลักษณ์ของ พิณอิสระ
    วันที่สมัคร
    Sep 2008
    ที่อยู่
    ขอนแก่น อุดรธานี และสุรินทร์
    กระทู้
    503
    กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ ไทสกลฯ


    ขอบคุณเจ้าของกระทู้..

    เป็นศาสตร์เดียว...ที่คนผิวเหลือง ล้ำหน้า พวกคนผิวขาว
    และคนผิวเหลือง ที่เก่งสุดในศาสตร์นี้ คือ คนไทยที่อยู่ในประเทศไทย...แม้ต้นตำหรับไม่ใช่คนไทยก็ตาม
    ขอขอบคุณเจ้าของกระทู้เช่นกันครับ ขอบคุณไปถึงเจ้าของต้นฉบับเลยด้วย

    ชอบคำของคุณ ไทสกลฯคักแท้
    ศาสตร์เดียว ที่คนผิวเหลือง ล้ำหน้า คนผิวขาว
    และที่เก่งสุด อยู่ประเทศไทย


    ทราบไหมครับว่า....ตอนนี้มีคนอุตริเขียนเรื่องให้พระพุทธเจ้ามาเกิดและนิพพานที่ประเทศไทยแล้วครับ (เป็นอาจารย์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช หนังสือเรื่อง ความลับของพระพุทธเจ้า..) ชาวพุทธควรพิจารณาและไตร่ตรองเรื่องนี้ให้มากครับ

  6. #6
    แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ สัญลักษณ์ของ ไทสกลฯ
    วันที่สมัคร
    Jun 2009
    กระทู้
    217

    แม่นอีหลีบ่บ่าว...? อ. มสท. เพิ่นมีเจตนาแนวได๋เนาะ... พยายามดึงคนไทยไปเข้าโรงเรียนหลาย ๆ บ้อคือ...??

  7. #7
    ร่วมถ่ายทอดความรู้สู่สังคม สัญลักษณ์ของ พิณอิสระ
    วันที่สมัคร
    Sep 2008
    ที่อยู่
    ขอนแก่น อุดรธานี และสุรินทร์
    กระทู้
    503

    ปกป้องพุทธศาสนา

    ปกป้องพุทธศาสนา กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ ไทสกลฯ ปกป้องพุทธศาสนา

    แม่นอีหลีบ่บ่าว...? อ. มสท. เพิ่นมีเจตนาแนวได๋เนาะ... พยายามดึงคนไทยไปเข้าโรงเรียนหลาย ๆ บ้อคือ...??
    Re: Fwd:ปกป้องพุทธศาสนา
    กล่องจดหมายX

    ตอบ |dao ถึง ฉัน
    แสดงรายละเอียด 17 ก.ย. (9 วันที่ผ่านมา)
    ตอนนี้มีดร.ทานหนึ่งนามว่า ชัยยงค์ พรมวงศ์ จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ได้แต่งหนังสือ ความลับพระพุทธเจ้า ใช้นามปากกาว่า เอกอิสโร ระบุว่าพระพุทธเจ้าไม่ไกดที่อินเดีย แต่ทุกที่อยู่ในเมืองไทย มองเผินๆก็เป็นธรรมดาที่ต้องมีความแตกต่างบ้าง แต่ถ้ามองให้ลึกซึ่งนี้เป็นแผนทำลายพุทธประวัติ และพุทธศาสนาโดยตรง ชาวมุสลิมก็ไมจำเป็นต้องแต่งตำราให้พระนบี มูหัมหมัดมาเกิดในไทยก็ยังคารพกันดี ชาวคริสต์ก็ไม่ได้แต่งให้พระเยซูมาเกิดที่ไทยก็ศรัทธากันดี แล้วชาวพุทธเราจำเป็นอะไรที่จะให้พระพุทธเจ้ามาเกิดที่นี่ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องจริง อยากให้พวกเราชาวพุทธได้บอกกล่าว และช่วยกันตำหนิคนเขียนประวัติศาสตร์เท็จ ทำเรื่องผิดให้เป็นเรื่องถูก ทำเรื่องจริงเป็นเรื่องเท็จ เพื่อลูกหลานชาวพุทธที่เกิดในภายหลังที่ไม่ได้ศึกษาพุทธประวัติอย่างละเอียดจะได้ไม่เขว หลงเชื่อไปด้วย


    พระมหาดาวสยาม วชิรปัญโญ

    ปกป้องพุทธศาสนา

    จากข้อความที่ได้รับ หลังจากที่ได้ยินข่าวมานานว่ามีเรื่องราวเช่นนี้จริง ท่านพระมหาดาวสยาม วชิรปัญโญ เป็นผู้มีความรู้และสนใจเรื่องประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนามากท่านหนึ่ง ที่มีผลงานหลายเล่ม เช่น ประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในอินเดีย ประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในลาว ประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในกัมพูชา เยือนอินเดีย..ตามรอยอารยธรรมพุทธ พุทธสถานที่ถูกลืมในอินเดีย ย้อนรอยพระพุทธศาสนาในอัฟกานิสถาน ถ้ำพุทธศาสนาในอินเดีย สารนาถ:ต้นกำเนิดพระพุทธศาสนา ราชคฤห์:เมืองหลักของพระพุทธศาสนา เป็นต้น และกำลังจัดพิมพ์เรื่อง ประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในจีน เร็ว ๆ นี้ โดยผลงานเหล่านี้มีข้อมูลและรูปภาพบางส่วนที่พิณอิสระได้ช่วยดูแลและติดตามค้นคว้าตลอดถึงตรวจปรุ๊ฟหนังสือ จึงอยากให้ชาวพุทธทุกท่าน ผู้รักพระพุทธศาสนา ได้ช่วยกันปกป้องพระพุทธศาสนา ก่อนที่จะถูกเบี่ยงเบนและสูญสลายไปจากสังคมและวัฒนธรรมไทยเรา อันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและน่าเสียดาย..............

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •