ปัจจุบันนี้ สิ่งแวดล้อมที่เราอาศํยอยู่เต็มไปด้วยมลพิษต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง เชื้อรา ที่ปะปนอยู่ในอากาศ สารเคมีที่มนุษย์ สังเคราะห์ขึ้นมาเองซึ่งอาจแอบแฝงอยู่ในรูปของอาหารการกิน สิ่งที่เราสัมผัส ซึ่งล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดอันตรายกับร่างกายของคน เราได้ ทั้งสิ้น ที่เห็นได้ชัดเจน คือ การแพ้ โดยเฉพาะเด็ก ๆ สมัยใหม่จะเป็นโรคภูมิแพ้กันมากขึ้นทุกวัน ภูมิแพ้ เป็นการแพ้ชนิดหนึ่งซึ่งเ ป็น ปฏิกิริยาของร่างกายที่เกิดขึ้น โดยการหลั่งสารหลายชนิด (ชนิดหนึ่งที่รู้จักกันดี คือ ฮีสตามีน) เพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ ร่างกาย


สารก่อภูมิแพ้ อาจได้รับจากการหายใจเข้าไป เช่น เกสรดอกไม้ เชื้อราในบรรยากาศ สิ่งที่รับประทานเข้าไป เช่น อาหาร เครื่องดื่ม สารแต่งสี แต่งรส ยา สารที่ฉีดเข้าไป ได้แก่ ยาฉีดชนิดต่าง ๆ เช่น การแพ้ยาฉีดจำพวกเพนนิซิลิน อาจทำให้ช็อกและเป็น อันตรายถึงชีวิตได้


ส่วนการแพ้ที่ไม่รุนแรง เช่น แพ้อากาศแพ้ฝุ่นละออง หรือสิ่งที่หายใจเข้าไป ทำให้มีอาการไอ จาม แน่นคัดจมูก มีน้ำมูกใส ๆ หรือแพ้อาหาร ยาอาจแสดงออกในรูปของลมพิษ ผื่นคัน อาการแพ้ที่ไม่รุนแรงที่เกิดขึ้นเหล่านี้ สามารถรักษา บรรเทาและป้องกันได้ โดยใช้ยาแก้แพ้ (หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่ายาแอนตี้ ฮีสตามีน)


รอบรู้เรื่องยาแก้แพ้

ประโยชน์ของยาแก้แพ้


1. ใช้บรรเทาอาการแพ้อากาศ บรรเทาอาการจาม น้ำมูกไหล เช่น คลอร์เฟนิรามีน (Chlorpheniramine) บรอมเฟนิรามีน (Brompheniramine) กินในตอนเช้าและก่อนนอน หรือเวลาใดเวลาหนึ่ง จะช่วยบรรเทาอาการได้ และต้องกินไป เรื่อย ๆ หากหยุดเมื่อใดก็จะเป็นอีก นอกจากเป็นเฉพาะฤดูใดก็กินเฉพาะช่วงฤดูนั้น




2. ใช้บรรเทาอาการแพ้ทางผิวหนัง ลมพิษ ผื่นคันต่าง ๆ ที่นิยมใช้ คือ ฮัยดร๊อกซิซีน (Hydroxyzine) ซัยโปรเฮ็ปตาดีน (Cyproheptadine)ยาซัยโปรเฮ็ปตา ดีน ไม่ควรใช้กับเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบเนื่องจาก มีผลกดสมอง ทำให้เด็ก เตี้ย แคระแกร็นได้



3. การใช้ยาแก้แพ้ในโรคหวัด ความจริงแล้วยาจะมีฤทธิ์ลดน้ำมูก ทำให้น้ำมูกแห้ง ช่วยให้ผู้ป่วยสบายขึ้นเท่านั้น ยังไม่มียาใดที่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัสอันเป็นสาเหตุของหวัด และควรใช้กรณีที่มีน้ำมูกใสเท่านั้น เมื่อน้ำมูกข้นเหนียวควรหยุดใช้ยา มิฉะนั้นอาจทำให้น้ำมูกเหนียวข้นมากขึ้น และอาจเป็นอันตรายได้โดยเฉพาะเด็กเล็ก


ข้อแนะนำ-ข้อควรระวังในการใช้ยาแก้แพ้


1. เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ควรใช้ก่อนรับสิ่งที่ทำให้แพ้หรือใช้ทันทีที่แพ้แล้ว


2. ยาแก้แพ้ส่วนใหญ่จะมีผลข้างเคียง คือ ทำให้ปากแห้ง จมูกแห้ง ปัสสาวะลำบาก และที่สำคัญคือทำให้ง่วงนอนซึม เวลาใช้ยา นี้จึงควรระวังการขับขี่ยานยนต์หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล อย่างไรก็ตาม หากกินยาชนิดนี้แล้วมีอาการง่วงนอนมาก และจำเป็น ต้องทำงานอาจเลี่ยงไปใช้ยาแก้แพ้ชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดอาการง่วง เช่น เทอร์เฟนาดีน (Terfenadine) แอสทิมิโซล (Astemizole)


3. ห้ามกินยานี้ร่วมกับยาที่มีฤทธิ์กดสมอง เช่น เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยานอนหลับ ยากันชัก


4. ในกรณีหอบหืด ซึ่งแม้จะเป็นอาการแพ้อย่างหนึ่งก็ตาม สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ ควรระวังการใช้ยานี้ เนื่องจากเด็กมี ความไวในการตอบสนองต่อยานี้มาก อาการข้างเคียงของยาอาจเกิดในทางกลับกัน คือ แทนที่เด็กจะง่วงนอน กลับนอนไม่หลับร้อ งไห้ กวนโยเย เด็กบางคนจะมีอาการใจสั่น ตื่นเต้นหรือถึงกับชัก ถ้าได้รับยาในขนาดสูง ๆ


5. ในหญิงมีครรภ์ มักใช้ยาประเภทนี้ในรูปของยาแก้แพ้ท้อง ควรใช้ในกรณีที่จำเป็นจริง ๆ และควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร จะดีกว่า สำหรับหญิงให้นมบุตรการกินยาแก้แพ้อาจทำให้น้ำนมลดน้อยลง และยาจะขับออกทางน้ำนม จึงควรให้ลูกงดนมแม่ ดูดนมขวด ชั่วคราวขณะใช้ยา


นอกจากการใช้ยาแล้ว ก็ต้องพยายามสังเกตว่าสิ่งที่แพ้คืออะไร แล้วหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่แพ้นั้นเสีย การออกกำลังกายที่เหมาะ สม กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้เบิกบาน เพื่อสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ด ีขึ้นได้ค่ะ





ที่มา: สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย)