กำลังแสดงผล 1 ถึง 9 จากทั้งหมด 9

หัวข้อ: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka.

  1. #1
    Singha
    Guest

    Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka.

    กรรมอะไรที่ทำให้ไปเป็นสัตว์ประเภทต่างๆครับ?

    สัตว์เดรัจฉานเป็นสิ่งจับต้องได้ เราสามารถเห็นพวกมันด้วยตา ฟังเสียงพวกมันด้วยแก้วหู โดยไม่จำเป็นต้องมีตาทิพย์หูทิพย์เสียก่อน ฉะนั้นก็แปลว่าเราสามารถรู้เห็นการรับ ?ผลกรรม? มากมายผ่านรูปชีวิตสัตว์อันหลากหลายมหาศาลบนโลกใบนี้เอง บางเผ่าพันธุ์เหินไปในเวิ้งอากาศว่าง บางเผ่าพันธุ์แหวกว่ายไปในห้วงน้ำใหญ่ บางเผ่าพันธุ์เอาแต่มุดหัวอยู่ในดินทึบ และหลายเผ่าพันธุ์ก็เคลื่อนไหวอยู่บนผิวโลก รับผัสสะร้อนเย็นต่างกัน มีอัตภาพเล็กใหญ่ล้ำเหลื่อมกัน และสามารถกระทำการผิดแผกกว่ากันวิจิตรพิสดารนัก
    แต่สัตว์จะวิจิตรพิสดารปานใด ชนวนเหตุอันนำไปสู่อบายภูมิระดับเดรัจฉานก็ไม่ต่างกันนัก หลักๆได้แก่

    ๑) มีจิตเศร้าหมองก่อนตาย หมายความว่าไม่ต้องชั่วร้ายมาก ขอแค่จิตเศร้าหมอง หรือพะวงติดข้องอยู่ในความคิดที่เป็นอกุศล ก็เพียงพอแล้วกับการไปถือกำเนิดเป็นสัตว์ เนื่องจากจิตที่เศร้าหมองย่อมขาดกำลังระลึกถึงกุศลผลบุญ ฉะนั้นที่จะให้ไปสู่ภพภูมิที่เจริญคงยาก
    ๒) ประกอบกรรมชั่วโดยปราศจากความละอาย หมายความว่าชั่วพอประมาณ แต่ยังไม่ทะลุพื้นเดรัจฉานร่วงหล่นลงสู่นรกภูมิ เช่นเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นได้แบบไม่กะพริบตา คดโกงได้หน้าด้านๆ ประกอบกามแบบสำส่อน โป้ปดมดเท็จเอาตัวรอดไว้ก่อน ร่ำสุราจนเมามายโดยขาดความเห็นโทษ อย่างใดอย่างหนึ่งใน ๕ ประการนี้ก็เพียงพอกับการลงไปเป็นสัตว์ เนื่องจากจิตที่สกปรกย่อมไม่อาจส่องสว่างคู่ควรกับสุคติได้ จิตที่เศร้าหมองก่อนตายด้วยความเป็นผู้ทุศีลนั้น หนักหนากว่าจิตที่เศร้าหมองเพราะความติดข้องห่วงหน้าพะวงหลังมากนัก
    ส่วนที่ว่าจะไปเป็นสหายของหมู่สัตว์ชนิดใด ก็ขึ้นอยู่กับกรรมแยกกรรมย่อยที่แต่ละคนกระทำต่างๆกัน จำแนกโดยคร่าวคือ

    ๑) จำพวกร่างเล็ก ใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณมากกว่ามีสำนึกคิดอ่านตริตรอง รูปชีวิตแบบนี้ถือกำเนิดด้วยอำนาจกรรมชั่วที่กระทำโดยไม่ยับยั้งชั่งใจ สักแต่คิดว่าใครๆเขาก็ทำกัน หรือแม้เมื่อทำดีก็ด้วยกำลังใจที่อ่อน ไม่เป็นตัวของตัวเองในการประกอบบุญกุศล ต้องรอคนชักจูงหรือคะยั้นคะยอจริงจังถึงจะยอมทำแบบเสียไม่ได้
    ๒) จำพวกร่างใหญ่ มีความคิดอ่านหรือสติปัญญาพอตัว มีลักษณะอุปนิสัยแบบมนุษย์ติดอยู่บ้าง รูปชีวิตแบบนี้ถือกำเนิดด้วยอำนาจกรรมชั่วที่กระทำแบบยั้งใจได้บ้าง อยากปรับปรุงนิสัยใจคออยู่บ้าง เสียแต่ว่าแพ้กิเลส ยอมประกอบกรรมชั่วอยู่เนืองๆมากกว่า แต่พวกนี้อาจเคยทำบุญมาดี มีกำลังใจเข้มแข็ง ไม่ต้องผลักดันมากก็คิดทำดีด้วยตนเองบ้าง

    ส่วนเกณฑ์โดยคร่าวที่ทำให้ไปเป็นสัตว์ในอัตภาพและสิ่งแวดล้อมต่างๆกันนั้น ได้แก่
    ๑) ประเภทที่เลื่อนชั้นจากสัตว์นรกขึ้นไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน พวกนี้ยังเหลือเศษกรรมที่ควรแก่ความแผดเผา อึดอัด หรือเดือดร้อนทรมาน มักไปอยู่ในสภาพแวดล้อมอันลำบากกันดาร ภูมิประเทศเขตร้อนจัด หรือตกอยู่ในภาวะบีบคั้น น่าอึดอัดคับข้อง น่าตื่นกลัวอยู่เนืองๆ
    ๒) ประเภทที่เปลี่ยนจากความเป็นสัตว์สู่ความเป็นสัตว์ พวกนี้ยังไม่หมดกรรมระดับเดิม หรือระหว่างมีอัตภาพหนึ่งๆก็ประกอบกรรมซ้ำเติมตนเองเข้าให้อีก ก็ต้องอยู่ในสภาพเดิมๆต่อ เช่นเมื่อถอยลงไปสู่ความเป็นสุนัข ก็อาจติดอาการเห่าเอาเรื่อง ติดกามแบบไม่เลือกหน้าอย่างสุนัข ต้องเป็นสัตว์หน้าขนชนิดเดิมซ้ำซากนับหมื่นชาติ จนกว่าจะมีเหตุให้พัฒนาจิตเลื่อนภูมิไปเป็นสัตว์อื่นที่สบายขึ้น หรือไม่ก็ลดระดับตกต่ำย่ำแย่ลง เช่นพวกมีสันดานชอบความรุนแรงมักเสี่ยงต่อการไหลสู่เหวนรกมากกว่าอยู่กับที่

