*'**กาฬโรคปอด**' **สกัดได้ที่ตัวพาหะ!!**

*หลังจากที่มีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
มีผู้เสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง
ประชาชนยังขวัญเสียไม่หาย
แต่ขณะนี้ชาวโลกต้องหันมาตื่นตระหนกกับกระแสการระบาดครั้งใหม่ของ *"**กาฬโรคปอด

**"* ที่เกิดขึ้นในประเทศจีนมีผู้เสียชีวิตแล้ว 3 ศพ
โดยทางองค์การอนามัยโลกออกมา เตือนว่า เชื้อที่พบเป็นเชื้อชนิดเดียวกันกับ *"**
กาฬโรคชนิดต่อมน้ำเหลืองอักเสบ**"* ที่คร่าชีวิตผู้คนในยุโรปมาแล้วถึง 25
ล้านคนเมื่อหลายร้อยปีก่อน

*หากถึงคราวที่ต้องเผชิญกับโรคร้ายนี้อีกครั้งหนึ่ง เราควรทำความรู้จัก
รวมถึงวิธีการป้องกัน ดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากโรค อันตรายนี้**

* โดย นพ.โอภาส การ์ย กวินพงศ์ ผอ.สำนักโรคติดต่อทั่วไป กระทรวงสาธารณสุข
ให้ความรู้ว่า กาฬโรคปอดเกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่เรียกว่า เยอซิเนีย
เพสทิส (Yersinia Pestis) มีลักษณะเป็นแท่ง อยู่ใน
สัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมโดยเฉพาะสัตว์ฟันแทะเพราะทำให้เชื้อเข้าสู่เยื่อในปากได้ง่าย
*เช่น หนู กระรอก กระต่าย กระแต แมว และสุนัข มีพาหะที่สำคัญ คือ
**"หมัดหนู"* มีขนาดเล็กไม่กี่มิลลิเมตร
สามารถ กระโดดได้ไกลถึง 1 เมตร หรือ 200 เท่าของขนาดตัวของมันเอง
* **
วิธีการติดต่อจากสัตว์สู่คนมี 2 ทาง* คือ

*1.ทางมูลหมัด*เชื้อแบคทีเรียที่ถูกถ่ายออกมาพร้อมกับมูลของหมัดอาจเข้าสู่ร่างกายของคนทางบาดแผลได้
และ

*2.หมัดกัด* เมื่อหมัดไปกัดสัตว์ฟันแทะต่าง ๆ เช่น
กัดหนูที่มีเชื้อโรคก็จะทำให้เชื้อแบค
ทีเรียเพิ่มจำนวนในตัวหมัดอย่างรวดเร็วก่อให้เกิดการอุดตันและหากหมัดไปกัดคนเพื่อดูดเลือดอีกก็จะทำให้กลืนเลือดไม่เข้าจึงต้องคายหรือสำรอกเลือดที่ผสมเชื้อแบคทีเรียออกมาเข้าสู่บาดแผลของคนที่มันกำลังดูดเลือดอยู่
จึงทำให้เชื้อโรคเข้าสู่คนได้ 2 ทางหลัก ๆ ได้แก่ ต่อมน้ำเหลืองและกระแสเลือด

*
สำหรับเชื้อโรคที่เข้าทางต่อมน้ำเหลืองหากถูกหมัดกัดที่บริเวณขาจะทำให้ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโตและหากถูกกัดบริเวณแขนก็จะทำให้ต่อม
*น้ำเหลืองบริเวณรักแร้ หรือคอโต
โดยเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้มีระยะฟักตัวของโรคประมาณ 1-7 วัน
จากนั้นจะเริ่มแสดงอาการด้วยการมีไข้ ตามด้วยต่อมน้ำเหลืองโตและแตก
เชื้อกระจายเข้าสู่กระแสเลือดทำให้เลือดเป็นพิษในที่สุด
*หากไม่รีบรักษาอาจลุกลามเข้าไปที่เนื้อเยื่อของปอด
ทำให้เกิดปอดบวมและเสียชีวิตอย่างรวดเร็วภายใน **24-48 ชั่วโมง* ส่งผลให้
กาฬโรคปอดมีอัตราการป่วยและเสียชีวิตประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์
ส่วนกาฬโรคต่อม น้ำเหลืองมีอัตราการเสียชีวิตประมาณ
30 เปอร์เซ็นต์

*นอกจากกาฬโรคปอดจะติดต่อจากสัตว์สู่คนแล้ว
ยังสามารถติดต่อได้จากคนสู่คนโดยวิธีการติดต่อเหมือนกับโรคปอดหรือไข้หวัดใหญ่*

