กบฎเงี้ยวเมืองแพร่


กบฎเงี้ยวเมืองแพร่



จุลศักราช 1264 พ.ศ. 2445 ในขณะที่พระยาไชยบูรณ์เป็นข้าหลวงกำกับการปกครองเมืองแพร่มีพวกเงี้ยวหรือไทยใหญ่ได้คบคิดกันก่อการจลาจลขึ้นในเมืองแพร่


วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2445 เวลาประมาณ 7 นาฬิกา พวกไทยใหญ่นำโดยพะกาหม่อง และสลาโปไชย หัวหน้าพวกโจรเงี้ยวนำกองโจรประมาณ 40 ? 50 คน บุกเข้าเมืองแพร่ทางด้านประตูชัยจู่โจมสถานีตำรวจเป็นจุดแรก

ขณะนั้นสถานีตำรวจเมืองแพร่มีประมาณ 12 คน จึงไม่สามารถต้านทานได้ กองโจรเงี้ยวเข้ายึดอาวุธตำรวจแล้วพากันเข้าโจมตีที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข โจรเงี้ยวได้ตัดสายโทรเลข และทำลายอุปกรณ์สื่อสารต่าง ๆ เพื่อตัดปัญหาการสื่อสาร ครั้นแล้วก็มุ่งหน้าสู่บ้านพักข้าหลวงประจำเมืองแพร่ แต่ก่อนที่กองเงี้ยวจะไปถึงบ้านพักข้าหลวงนั้นพระยาไชยบูรณ์ ( ทองอยู่ สุวรรณบาตร ) ได้พาครอบครัวพร้อมด้วยคุณหญิงเยื้อน ภริยาหลบหนีออกจากบ้านพักไปก่อนแล้ว

พวกโจรเงี้ยวไปถึงบ้านพัก ไม่พบพระยาไชยบูรณ์ จึงบุกเข้าปล้นทรัพย์สินภายในบ้านพักข้าหลวงและสังหารคนใช้ที่หลงเหลืออยู่จนหมดสิ้น จากนั้นจึงยกกำลังเข้ายึดที่ทำการเข้าสนามหลวงทำลายคลังหลวงและกวาดเงินสดไปทั้งหมด 37 อัฐ หลังจากนั้นพวกเงี้ยวก็มุ่งตรงไปยังเรือนจำ เพื่อปล่อยนักโทษเป็นอิสระ พร้อมกับแจกจ่ายอาวุธให้กับนักโทษเหล่านั้น ทำให้พวกกองโจรเงี้ยวได้กำลังสนับสนุนเพิ่มขึ้นอีก จนภายหลังมีกำลังถึง 300 คน

กองโจรเงี้ยวจึงประกาศให้ราษฏรอยู่ในความสงบ เพราะพวกตนจะไม่ทำร้ายชาวเมืองจะฆ่าเฉพาะคนไทยภาคกลางที่มาปกครองเมืองแพร่เท่านั้น ราษฏรจึงค่อยคลายความตกใจและบางส่วนได้เข้าร่วมกับพวกกองโจรเงี้ยวก็มีทำให้กองโจรเงี้ยวทำงานคล่องตัวและมีกำลังเข้มแข็งขึ้น

พระยาไชยบูณ์ ซึ่งพาภริยา คือคุณหญิงเยื้อน หลบหนีออกจากบ้านพัก ตรงไปยังคุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ หวังขอพึ่งกำลังเจ้าเมืองแพร่ หรือเจ้าหลวงเมือง แพร่ คือ พระยาพิริยวิไชย เมื่อไปถึงคุ้มเจ้าหลวง เจ้าหลวงเมืองแพร่กล่าวว่า จะช่วยอย่างไรกัน ปืนก็ไม่มี ฉันก็จะหนีเหมือนกัน พระยาไชยบูรณ์ ตัดสินใจพาภริยาและหญิงรับใช้หนีออกจากเมืองแพร่ไปทางบ้านมหาโพธิ์ เพื่อหวังไปขอกำลังจากเมืองอื่นมาปราบ ส่วนเจ้าเมืองแพร่นั้น หาได้หลบหนีตามคำอ้างไม่ ยังคงอยู่ในคุ้มตามเดิม

ตอนสายของวันที่ 25 กรกฎาคม เมื่อกองโจรเงี้ยวสามารถยึดเมืองแพร่ได้แล้ว พะกาหม่องและสลาโปไชย ก็ไปที่คุ้มเจ้าหลวง เพื่อเชิญให้เจ้าเมืองแพร่ปกครองบ้านเมืองตามเดิม