    ๓) ประเภทที่ลดชั้นจากเปรตลงมาเป็นสัตว์ พวกนี้เคยสูงกว่าเดรัจฉาน แต่ยังไม่สามารถระลึกถึงกุศล หรือยังไม่มีกุศลในอดีตมาช่วยเลื่อนชั้นให้ไปเป็นมนุษย์ พอจะตายจิตอาจเศร้าหมองจนต้องตกต่ำไปเป็นสัตว์ ซึ่งจะสบายหรือลำบากก็ขึ้นอยู่กับเหตุที่สร้างไว้เมื่อครั้งมีโอกาสเป็นมนุษย์ หากมีบุญหนุนอยู่บ้างก็จะลงไปเป็นพวกที่มีสิทธิ์เลื่อนชั้นขึ้น แต่หากไม่มีบุญหนุนเลย มีแต่บาปถีบหัวส่ง ก็ต้องไปเป็นพวกที่โงหัวลืมตาอ้าปากยากหน่อย
    ๔) ประเภทที่ลดชั้นจากมนุษย์ลงมาเป็นสัตว์ พวกนี้โดยรวมคือเป็นคนประเภททำตัวตกต่ำจนหลุดระดับชั้นของความเป็นมนุษย์ คือขาดความละอายต่อบาปซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของสุคติภูมิ แต่เมื่อพลาดไปเป็นสัตว์แล้วก็อาจจะยังมีความใกล้เคียงกับครั้งเป็นมนุษย์อยู่ คือเคยมีนิสัยหลักๆอย่างไร ก็ไปเป็นสัตว์ที่แสดงออกซึ่งนิสัยนั้นๆเด่นชัด เช่นจองหองพองขน ชอบก่อเรื่อง น้อยใจเก่ง หรือขี้ระแวง แมวบางตัวหน้าตาขี้โกงและหวาดระแวงก็เพราะครั้งเป็นมนุษย์นั้นชอบเอารัดเอาเปรียบ มีความตระหนี่ถี่เหนียว เห็นแก่ตัวจัด จนกลายเป็นผลให้ขี้ระแวงลุกลี้ลุกลน กลัวใครจะมาทำอะไรตนตั้งแต่ยังเล็กๆ

    ๕) ประเภทที่ลดชั้นจากเทวดาหรือพรหมลงมาเป็นสัตว์ พวกที่ตกร่วงข้ามขั้นจากสภาพทิพย์มาอยู่ในสภาพหยาบนั้น มักมีเหตุอกุศลในอดีตมาบีบคั้น ไม่ค่อยจะใช่พวกทำบาปหนักระหว่างอยู่ในพิมานแมน จัดเป็นของหายากประมาณหนึ่งในแสนหรือหนึ่งในล้าน แต่เมื่อเป็นสัตว์ก็จะมีส่วนของบุญเก่าเกื้อหนุนให้มีลักษณะเลอเลิศหรือมีความสุขสบายเกินผองเพื่อน เช่นเป็นหมาหรือแมวน่ารัก เป็นสุดพิศวาสขาดใจของเหล่าเศรษฐีซึ่งยอมจ่ายค่าเลี้ยงดูแสนแพงยิ่งกว่าเลี้ยงดูคน สภาพถูกปรนเปรอเกินสัตว์มักทำให้เย่อหยิ่งเกินสัตว์ไปด้วย แต่ความเย่อหยิ่งนั้นก็มักผูกพวกมันไว้กับความเป็นสัตว์อีกหลายครั้ง เว้นแต่พวกที่เคยอบรมตนให้อ่อนน้อม ไร้ทิฐิ และมีสำนึกคิดอ่านในทางถ่อมตัวมามาก ก็จะไม่เย่อหยิ่งขนาดผูกไว้กับภาวะของสัตว์ได้นานนัก

    สำหรับกรรมที่ทำให้ไปเป็นสหายของเหล่าเดรัจฉานนั้น แม้คนธรรมดาที่ไร้ตาทิพย์ทั่วไปก็อาจอนุมานจากความรู้สึกของตัวเองได้คร่าวๆ เพราะมนุษย์เป็นภูมิที่อยู่สูงกว่าสัตว์ จึงสามารถเลียนแบบลักษณะของความเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งๆได้ด้วยความเข้าใจ ประเมินหรือประมาณจากใจได้ว่าความเป็นสัตว์ชนิดนั้นๆเข้ากันกับความรู้สึกนึกคิดแบบไหน ยกตัวอย่างสักเล็กน้อย เช่น
    ๑) ลองยืดคางลงต่ำ ห่อปากทำหน้าเหมือนลิง จะรู้สึกถึงคำว่า ?ลิงหลอกเจ้า? ใจจะคล้อยไปทางชอบล้อเลียน ชอบเย้ยหยัน ชอบปลิ้นปล้อน ชอบซุกซน
    ๒) ลองทำตาดุร้ายและแยกเขี้ยวคำราม จะรู้สึกถึงคำว่า ?ดุเหมือนเสือ? ใจจะคล้อยไปทางชอบแสดงความโกรธ ชอบแสดงอำนาจข่มขวัญ ชอบใช้เขี้ยวเล็บในการทำร้าย

    ๓) ลองทำเสียงโฮ้งๆดังๆ จะรู้สึกถึงคำว่า ?เห่าเหมือนหมา? ใจจะคล้อยไปทางชอบบ๊งเบ๊ง ชอบทะเลาะเบาะแว้งอย่างไร้เหตุผล ชอบขู่มากกว่ากัดจริง ชอบลอบกัดศัตรูจากข้างหลัง
    ๔) ลองทำท่าเสือกคลานไปโดยไม่ใช้แขนขา จะรู้สึกถึงคำว่า ?เกียจคร้านเหมือนงูเหลือม? ใจจะคล้อยไปทางชอบนอนกองอยู่กับที่ ชอบสวาปามให้อิ่มใหญ่ๆแล้วพักยาว

    อกุศลกรรมที่ทำๆไปทุกวันนั้น อาจรวมลงเป็นความชอบใจเข้าข่ายอาการแบบใดแบบหนึ่งในตัวอย่างข้างต้น จิตใจเป็นอย่างไรก็กระเดียดไปมีพฤติกรรมแบบนั้นๆ และยึดภพแห่งความเป็นเช่นนั้นไว้ แต่ตัวอย่างแค่ ๓-๔ ชนิดข้างต้นนี้น้อยเกินไปหน่อยครับ สัตว์มีเป็นแสนเหล่า แต่ละเหล่าอาจแยกย่อยได้เป็นร้อยสายพันธุ์ ลักษณะนิสัยแบบใดแบบหนึ่งมิใช่เกณฑ์ตายตัวให้ต้องอยู่ในภพจำเพาะเจาะจงเสมอไป เช่นตอนเป็นมนุษย์ชอบขู่ตะคอกให้คนอื่นกลัว ตายไปอาจไม่เป็นเสือในป่า เพราะวาสนาที่แท้อาจเป็นได้แค่ร็อตไวเล่อร์ที่ชอบกัดเด็กก็ได้
    เมื่อเป็นสัตว์แล้ว แต่ละประเภท แต่ละเผ่าพันธุ์ก็มีสิทธิ์พัฒนาที่แตกต่างกัน การที่ได้มีโอกาสเกิดเป็นสัตว์เลี้ยงของคนมีบุญนั้น เป็นโอกาสใกล้ที่สุดที่จะยกระดับจิตวิญญาณให้สูงขึ้น โดยอาจไปเป็นเปรตประเภทที่มีความสบายมากกว่าความลำบาก หรือถ้ามีวาสนาพอจะไปอยู่ในวัดที่มีพระผู้ทรงศีลให้ความเมตตาเป็นพิเศษ ก็อาจได้สปริงบอร์ดกระดกขึ้นมาเป็นมนุษย์ไปเลย