คือ
หลังจากที่เชื้อเข้าปอดคนหนึ่งแล้วจะสามารถติดต่อไปสู่อีกคนหนึ่งได้จากทางเดินหายใจด้วยการไอหรือจาม
หรือจากสิ่งของปนเปื้อนเชื้อโรคใหม่ ๆ
แต่จะแตกต่างกันตรงที่กาฬโรคปอดติดต่อได้ยากกว่า
เนื่องจากผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อแล้วจะมีอาการรุนแรงมากถ้าไม่เสียชีวิตทันทีก็จะต้องนอนพักรักษาตัวที่บ้านหรือโรงพยาบาลไม่มีโอกาสไปคลุกคลีกับผู้อื่นหรือออกไปเดินนอกบ้านเพื่อแพร่เชื้อ
ไปสู่ผู้อื่นได้
*ส่วนกลุ่มเสี่ยงคือบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดหรือบุคคลที่อยู่ในบ้านเดียวกันกับผู้ป่วยขณะติดเชื้อ
เช่น พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง*

*อาการของกาฬโรคปอดนี้จะมีไข้ขึ้นสูง หนาวสั่น ปวดหัวรุนแรง ปวดเมื่อยตัว
เหนื่อยหอบ ต่อมาจะมีอาการไอถี่ขึ้นและไอเป็นเลือดซึ่งจะเกิดขึ้นภายใน **24
ชั่วโมง*

ส่วนเสมหะตอนแรกจะเหนียวใสจากนั้นกลายเป็นสีสนิมหรือแดงสด
ถ้าไม่รีบมาพบแพทย์เพื่อรักษาจะเสียชีวิตภายใน 48 ชั่วโมง
ซึ่งการวินิจฉัยนั้นทำได้โดยการตรวจเลือด
น้ำเหลืองและไขสันหลังหรือการวินิจฉัยในห้องปฏิบัติการต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยโดยการเก็บเสมหะ
ย้อมสีกรัมและเพาะเชื้อในอาหารเพาะเลี้ยงธรรมดา ส่วนขั้นตอนการรักษานั้น
นพ.โอภาส อธิบายว่า
*สำหรับผู้ที่ติดเชื้อแพทย์จะรักษาให้หายได้ด้วยการให้ยาปฏิชีวนะ
ได้แก่ สเตรปโตมัยซิน (**Streptomycin) เตตระซัยคลิน (tetracycline) หรือ
คลอแรมเฟนิคอล (Chloram phinicol) หลังจากรับประทานแล้วจะหายป่วยได้ภายใน 7-14
วัน*หรือขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ

*ถึงแม้ประเทศไทยจะปลอดจากโรคนี้มานานกว่า **50 ปีแล้วก็ตาม
แต่หากมีอาการผิดปกติหรือมีอาการอย่างที่กล่าวไปข้างต้นให้รีบมาพบแพทย์เพื่อให้ยารักษาก่อนที่จะลุกลามรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต
*

ทั้งนี้สิ่งสำคัญคือการป้องกันตัวเองให้อยู่ห่างจากโรคร้ายนี้ด้วยการดูแลบ้านเรือนให้สะอาดอยู่เสมอ
เพราะโรคนี้มีหนูเป็นหลักในการเกิดเชื้อโรค ดังนั้นจึงต้องมีการป้องกัน 2
ทางได้แก่
*ป้องกันไม่ให้หนูเข้าบ้าน
หากบ้านไหนมีเศษอาหารเหลือทิ้งหรือสกปรกรกรุงรังก็จะทำให้หนูเข้าบ้านได้
ฉะนั้นเราจึงควรเก็บข้าวของที่ไม่ใช้แล้วทิ้ง
อย่าปล่อยไว้ให้เป็นรังหรือที่อาศัยของหนูและเก็บเศษอาหารให้มิดชิด*

*วิธีกำจัดหนู ถ้าเราไม่สามารถสกัดกั้นหนูได้มีวิธีกำจัดหนู **3 วิธี* ได้แก่
ใช้กาวดักหนู กรงดักหนู และวิธีธรรมชาติคือใช้แมวให้กินหนู
รวมทั้งควบคุมหมัดของสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัขและแมว
ซึ่งเราสามารถป้องกันหมัดได้ด้วยวิธีทาสารไล่แมลงที่ข้อเท้าและขากางเกง

*นอกจากหนูและหมัดที่เป็นตัวการหลักในการนำเชื้อโรคมาสู่คนแล้ว
เราต้องรู้จักดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ
ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
รับประทานอาหารที่สะอาดถูกหลักอนามัยและมีประโยชน์
งดการสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์
รวมทั้งหมั่นฝึกฝนปฏิบัติตัวด้านความสะอาดให้ถูกหลักสุขาภิบาลและถูกสุขลักษณะด้วยเพื่อให้ห่างไกลจากโรคร้ายนี้ต่อไป.
*

*ขอขอบคุณเนื้อหาข่าวโดย: *หนังสือพิมพ์เดลินิวส์