ก่อนจะปกครองเมือง พะกาหม่องได้ให้เจ้าเมืองแพร่ และเจ้านายบุตรหลานทำพิธีถือน้ำสาบานก่อน โดยมีพระยาพิริยวิไชย เป็นประธานร่วมด้วยเจ้าราชบุตร เจ้าไชยสงคราม และเจ้านายบุตรหลานอื่น ๆ รวม 9 คน ในพิธีนี้ มีการตกลงร่วมกันว่า จะร่วมกันต่อต้านกองทัพของรัฐบาล โดยพวกกองโจรเงี้ยวเป็นกองหน้าออกสู้รบเอง ส่วนเจ้าเมืองและคนอื่น ๆ เป็นกองหลังคอยส่งอาหารและอาวุธตลอดทั้งกำลังคน

วันที่ 26 กรกฎาคม พวกกองเงี้ยวเริ่มลงมือตามล่าฆ่าข้าราชไทยและคนไทยภาคกลางทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือสตรีที่หลบหนีไปโดยประกาศให้รางวัลนำจับ เฉพาะค่าหัวพระยาไชยบูรณ์ และพระเสนามาตย์ยกบัตรเมืองแพร่ คนละ 5 ชั่ง นอกนั้นลดหลั่นลงตามลำดับความสำคัญ

วันที่ 27 กรกฎาคม พระยาไชยบูรณ์ซึ่งอดอาหารมาเป็นเวลา 3 วัน กับ 2 คืน โดยหลบซ่อนอยู่บนต้นข่อยกลางทุ่งนา ใกล้ ๆ กับหมู่บ้านร่องกาศ ได้ออกจากที่ซ่อน เพื่อขออาหารจากชาวบ้านร่องกาศ ราษฎรคนหนึ่งในบ้านร่องกาศชื่อ หนานวงศ์ จึงนำความไปแจ้งต่อพะกาหม่อง เพื่อจะเอาเงินรางวัล พะกาหม่องนำกำลังไปล้อมจับพระยาไชยบูรณ์ทันที จับตัวได้ก็คุมตัวกลับเข้าเมืองแพร่ และฆ่าพระยาไชยบูรณ์ พร้อมกับข้าราชการไทยอีกหลายคนได้แก่

พระเสนามาตย์ ยกกระบัตรศาล
หลวงวิมล ข้าหลวงผู้ช่วย
ขุนพิพิธ ข้าหลวงคลัง
นายเฟื่อง ผู้พิพากษา
นายแม้น อัยการ
นายอำเภอ ปลัดอำเภอ และสมุห์บัญชีในอำเภอต่าง ๆ อีกเป็นจำนวนมาก นับเป็นการเข่นฆ่าข้าราชการไทยครั้งยิ่งใหญ่จริง ๆ ในภาคเหนือ

ทางรัฐบาลไทยได้ส่งกองทัพจากเมืองใกล้เคียง เช่น พิชัย สวรรคโลก สุโขทัย ตาก น่าน และเชียงใหม่เข้ามาปราบปรามพวกกองโจรเงี้ยวในเมืองแพร่พร้อมกันทุกด้าน และยังได้มอบหมายให้เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต) นำกองทัพหลวงขึ้นมาปราบปรามพร้อมทั้งให้ดำเนินการสอบสวนสาเหตุการปล้นครั้งนี้ด้วย และให้ถือว่าเป็น กบฎ ด้วย ดังนั้นจึงเรียกว่า กบฎเงี้ยวเมืองแพร่

จนกระทั่งวันที่ 1 สิ่งหาคม พ.ศ.2445 เมื่อทราบข่าวว่ากองทัพรัฐบาลจะมาปราบปราม จึงได้แบ่งกำลังออกเป็น 2 กอง กองหนึ่งนำโดยสะลาโปไชยยกกำลังไปทางด้านใต้เพื่อขัดตาทัพรัฐบาลที่ส่งมาอีกกองหนึ่ง นำโดยพะกาหม่อง ยกกำลังไปทางด้านตะวันตก เพื่อโจมตีนครลำปาง หวังยึดเมืองเป็นฐานกำลังอีกแห่งหนึ่ง

การโจมตีนครลำปางนั้น พวกกองโจรเงี้ยวต้องประสบกับความผิดหวังเพราะนครลำปางรู้เหตุการณ์และเตรียมกำลังไว้ต่อสู้อย่างรวดเร็ว

เมื่อพวกเงี้ยวไปถึงนครลำปางในวันที่ 3 สิงหาคม จึงถูกฝ่ายนครลำปางตีโต้กลับ ทำให้กองโจรเงี้ยวแตกพ่ายกระจัดกระจายไปตัวผู้นำคือพะกาหม่องต้องสูญเสียชีวิต เพราะถูกยิงในระหว่างการต่อสู้