    อย่างไรก็ตาม การอยู่ใกล้คนมีบุญไม่ประกันความปลอดภัยเสมอไป ตรงข้าม หากบันดาลโทสะเผลอทำร้ายมนุษย์ผู้เลี้ยงดู ก็อาจกลายเป็นเงาดำใหญ่ติดตัว ให้ผลแบบเฉียบพลัน เช่นถูกสัตว์ด้วยกันทำร้ายสาหัสแทบจะทันที กับทั้งอาจส่งผลระยะยาว เช่นขณะตายจะเป็นไข้ทรมาน ทำให้จิตปั่นป่วนและตกร่วงลงไปสู่ภพที่ยิ่งย่ำแย่หนักกว่าเก่าได้

    คนเราคิดอะไรบ่อยๆ จิตก็ถูกปรุงแต่งให้เป็นดีเป็นร้ายตามนั้น อยู่ๆจิตไม่ได้เข้าไปอยู่ในภพสูงหรือภพต่ำโดยบังเอิญ แต่บางทีนึกว่าผิดเล็กผิดน้อยนิดเดียว ประมาทว่าคงไม่เป็นไร หารู้ไม่ว่าเมื่อสั่งสมจนเคยชินและกลายเป็นนิสัยติดตัวแล้ว ก็อาจรวมเข้าเป็นกรรมหนัก ให้ผลขนาดกำหนดทิศทางไปสู่ความเป็นสัตว์ได้
    การทำทานสละความตระหนี่ มีแก่ใจรักษาศีลชำระความสกปรก ไม่หมกตัวอยู่กับอบายมุข และเหนือกว่านั้นคือมีจิตคิดเมตตา เจริญปัญญาเห็นความไม่น่ายึดมั่นถือมั่นทั้งปวง จะเป็นประกันให้รู้สึกอุ่นใจออกมาจากข้างใน ว่าเราห่างไกลจากสภาพจิตแบบสัตว์มากแล้ว นั่นแหละครับ ประเสริฐสุด เพราะหากพลาดพลั้งถอยหลังเข้าคลองแล้ว โอกาสกลับขึ้นมาเสวยสุขแบบมนุษย์ใหม่ช่างยากเย็นเข็ญใจเหลือประมาณ

  2. #2
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ บ่าวพล
    วันที่สมัคร
    Jul 2006
    กระทู้
    1,807

    Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka.

    โอ้วววว ว้าวววววว 8) 8)

  3. #3
    Singha
    Guest

    Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka.

    Hello khun Polamuangyasothon คือ ตัวสิงหาใหม่กับระบบนี้ค่ะ กำลังเรียนรู้ค่ะ พอคลิกส่งแล้วมีคำถามจากระบบตอบกลับไปว่า ต้อง "แสดงตัวอย่าง" ข้างล่างสุดน่ะค่ะ มันคืออะไรเหรอคะ หนูส่งข้อมูลไม่ได้ค่ะ ขอความกรุณาอธิบายให้กระจ่างด้วยค่ะ งง ค่ะ งง Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka. Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka. Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka. Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka. Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka. Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka. Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka. Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka. Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka. Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka. Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka. Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka. หนูอาศัยอยู่จังหวัดบริติสโคลัมเบีย แคนาดาค่ะ พี่ช่วยอธิบายให้หนูฟังด้วยค่ะ งง อ่ะ ทำไมเวลาเราจะส่งข้อความเพิ่ม ต้องคลิกที่ตรงตั้งกระทู้ในหมวดเดียวกันด้วยล่ะค่ะ มันก็จะกลายเป็นอันใหม่ที่ไม่ต่อเนื่องใช่ไหมคะ ระบบนี้งง มากๆเลยค่ะ ทั่นผู้ใด๋ อธิบายทีค่ะ คุณเว็ปมาสซาเต้อร์ อธิบายด้วยก็ได้ค่ะ งงๆ เง็งๆ ตาเป็นอย่างนี้แหล่ว :D :D

  4. #4
    Singha
    Guest

    Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka.

    ถาม "ถ้าคนเราตายแล้วเกิดจริง เมื่อตายไปเท่าใดก็ควรเกิดเท่านั้น แต่ทำไม ในปัจจุบันคนจึงเกิดมากกว่าแต่ก่อนมาก วิญญาณมาจากไหน ? หรือ คนมีมากกว่าแต่ก่อนเอาวิญญาณมาจากไหน ?
    ตอบ "ตามหลักพระพุทธศาสนา ถือว่า วิญญาณมีมาก และมีมากอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังพระบาลีว่า "อนนฺตํ วิญฺญาณํ - วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด" วิญญาณดวงหนึ่งก็คือชีวิตหนึ่ง วิญญาณนี้ก็คือจิตนั่นเอง และจิตนี้เป็นตัวไปเกิดในภพภูมิต่างๆ ตามพลังแห่งกรรมดีและกรรมชั่ว ที่ผู้นั้นทำไว้
    จิตหรือวิญญาณนี้ หรือจะเรียกว่าชีวิตก็ได้ ไม่ใช่มีอยู่ในโลกมนุษย์เราเท่านั้น แต่ยังมีอยู่ในโลกหรือภพภูมิอื่นๆ อีกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน วิญญาณเหล่านี้มีการถ่ายเท เคลื่อนย้ายจากโลกหนึ่งไปยังอีกโลกหนึ่ง หรือจากภูมิหนึ่งไปยังอีกภูมิหนึ่ง ตามพลังแห่งกรรมของสัตว์โลกนั้นๆ ฉะนั้น วิญญาณจากโลกนี้จึงไปเกิดในโลกอื่นได้ และในทำนองเดียวกัน วิญญาณหรือชีวะจากโลกอื่นก็มาเกิดในโลกนี้ได้เช่นกัน
    แม้วิญญาณในโลกนี้ก็มีการถ่ายเทเคลื่อนย้ายอยู่มาก และมีอยู่ตลอดทุกวินาทีก็ว่าได้ เช่นคนตายไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือสัตว์เดรัจฉานตายไปเกิดเป็นคน และสัตว์เดรัจฉานในโลกมนุษย์ก็มีมากมายหลายแสนชนิด แม้แต่ปลา แมลง และมด ก็มีมากชนิดจนนับไม่ถ้วน
    สัตว์เหล่านี้เมื่อตายแล้ว บางตัวก็เกิดมาเป็นคน ไม่ต้องดูอื่นไกล ในวันหนึ่งๆ มีปลาที่ขึ้นสู่ท่าเรือในเมืองท่าใหญ่ๆ ของโลก แต่ละวันก็นับเป็นแสนๆ ตันแล้ว วิญญาณของปลาเหล่านี้ ก็มีโอกาสที่จะเกิดเป็นมนุษย์ได้ ฉะนั้น มนุษย์จึงอาจเพิ่มขึ้นอีกเท่าไรก็ได้ หากมีตัวกรรมที่ดลบันดาลให้เขามาเกิดได้ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงวิญญาณที่มาจากโลกอื่น แม้แต่วิญญาณที่มีอยู่ในโลกนี้ก็นับไม่ถ้วนเสียแล้ว"
    ๒. ถาม"คนที่ตายแล้ว จะต้องมาเกิดเป็นคนตลอดไป หรือว่าไปเกิดเป็นสัตว์โลกอย่างอื่นก็ได้ ?"

