ลืออำนาจ เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดอำนาจเจริญ เดิมคนรู้จักอำเภอลืออำนาจเพราะเป็นแหล่งผลิตผ้าไหมที่งดงาม ปัจจุบันอำเภอลืออำนาจมีสิ่งที่ทำให้คนรู้จักเพิ่มขึ้นอีก คือ เป็นแหล่งที่ผลิตพิณรูปร่างแปลกๆ ไม่ซ้ำแบบใคร เพราะ พิณเมืองลือมีรูปร่างที่ต่างไปจากเดิม ซึ่งแต่เดิมนั้นพิณจะมีรูปร่างแค่วงกลมหรือวงรีเท่านั้นแต่พิณเมืองลือ จะตกแต่งหน้าพิณจากวัสดุเหลือใช้และหาได้ง่ายในท้องถิ่น เช่น กระดองเต่า เปลือกหอยต่างๆ กะลามะพร้าว เศษไม้ แกลลอนน้ำมัน เขาวัว เขาควาย หน้าวัว หน้าควาย หน้าม้า หน้าหมู กระป๋องนม กะทะไฟฟ้า เป็นต้น

นายสงวน ทรัพย์เตี้ย เกิดเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2474 ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ 95 หมู่ 2 บ้านอำนาจ ตำบลอำนาจ อำเภอลืออำนาจ จังหวัดอำนาจเจริญ แรงบันดาลใจที่ทำให้พ่อสงวน ประดิษฐ์พิณขึ้นครั้งแรกนั้น เกิดขึ้นในช่วงที่มีอารมณ์เศร้า เนื่องจากภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากเสียชีวิตลง ซึ่งแต่ก่อนคุณพ่อสงวน มีอาชีพขายอาหาร เมื่ออยู่คนเดียว จึงคิดหาทางที่จะประกอบอาชีพอย่างอื่น ซึ่งตัวคนเดียวสามารถจะทำได้ แต่ก็ยังคิดไม่ออก
อ.สงวน ทรัพย์เตี้ย
ปี 2537 ในงานนมัสการพระธาตุพนม ซึ่งจัดขึ้นทุกปี ในวันเพ็ญเดือน 3 พ่อสงวนได้ไปนมัสการพระธาตุพนมและได้เห็นวงดนตรีพื้นบ้านที่เข้ามาเล่นในงาน คือ วงโปงลาง เมื่อได้ฟังเขาเล่นก็เกิดติดใจในเสียงพิณ พอกลับมาบ้านจะหลับจะนอนก็ได้ยินแต่เสียงพิณ

อ.สงวน ทรัพย์เตี้ย
ในปีต่อมา คุณพ่อสงวนได้ไปนมัสการพระธาตุพนมอีก ก็ได้เห็นวงโปงลางที่เขามาเล่นในงานอีก ในขณะนั้นวงโปงลางเขายังไม่ถึงเวลาเล่น คุณพ่อสงวนจึงได้ขอเด็กที่เฝ้าวงโปงลางเพื่อจะเข้าไปดูพิณ เขาไม่ยอมให้เข้าไปดู แต่ด้วยความยากรู้อยากเห็นเป็นอันมากจึงได้จ้างเด็กที่เฝ้าวงโปงลางด้วยเงิน 50 บาท เขาจึงยอมให้เข้าไปดู

พ่อสงวนจับพิณขึ้นมาพินิจพิเคราะห์ดูว่า เขาทำอย่างไร ขนาดเท่าใด ในขณะนั้นคุณพ่อสงวนก็คิดในใจว่า จะต้องทำให้ได้ จะทำอย่างไรดี เครื่องมือที่จะมาใช้วัดขนาดก็ไม่มี พอดีตาเหลือบไปเห็นเศษไม้ตกอยู่ที่พื้นชิ้นหนึ่งจึงได้หยิบขึ้นมาเป็นไม้สำหรับวัดขนาดของพิณ หลังจากได้ไม้วัดขนาดชิ้นนั้นมาแล้ว ก็ได้มาลองทำดู แต่ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร จะทำอย่างไร คุณพ่อสงวนจึงไปที่จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อหาซื้อพิณมาเป็นตัวอย่าง ซึ่งที่จังหวัดอุบลราชธานี มีร้านขายเครื่องดนตรีอยู่ จึงได้ซื้อพิณมาเป็นต้นแบบ จากนั้นก็ได้ทำมาเรื่อย ๆ ได้ระยะหนึ่งก็ได้มาคิดว่าน่าจะทำอะไรที่มันแปลกไปจากเดิม