ส่วนพวกกองโจรเงี้ยวที่นำโดยสะลาโปไชยนั้น ในระยะแรกสามารถสกัดทัพเมืองพิชัยไว้ได้ชั่วคราว แต่ก็ไม่สามารถต้านทางทัพเมืองสวรรคโลก และสุโขทัยได้ จึงถอยกลับไปตั้งหลักที่เมืองแพร่ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม แต่ในที่สุดพวกโจรเงี้ยวก็หนีกระจัดกระจายไป เพราะต่อสู้ไม่ไหว

14 สิงหาคม พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (โพ เนติโพธิ์) ผู้ว่าราชการเมืองพิชัย จึงนำกองกำลังตำรวจภูธรและทหารจำนวนหนึ่งบุกเข้าเมืองแพร่ได้สำเร็จ

20 สิงหาคม เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต) ก็นำทัพหลวงถึงเมืองแพร่ หลังจากเหตุการณ์สงบลงหลายวันแล้ว เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี จึงทำการสอบสวนความผิดผู้เกี่ยวข้องทันที

ขั้นแรก ได้สั่งจับตัวชาวเมืองแพร่ ราษฎรบ้านร่องกาศ คือ หนานวงศ์ ที่หวังเงิน รางวัลนำจับพระยาไชยบูรณ์มาประหารชีวิตเป็นเยี่ยงอย่างก่อน
ขั้นที่สอง สั่งให้จับตัว พญายอด ผู้นำจับหลวงวิมลมาประหารชีวิตอีกคนหนึ่ง

เมื่อสอบสวนพยานเสร็จไปหลายคน ก็พบหลักฐานต่าง ๆ ผูกมัดเจ้าเมืองแพร่และเจ้านายบุตรหลานบางคน เช่น เจ้าราชบุตรเจ้าไชยสงครามอย่างแน่นหนาว่า มีส่วนรู้เห็นเป็นใจกับกบฎครั้งนี้ และเชื่อว่าต้องมีการตระเตรียมการล่วงหน้ามาช้านานพอสมควร

ก่อนที่เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีจะได้ชำระความผิดผู้ใด เจ้าราชวงศ์และภริยา ก็ตกใจกลัวความผิด ดื่มยาพิษฆ่าตัวตายเสียก่อน เพราะได้ข่าวลือว่ารัฐบาลจะประหารชีวิตผู้เกี่ยวข้องกับขบฎเงี้ยวทุกคน เจ้าพิริยเทพวงศ์ เจ้าเมืองแพร่คนสุดท้าย พร้อมด้วยคนสนิทอีกสองคนก็หลบหนีออกจากเมืองแพร่ทันที ใช้ชีวิตในบั้นปลายที่เมืองหลวงพระบาง จนถึงแก่พิราลัย

สำหรับเจ้าราชบุตร ผู้เป็นบุตรเขยเจ้าเมืองแพร่นั้น มีพยานหลักฐานและพฤติการณ์บ่งชัดว่าได้รู้เห็นเป็นใจกับพวกเงี้ยวเพราะโดยหน้าที่เจ้าราชบุตรเป็นร้อยตำรวจเอก จะต้องนำกำลังออกต่อสู้ต้านทานพวกโจรเงี้ยวแต่ปรากฎว่า ราชบุตรไม่ได้ทำหน้าที่อันควรกระทำ กลับไปทำสิ่งตรงกันข้าม คือ เป็นผู้เกณฑ์กำลังออกไปสนับสนุนพวกโจรเงี้ยว ทั้งยังส่งกระสุนดินดำพร้อมเสบียงอาหารให้พวกเงี้ยว พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นความผิดขั้นรุนแรงมีโทษถึงประหารชีวิต แต่เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายหลีกเลี่ยงการประหารชีวิตเพราะไม่ประสงค์จะให้กระทบกระเทือนใจเจ้านายเมืองเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าราชบุตรเป็นบุตรชายเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช เจ้าเมืองน่าน หากกระทำตามกฎเกณฑ์ ก็จะกระทบกระเทือนใจเจ้าเมืองน่าน ดังนั้น เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี จึงสั่งให้ร้อยตำรวจเอกเจ้าราชบุตรนำกองกำลังตามขึ้นไปตีพวกโจรเงี้ยวที่แตกไปอยู่ตำบลสะเอียบ อันเป็นวิธีสร้าง ความดีลบล้างความผิด ซึ่งร้อยตำรวจเอกเจ้าราชบุตรก็สามารถกระทำงานที่มอบหมายสำเร็จ คือตีพวกกองโจรเงี้ยวจนแตกพ่ายไป ได้ริบทรัพย์จับเชลยกลับมาเป็นจำนวนมาก

และทุกวันที่ 25 กรกฏาคม ของทุกปีจะมีพิธีวางพวงมาลาสดุดีวีรกรรมพระยาไชยบูรณ์ ที่อนุสาวรีย์ของท่าน