    ตอบ"คนที่ตายแล้ว ถ้ายังมีกิเลสอยู่ก็ต้องเกิดอีก ตามกรรมที่เขาทำไว้ และสามารถไปเกิดในภพภูมิต่างๆ ได้ทั้ง ๓๑ ภูมิ หาใช่เกิดเป็นคนตามเดิมอย่างเดียวไม่"

    ๓. ถาม"คนที่เกิดเป็นหญิงหรือชาย จะเกิดเป็นหญิงหรือชายทุกชาติหรือไม่ ถ้าหญิงอยากเกิดเป็นชาย หรือชายอยากเกิดเป็นหญิง จะทำได้หรือไม่ ?
    ตอบ"ตามหลักพระพุทธศาสนา ผู้ชายอาจเกิดเป็นหญิง หรือหญิงอาจเกิดเป็นชายได้ ข้อนี้ขึ้นอยู่กับกฏแห่งกรรมและความปราถนาของแต่ละคน ถ้าผู้หญิงต้องการเกิดเป็นชาย ก็ทำบุญเพิ่มเข้าไว้ แล้วอธิษฐานขอเกิดเป็นชาย ก็สามารถเกิดเป็นชายได้ในชาติต่อไป หรือชายต้องการเกิดเป็นหยิง ก็ทำบุญเข้าไว้ แล้วอธิษฐานขอเกิดเป็นหญิง ก็สามารถเกิดเป็นหญิงได้เช่นกัน หรือชายบางคนที่ประพฤติผิดในกาม ก็อาจเกิดเป็นหญิงได้ในชาติต่อไป เช่น พระอานนทเถระ ปรากฏว่าท่านเคยเกิดเป็นหญิงติดต่อกันถึง ๕๐๐ ชาติ เพราะประพฤติผิดในกาม
    แต่ก็มีสามีภรรยาบางคู่ หรือจำนวนไม่น้อย ทำบุญแล้วตั้งความปรารถนาให้เกิดมาเป็นคู่ครองกันทุกภพทุกชาติ ถ้าความปรารถนาของเขาสมประสงค์ สามีก็ต้องเกิดเป็นชาย ฝ่ายภรรยาก็ต้องเกิดเป็นหญิงอย่างแน่นอน"

    ๔. ถาม"นักวัตถุนิยมกล่าวว่า จิตไม่มี เพราะไม่มีตัวตนที่จะมองเห็นได้ สมองต่างหากเป็นตัวสั่งงาน ไม่ใช่จิต ในฐานะที่ท่านเป็นพุทธศาสนิกชน ท่านจะอธิบายเขาอย่างไร ในข้อนี้ ?"
    ตอบ "ถ้าอย่างนั้น ปัญญา ความรู้ก็ไม่มีละซิ เพราะไม่อาจจะมองเห็นได้ แท้ที่จริง จิตเป็นนามธรรมเช่นเดียวกับปัญญา และมีอยู่จริง แม้ไม่สามารถจะมองเห็นได้ก็ตาม สื่งที่ไม่มีตัวตนนั้น จะหาว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มีไม่ได้ เพราะสิ่งในโลกทั้งหมด เมื่อกล่าวโดยย่อก็มีเพียง ๒ อย่างเท่านั้น คือ นามกับรูป รูปนั้นเราสามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า ส่วนนามเราไม่สามารถสัมผัสด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า แต่ก็สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทที่หก คือ ใจ เช่น ความสุข ความจำ และความทุกข์ แม้ไม่มีตัวตนที่จะมองเห็นได้ แต่ก็สามารถรับรู้ได้ด้วยใจ

    การที่พูดว่า สมองเป็นผู้สั่งงานนั้น ถูกแล้ว หากแต่สั่งงานตามคำสั่งของจิต เช่นเดียวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือสมองกล ถ้ามนุษย์ไม่ป้อนข้อมูลไปให้ มันก็ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะไร้วิญญาณ และสมองก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของร่างกาย จึงไม่ใช่จิต กายทั้งหมดรวมทั้งสมิงเป็นวัตถุ ไม่ใช่นาม และทำตามคำสั่งของจิตอันเป็นตัวนาม คือเป็นผู้รับใช้จิตนั่นเอง ดังคำพังเพยของไทยที่ว่า "ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว"
    แท้จริง จิตกับสมองไม่เหมือนกัน สมองเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่เป็นเครื่องมือของจิต บางคนอาจจะค้านว่า "ถ้าไม่มีสมองสั่งงาน เช่นสมองพิการ หรือได้รับความกระทบกระเทือนจนสั่งงานไม่ได้ จิตก็ไม่มีอำนาจที่จะบังคับกายได้เลย สมองต่างหากเป็นตัวสั่งงาน ไม่ใช่จิต" ข้อนี้ขอตอบว่า "ก็เมื่อสมองอันเป็นเครื่องมือในการสั่งงานของจิต พิการเสียแล้ว จิตก็ขาดเครื่องมือในการสั่งงาน จึงไม่อาจบังคับกายได้ เพราะขาดเครื่องมือ ถ้าจะเปรียบให้เห็นง่ายๆ ก็คือ กายอันประกอบด้วยประสาทรับรู้ต่างๆ เปรียบเหมือนสายโทรศัพท์ ที่ต่อจากชุมสายโทรศัพท์ไปตามบ้านเรือนหรือสถานที่ต่างๆ สมองเปรียบเหมือนชุมสายโทรศัพท์กลาง, จิตเปรียบเหมือนพนักงานคุมสายโทรศัพท์กลาง ถ้าชุมสายโทรศัพท์เสียใช้การไม่ได้แล้ว แม้จะมีพนักงานปฏิบัติหน้าที่ ก็ไม่อาจติดต่อไปถึงทางเครื่องรับได้ เพราะชุมสายใช้การไม่ได้ ข้อนี้ฉันใด มนุษย์เราก็เหมือนกัน แม้ร่างกายส่วนอื่นไม่พิการ แต่ถ้าสมองพิการเสียแล้ว จิตก็สั่งงานไม่ได้ เพราะขาดเครื่องมือในการสั่งงาน"