วันหนึ่งคุณพ่อสงวนได้ไปทำธุระที่จังหวัดอุบลราชธานี ขณะที่เดินผ่านหน้าร้านรับซื้อของเก่า ตาเหลือบไปเห็นหน้าควายอันหนึ่ง มีเขาสองข้างสวยงาม ถูกใจคุณพ่อสงวนมาก คุณพ่อสงวนจึงได้คิดว่าน่าจะเอาหน้าควายอันนี้มาทำเป็นพิณได้ จึงได้เข้าไปของซื้อเขามา พอกลับมาถึงบ้านก็เอามาลองทำดู ปรากฏว่าใช้ได้จริง ๆ ใครได้พบได้เห็นก็ชมว่าสวยงามแปลกดี ต่อมาคุณพ่อสงวนจึงได้ใช้วัสดุเหลือใช้อื่นๆ มาทำอีกและก็เป็นที่นิยมของคนดนตรี สิ่งที่แปลกก็คือ คุณพ่อสงวนไม่เคยออกแบบในกระดาษก่อนที่จะลงมือทำเลย แบบทุกแบบจะบันทึกไว้ในสมองและกลั่นกรองออกมาให้แปลกใหม่เรื่อยๆ โดยไม่ซ้ำกัน เครื่องมือที่ใช้ตัด ขัด เกลา ยึดมีดโต้เล่มเดียวเป็นหลัก ถากและเกลาจนได้รูปแบบตามที่ต้องการ ใช้กระดาษทรายขัดเล็กน้อย เมื่อประกอบเป็นรูปร่างจะเหมาะสมกลมกลืน ในระยะที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ พิณในจินตนาการของพ่อสงวน มีมากมายหลายแบบ เช่น พิณรูปนก เป็ด กระต่าย เต่า ปลา เสือ หน้าวัว หน้าควาย รูปคันไถ รูปคราด กระติบข้าว ฯลฯ ประมาณได้กว่า 1,000 ชิ้น ราคาจำหน่ายเริ่มตั้งแต่ 100 บาทถึง พันกว่าบาท
อ.สงวน ทรัพย์เตี้ย
ผลงานที่คุณพ่อสงวนภูมิใจมากที่สุด คือ พิณรูปไถ รูปคราดและหน้าควาย โดยให้เหตุผลว่า พิณทั้งสามแบบนี้จะสามารถเป็นสื่ออนุสรณ์เตือนใจลูกหลานชาวอีสานให้ทราบว่า เดิมทีบรรพบุรุษได้ใช้ควาย ไถ คราด เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำนาเลี้ยงชีพ อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ พิณเป็นสัจธรรมแห่งการครองตน ตึงมากก็ขาด หย่อนมากก็ไม่ดี ให้อยู่สายกลาง เปรียบกับสายพิณที่มีสามสาย แต่ละสายจะมีเสียงสูง กลางและต่ำ ถ้าทั้งสามอยู่ในลักษณะพอดี ไม่ตึงหรือหย่อนเกินไป เสียงพิณที่ออกมาก็จะมีความไพเราะน่าฟัง พิณเมืองลือ จะเรียกว่าพิณจากใจก็ย่อมได้ เพราะผู้ผลิตก็ผลิตจากใจ วัสดุอุปกรณ์ที่นำมาผลิตส่วนหนึ่งก็ได้มาจากน้ำใจอันดีงามของเพื่อนบ้าน
อ.สงวน ทรัพย์เตี้ย
ผู้ที่เดินทางมาจากต่างถิ่นก็มาชม มาซื้อด้วยใจรัก พิณที่ผลิตได้ส่วนหนึ่งก็บริจาคให้สถานศึกษา เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้ได้ศึกษา และให้ผู้มีใจรักในเสียงพิณจริงๆ ก็มีมาก ผู้ที่มาซื้อพิณไปบางคนก็ซื้อไปประดับบ้าน บ้างก็สะสม บ้างก็นำไปขายต่อ บางคนก็นำไปฝึกดีดพิณจริงๆ ปัจจุบัน พ่อสงวน ก็ยังตั้งหน้าตั้งตาผลิตพิณอย่างไม่ว่างเว้น มีผู้สนใจทั้งในจังหวัดและต่างจังหวัดมาแวะชม แวะซื้อมิได้ขาด นับว่า พิณเมืองลือ เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีศิลปไม่ซ้ำแบบใคร เป็นที่ภาคภูมิใจแก่คนเมืองลืออำนาจอย่างแท้จริง


(เป็นจั่งได่ ถึกใจกะให้คะแนน แน่เด้อครับ)