    อีกอย่างหนึ่ง ร่างกายนี้เปรียบเหมือนตัวรถ สมองเปรียบเหมือนเครื่องยนต์ จิตเปรียบเหมือนคนขับ ตามปกติรถยนต์ ถ้าตัวรถยังดีเครื่องยนต์ไม่บกพร่องและคนขับก็ชำนาญ ก็ย่อมนำรถไปสู่ที่หมายตามปรารถนาและปลอดภัย แต่ถ้าหากว่า ตัวรถดี แต่เครื่องเสียใช้การไม่ได้ หรือตัวรถก็ดีอยู่ เครื่องยนต์ก็ไม่เสีย แต่ไม่มีคนขับ รถนั้นก็เหมือนกับรถตาย เคลื่อนไหวไม่ได้ หรือตัวรถยังดี เครื่องยนต์ก็ไม่เสีย แต่คนขับขี้เมา หรือขับด้วยความประมาท ก็อาจจะพารถไปชนคน ชนต้นไม้ หรือสิ่งต่างๆ ได้ หรือพลิกคว่ำ ตกถนน เป็นต้น ย่อมก่อให้เกิดอันตรายแก่ตนเอง บุคคลอื่น และทรัพย์สินได้เป็นอันมาก ดังที่ปรากฏอยู่ทั่วโลกในปัจจุบัน ข้อนี้ฉันใด มนุษย์เราก็เหมือนกัน ถ้ามีร่างกาย สมอง และจิตใจครบบริบูรณ์ดี ก็ย่อมนำชีวิตไปสู่ความสงบสุขได้ รวมทั้งช่วยคนอื่นให้มีความสงบสุขได้ด้วย ถ้ามีแต่ร่างกายกับสมอง แต่ไม่มีจิตเป็นผู้สั่ง คนนั้นก็เหมือนคนนอนหลับหรือเหมือนคนตาย หรือมีร่างกายบริบูรณ์แต่สมองพิการ แม้จิตจะเป็นผู้สั่งงาน ก็สั่งไม่ได้ เพราะเครื่องมือคือสมองใช้การไม่ได้ หรือร่างกายและสมองบริบูรณ์ดีไม่บกพร่อง แต่จิตพิการ สุขภาพจิตไม่บริบูรณ์ เช่นเป็นคนวิกลจริตหรือเป็นโรคจิต หรือเป็นคนโลภจัด โกรธจัด หลงจัด เป็นต้น ก็ย่อมนำความพินาศ ความทุกข์เดือดร้อนมาให้แก่ตนเองและสังคมได้มาก".

    ๕. ถาม "ถ้าจิตมีจริงแล้ว ทำไมไม่อาจมองเห้นได้ หรือไม่อาจจับต้องได้ด้วยเครื่องมือใดๆ ทางวิทยาศาสตร์ ?"
    ตอบ "จิตเป็นนาม ไม่ใช่รูป จึงไม่อาจมองเห็นได้ เพราะไม่มีรูปร่าง ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี ไม่มีเสียง และไม่กินที่อยู่ จึงไม่อาจจะจับได้ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ใดๆ แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ซึ่งสามารถรู้ได้ สังเกตุได้ จากพฤติกรรมที่แสดงออกมา เช่น เมื่อดีใจ เสียใจ มีความโกรธ ความโลภ หรือมีความสุข เพราะแสดงออกทางกายให้ปรากฏ เช่นเดียวกับความรู้ แม้ไม่มีตัวตนก็เป็นของที่มีอยู่จริง เพราะแสดงออกมาให้ปรากฏว่ามีหรือไม่มี มีน้อยหรือมีมาก โดยเฉพาะตัวเราเองย่อมรู้ชัดด้วยตนเอง เพราะจิตเป็นตัวทำหน้าที่จำ คิดนึก สั่งงาน เก็บกรรมและกิเลสเอาไว้ และท่านผู้มีความสามารถบางคนใช้พลังจิต หรืออำนาจจิตของตนสะกดคนอื่นได้ด้วย นอกจากนี้แล้ว ท่านผู้ได้อำนาจพิเศษบางท่านสามารถแสดงอำนาจจิตที่มหัศจรรย์ออกมาให้ปรากฏ เช่นดักใจ รู้ใจคนอื่น เป็นต้น"



  5. #5
    Singha
    Guest

    Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka.

    ๖. ถาม "ถ้ากรรมดีและกรรมชั่วมีจริง ทำไม บางคนทำชั่วกลับได้ดี แต่บางคนทำดีกลับได้ชั่ว ?"
    ตอบ "ปัญหาข้อนี้มีผู้ชอบถามและสงสัยกันมาก จะต้องใช้หน้ากระดาษตอบยาวหน่อย เพราะมีประเด็นที่จะต้องพูดกันหลายแง่หลายมุม
    กรรมดีกรรมชั่วมีจริงแน่นอน เพราะกรรม หมายถึงการกระทำ ถ้าทำดีก็จัดเป็นกรรมดี เรียกว่ากุศลกรรม หรือบุญกรรม ถ้าทำชั่วก็เป็นกรรมชั่ว เรียกว่าอกุศลกรรม หรือบาปกรรม
    ผลของกรรมดีและกรรมชั่วก็มีจริง คือ ใครทำดีก็ย่อมได้ดี ใครทำชั่วก็ย่อมได้ชั่ว เห็นกันอยู่เป็นจำนวนมากแม้ในปัจจุบัน เป้นเพียงแต่ว่า กรรมนั้นจะให้ผลเร็วหรือช้าเท่านั้น ในการพิสูจน์ผลของกรรมจะต้องใช้กาลเวลาด้วย เพราะกรรมบางอย่างให้ผลเร็ว กรรมบางอย่างให้ผลช้า กรรมบางอย่างให้ผลในชาตินี้ กรรมบางอย่างให้ผลในชาติต่อไป ดังนั้น จึงกล่าวกันว่า "กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ผลของกรรม"
    การทำกรรมเหมือนการปลูกพืช คือ บุคคลหว่านพืชชนิดใดชนิดหนึ่งลงไป ก็ย่อมได้รับผลของพืชชนิดนั้น เช่นปลูกถั่วไว้ ผลที่ได้รับก็ต้องเป็นถั่ว จะเป็นข้าวหรือเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ปลูกอ้อยไว้ ผลที่ได้รับก็ต้องเป็นอ้อย จะเป็นข้าวโพดหรืออย่างอื่นไปไม่ได้ กรรมก็เช่นเดียวกัน เมื่อทำกรรมใดไว้ จะดีหรือชั่วก็ตาม จะต้องได้รับผลของกรรมนั้น คือทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว เป็นเพียวแต่ว่าต้องใช้เวลาสำหรับกรรมบางอย่าง เพราะกรรมบางอย่างให้ผลช้า เช่นการศึกษาเล่าเรียน กว่าจะเรียนจบต้องใช้เวลาหลายปี จบแล้วก็ต้องหางานทำอีก เมื่อมีงานทำแล้วจึงจะได้เงินมาใช้ อันเป็นผลส่วนหนึ่งของการเรียน แต่กรรมบางอย่างเห็นผลเร็ว เช่นหุงข้าวในวันนี้ก็ได้รับผลในเวลาประมาณ ๑ ชั่วโมงในวันนี้
    แต่คนบางคน ทำชั่วแล้วยังมีความสุขความเจริญดีอยู่ ยังไม่ได้รับผลของกรรมชั่วที่ทำไว้ หรือคนทำดีบางคนยังต้องได้รับทุกข์ทรมานเดือดร้อนอยู่ ยังไม่ได้รับผลกรรมดีที่ทำไว้ จึงมีคนไม่น้อยเข้าใจผิดไปว่า "ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว" ทั้งนี้ก็อาศัยความซับซ้อนในกฏแห่งกรรมนั่นเอง คือ การที่คนบางคนทำชั่วแล้วยังไม่ได้รับผลชั่ว ก็เพราะกรรมดีที่เขาทำไว้ยังให้ผลอยู่ แต่กรรมชั่วที่เขากำลังทำอยู่ยังไม่ถึงวาระให้ผล แต่เมื่อใดกรรมดีของเขาอ่อนพลังลงหรือหมดไป กรรมชั่วที่เขาทำไว้จะต้องถึงวาระให้ผลอย่างแน่นอน หรือคนทำดี แต่ยังเดือดร้อนลำบากอยู่ และเมื่อใดกรรมชั่วของเขาอ่อนกำลังลง หรือหมดไป กรรมดีของเขามีพลังมากขึ้นเขาก็ย่อมได้รับผลดีอย่างแน่นอน
    เพื่อความเข้าใจชัดในเรื่องนี้ จะขอยกตัวอย่างให้ดูสัก ๒ เรื่อง คือ
    เรื่องนายแดงสำนึกผิด และเรื่องนายมีนักเลงการพนัน
    นายแดง ใจกล้า ฆ่าคนตายที่จังหวัดเชียงใหม่ แล้วหนีการจับกุมไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่จังหวัดสงขลา สำนึกในความผิดของตัวว่า ตนได้ทำชั่วไว้ กรรมนั้นจะตามมาให้ผลในวันข้างหน้า เขาจึงตั้งใจทำดีเพื่อลบล้างกรรมชั่วของเขา คือเมื่อเขาไปอยู่ที่สงขลา ก็ตั้งใจทำมาหากินอยู่ที่นั่น คนที่นั้นไม่มีใครรู้เบื้องหลังชีวิตเขา เขาเข้าวัดทุกวันพระ ทำบุญฟังธรรม และรักษาศีลอุโบสถเป็นประจำ และตั้งใจทำงานโดยสุจริต
    คนทางจังหวัดเชียงใหม่ ที่รู้พฤติกรรมขั่วของเขาในการฆ่าคนแล้วหนีไป จึงพูดกันว่า "ทำชั่วได้ชั่วมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป" เพราะนายแดงทำชั่วแล้ว ไม่เห็นได้รับผลชั่ว แต่ไปหลบซ่อนตัวสบายอยู่ที่จังหวัดสงขลา

    ๑๐ ปีต่อมา ตำรวจสืบทราบว่า นายแดงหนีไปหลบซ่อนอยู่ที่จังหวัดสงขลา จึงตามไปจับกุมได้ในขณะที่นายแดงกำลังนั่งฟังธรรมอยู่บนศาลาการเปรียญในวันหนึ่ง แล้วใส่กุญแจมือ นำไปดำเนินคดีตามกฏหมาย ฝ่ายชาวบ้านทางสงขลาแถบนั้นไม่รู้เรื่องเดิมมาก่อน เห็นแต่นายแดงเป็นคนดี เป็นอุบาสก รักษาศีล ๘ ทุกวันพระ มาวัด ฟังธรรม ทำบุญอยู่เสมอ จึงพูดกันว่า "คนดีแท้ๆ ถูกใส่ความ ทำดีได้ดีมีที่ไหน ดูนายแดงเป็นตัวอย่าง ทำดีแท้ๆ กลับได้ชั่ว" แต่ถ้าทั้งคนที่เชียงใหม่และที่สงขลารู้ความจริงของนายแดงโดยตลอดแล้ว พวกเขาคงไม่เข้าใจผิดในเรื่องกฏแห่งกรรม

    เรื่องที่สอง คือ นายมี ชอบใจ เป็นชาวจังหวัดสุพรรณบุรี มีนาและสวนอยู่หลายแปลง แต่เป็นคนขี้เกียจ ทั้งชอบเล่นการพนัน และมีลูกหลายคน เขาจึงยากจนและเป็นหนี้เป็นสินเขา ต่อมานายมีรู้สึกตัวว่า การที่ตนต้องลำบากเดือดร้อนยากจน ต้องเป็นหนี้สินเขา ก็เพราะตนขี้เกียจและชอบเล่นการพนัน จึงเลิกเล่นการพนัน หันมาช่วยลูกเมียทำนา ทำสวนอย่างขยันขันแข็ง เพราะมีที่ทำมาหากินอยู่พร้อมแล้ว เมื่อเขาทำนาทำสวนในปีนั้น ทั้งข้าวในนาและพืชผลในสวนของเขากำลังงอกงามอุดมสมบูรณ์ แต่ยังไม่ทันได้เก็บเกี่ยว นายมีก็ยังยากจนและเป็นหนี้เขาอยู่เช่นเดิม และยังมีความเดือดร้อนเพิ่มขึ้นเสียอีก เพราะต้องลงทุนลงแรงในการทำงาน ทั้งๆ ที่เขาและครอบครัวได้ทำมาหากินโดยความขยันหมั่นเพียรและสุจริต คนบางคนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชีวิตเบื้องหลังของนายมี เห็นแต่นายมีขยันหมั่นเพียรในการทำมาหากิน แต่ยังยากจนและเดือดร้อนอยู่ จึงพูดกันว่า "ไหนว่า คนทำดีได้ดี แต่ทำไมนายมีทำงานโดยสุจริตและขยันหมั่นเพียรในการทำมาหากิน แต่ยังยากจนและเดือดร้อนอยู่"
    ต่อมา เมื่อข้าวในนาและพืชผลในสวนของเขาเก็บเกี่ยวแล้ว และได้ผลดีมาก เขาก็มีกินมีใช้อย่างสบาย หมดหนี้สิน หลายปีเข้าเขาก็มีความร่ำรวยขึ้น เพราะความขยันหมั่นเพียร และเพราะรู้จักตั้งตัวประกอบอาชีพสุจริต

    ต่อมา นายมีกลับคบเพื่อนเก่าที่เป้นนักเลงการพนัน ซึ่งมาชวนเล่นการพนันอีก เขาจึงเลิกกิจการในนาและในสวน หันมาเล่นการพนันตามเดิมอีกเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ยังมีกินมีใช้อยู่ เพราะเงินทองที่เก็บไว้ตอนขยันหมั่นเพียรนั้นยังเหลืออยู่มาก บางคนที่ไม่รู้จักประวัติเดิมของนายมี เห็นแต่นายมีเล่นการพนันและไม่ยอมทำการงาน แต่ยังมีกินมีใช้อยู่สบาย จึงพูดกันว่า "ไหนว่า คนเราทำชั่วได้ชั่ว แต่นายมีขี้เกียจไม่ทำงาน และเล่นแต่การพนัน กลับอยู่สบาย คนที่ขยันเสียอีกต้องเหนื่อยยากลำบากในการทำมาหากิน" ทั้งนี้ก็เพราะว่า คนที่พูดเช่นนั้นไม่ทราบความจริงโดยตลอด การที่นายมียังมีกินมีใช้อยู่ก็เพราะกรรมดีครั้งก่อนของเขา คือความขยันหมั่นเพียรในการทำมาหากิน จึงมีเงินเก็บไว้ ทำให้เขาสบายดีอยู่ แต่ถ้าเขายังขี้เกียจอีกและยังไม่ยอมเลิกเป้นนักเลงการพนัน ในที่สุด เขาก็ต้องเดือดร้อน ยากจน และเป็นหนี้สินเขาอีกอย่างแน่นอน
    เพราะฉะนั้น การพิสูจน์กฏแห่งกรรมจะต้องใช้กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ด้วย แต่เท่าที่ผู้เขียนสังเกต อย่างมากไม่เกิน ๓๐ ปี จะต้องได้รับผลดีหรือผลชั่วที่ตนทำไว้อย่างแน่นอน นอกจากกาลเวลาแล้ว ยังต้องพิจารณาให้รอบคอบอีกหลายด้าน เพราะยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่เป็นตัวประกอบในความซับซ้อนเรื่องกฏแห่งกรรม เช่นยังขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้กระทำ ขึ้นอยู่กับกรรมนั้นว่า เป็นกรรมเล็กน้อยหรือมาก เบาหรือหนัก และยังขึ้นอยู่กับเหตุการณ์และสถานที่อื่นๆ ที่เข้ามาประกอบอีกด้วยอย่าง กรรมให้ผลตามหน้าที่ ๔ อย่าง และกรรมให้ผลตามลำดับ ๔ อย่าง

    อีกอย่างหนึ่ง จะต้องเข้าใจเหตุผลและผลของกรรมดีและกรรมชั่วนั้น รวมทั้งสภาพจิตใจของคนที่ทำกรรมดีและกรรมชั่วนั้นด้วย จึงจะเข้าใจกฏแห่งกรรมชัดยิ่งขึ้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างต้องเกิดจากเหตุ เมื่อมีเหตุแล้วก็ต้องมีผล จึงควรทำความเข้าใจในเรื่องบุญบาปว่าคืออะไรด้วย ทั้งบุญและบาปก็มีเหตุและผลของมัน เหตุของบุญก็คือการทำดี ผลของบุญก็คือความสุข ส่วนสภาพจิตใจของคนที่ทำบุญ ก็คือความสะอาดผ่องใสของจิต แต่เหตุของบาปก็คือการทำชั่ว ผลของบาปก็คือความทุกข์ ส่วนสภาพจิตใจของคนที่ทำบาปก็คือความเศร้าหมอง สกปรกของจิต
    บางคนมองกรรมดีกรรมชั่วเฉพาะแต่ผลของมัน คือมองแต่ความสุขหรือความทุกข์เพียงฝ่ายเดียว แต่ไม่ได้มองเหตุของมัน หรือมองเฉพาะแต่เหตุของมัน คือการทำดีหรือทำชั่วเพียงฝ่ายเดียว ไม่มองผลของมัน หรือบางคนมองเฉพาะแต่เหตุกับผลของกรรม แต่ไม่ได้มองถึงสภาพจิตใจของคนที่ทำบุญหรือทำบาป จึงทำให้เห็นไม่ตลอดสาย ฉะนั้น จึงต้องดูให้ตลอดสาย จึงจะเข้าใจเรื่องกฏแห่งกรรมได้ชัด เพราะพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งเหตุผล หากปราศจากเหตุผลก็ไม่ใช่พระพุทธศาสนา
    แท้ที่จริง ถ้าจะมองถึงสภาพจิตใจของคนที่ทำดีทำชั่วแล้ว คนทำดีและคนทำชั่วย่อมได้รับผลทันทีที่ทำกรรมนั้นๆ คือจิตใจของคนที่ทำดีย่อมประเสริฐขึ้นในทันทีที่ทำดี ส่วนคนทำชั่วก็มีจิตใจต่ำลงในทันทีที่ทำชั่วนั้น แม้บางคนจะทำชั่วด้วยความร่าเริงยินดี แต่จิตใจที่แท้จริงของเขานั้น เศร้าหมอง ต่ำทราม ลดคุณภาพลง ส่วนคนทำดีบางคน แม้จะมองดูว่าลำบากเหนื่อยยาก แต่จิตใจของเขาก็สะอาดและสูงขึ้น คนที่จิตใจต่ำทราม ย่อมส่งผลออกมาเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนอย่างแน่นอน ส่วนคนที่มีจิตใจสูงและสะอาด ย่อมส่งผลเป็นความสุขความเจริญอย่างแน่นอน
    ฉะนั้น การเข้าใจเรื่องกฏแห่งกรรม จำจะต้องพิจารณารอบคอบด้วย จึงจะสามารถเข้าใจชัดได้"

    ๗. ถาม "ทำไม กรรมชั่วจึงไม่ให้ผลทันตาเห็น คนจะได้เลิกทำกรรมชั่ว ทำแต่กรรมดี ?"
    ตอบ "เพราะเป็นธรรมชาติในกฏแห่งกรรมอย่างนั้นเอง เนื่องจากกรรมบางอย่างให้ผลในชาตินี้ แต่กรรมบางอย่างให้ผลในชาติหน้า หรือชาติต่อไป เช่นเดียวกับการปลูกพืชและต้นไม้ คือ พืชบางอย่างให้ผลภายในระยะเวลาเพียง ๓ - ๔ เดือน เช่น ข้าวและถั่ว เป็นต้น แต่พืชบางอย่างให้ผลนานกว่านั้น เช่นอ้อย และสัปรด เป็นต้น ต้นไม้บางอย่างกว่าจะให้ผลต้องใช้เวลาอย่างน้อย ๕ ปีขึ้นไป เช่นมะม่วงและมะพร้าว เป็นต้น แต่บางอย่างต้องใช้เวลานานกว่านั้นจึงจะให้ผล เช่นตาลและไม้สัก เป็นต้น เราจึงไม่อาจจะเร่งผลของกรรมบางอย่างที่ยังไม่ถึงเวลาเผล็ดผลได้เลย"

    ๘. ถาม "ถ้าหากว่าคนทำชั่วตกนรกแล้ว ทำไม พระเทวทัตต์ ทำชั่วทุกชาติ แต่ยังกลับเกิดเป็นมนุษย์ได้ แถมยังเกิดในตระกูลสูงด้วย ?"
    ตอบ "พระเทวทัตต์ไม่ได้ทำชั่วอย่างเดียว แต่ได้ทำดีไว้ด้วยทุกชาติ มากบ้างน้อยบ้าง ท่านจึงได้เกิดเป็นมนุษย์และเกิดในราชตระกูลด้วย เพราะการเกิดเป็นมนุษย์ได้และเกิดในตระกูลสูง ย่อมแสดงให้เห็นว่านั้นเป็นผลของการทำความดี เพราะคนเรานั้นจะทำกรรมชั่วอย่างเดียว ไม่ทำกรรมดีเลย หรือทำกรรมดีอย่างเดียว ไม่ทำกรรมชั่วเลย แทบไม่มีเลย พระเทวทัตต์แม้ในชาติที่เกิดในสมัยพุทธกาลก็ได้บรรพชา บำเพ็ญความดี จนถึงกับได้ฌานสมาบัติ และมีอำนาจฤทธิ์ด้วย แม้เมื่อจวนจะสิ้นใจ ท่านก็ได้ระลึกถึงพุทธคุณ รู้สึกสำนึกความผิดตน ด้วยการถวายกระดูกคางของตนแด่พระพุทธเจ้าในขณะที่ถูกแผ่นดินสูบ ซึ่งการทำความดีของท่านในครั้งนี้เอง ท่านจึงได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าของเราว่า ในอนาคตข้างหน้าโน้น พระเทวทัตต์จะได้สำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธะองค์หนึ่งพระนามว่า "อัฏฐิสสระ"

    ถ้าเราเห็นใครทำชั่วแล้ว ก็อย่าเพิ่งเข้าใจว่า เขาทำไม่ดี หรือไม่เคยทำความดีไว้เลย หรือเราเห็นใครทำดีแล้ว ก็อย่าเข้าใจว่าผู้นั้นไม่เคยทำชั่วเลย แท้จริง มนุษย์เราทำชั่วบ้าง ทำดีบ้างสลับกันอยู่ เป็นเพียงแต่ว่า ใครจะทำอย่างใดมากน้อยกว่ากันเท่านั้น คนเราจึงเกิดมามีสุขบ้างมีทุกข์บ้างทุกคน เป็นเพียงแต่ว่า ใครจะมีสุขมากหรือทุกข์มากกว่ากันเท่านั้น"

  6. #6
    Singha
    Guest

    Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka.

    ๙. ถาม "ทำชั่วไว้แล้วจะไม่ให้กรรมชั่วนั้นตามทัน หรือจะหนีให้พ้นจากกรรมชั่วนั้นได้อย่างไร ?"
    ตอบ "คนทำกรรมชั่วแล้วจะหนีให้พ้นจากกรรมชั่วนั้นไม่ได้ หรือทำดีแล้วจะต้องการผลของกรรมดี ที่ยังไม่มาถึงหรือยังไม่เผล็ดผลนั้นก็ไม่ได้ จะขอร้องหรือขอผ่อนปรนต่อกรรมชั่วที่ทำไว้ก็ไม่ได้ เพราะกฏแห่งกรรมเป็นกฏธรรมชาติ ไม่ใช่กฏที่มนุษย์ตั้งขึ้น ถ้าเป็นกฏที่มนุษย์ตั้งขึ้น ก็อาจจะได้รับการงดโทษ หรือผ่อนปรน หรือยืดหยุ่นได้บ้าง

    แต่อย่างไรก็ตาม กรรมชั่วที่เราทำไว้แล้วนั้น เราสามารถทำให้อ่อนพลังลงได้ โดยทำกรรมดีเพิ่มเข้าให้มากๆ กรรมชั่วก็จะอ่อนกำลังลง หรือตามเราไม่ทัน เพราะกกแห่งกรรมมีอยู่ว่า "กรรมใดหนัก กรรมนั้นให้ผลก่อน ไม่ว่ากรรมนั้นจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว ไม่ว่ากรรมนั้นเราจะทำก่อนหรือทำทีหลังก็ตาม" สมมติว่าคนผู้หนึ่งทำชั่วเอาไว้และกรรมชั่วนั้นยังไม่ทันให้ผล หรือให้ผลบ้างแล้ว แต่ยังไม่หมดพลัง ภายหลังผู้นั้นทำกรรมดีเข้าไปมากๆ และในขณะเดียวกันก็เลิกทำกรรมชั่ว กรรมชั่วที่ทำไว้นั้นจะอ่อนพลังลง หรือตามมาให้ผลไม่ทัน เพราะต้องรอคิวให้ผลตามลำดับหนักเบา และเพราะมีกำลังน้อยลง เปรียบเหมือนยาพิษ แม้จะร้ายแรงชนิดกินเข้าไปถึงตาย แต่ถ้าเราเอาน้ำใส่ลงไปในยาพิษนั้นมากๆ จนจืดจางลงไป ยาพิษนั้นก็คลายพลังลง หรืออาจจะกลายเป็นยาแก้โรคไปเสียก็ได้

    อีกอย่างหนึ่ง กรรมที่ติดตามเรามา เหมือนสุนัขไล่เนื้อ ทันเหยื่อของมันเมื่อไร ก็กัดกินเหยื่อของมันเมื่อนั้น คือถ้าเนื้อตัวนั้นอ่อนกำลังลง หรือหยุดวิ่ง ฝูงสุนัขที่ติดตามมาก็จะเข้ากัดกินเนื้อนั้นโดยพลัน แต่ถ้าเนื้อตัวนั้นมีกำลังดี ทั้งวิ่งไม่ยอมหยุดและวิ่งได้เร็ว จนพ้นกำลังการติดตามของฝูงสุนัข มันก็ปลอดภัยได้ เว้นไว้แต่ว่า มันเกิดวิ่งกลับหลังมาสวนทางกับฝูงสุนัขที่ไล่ติดตามมันมาเท่านั้น ความชั่วที่ติดตามเรามานี้ก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราทำกรรมดีเข้ามากๆ และทำติดต่อกันอย่างไม่หยุด กรรมชั่วแม้ติดตามเรามาก็ตามมาทันยาก เพราะพลังมันอ่อน จึงตามมาไม่ทัน เว้นไว้แต่เราหยุดทำกรรมดี เหมือนอย่างเนื้อที่หยุดวิ่ง หรือเว้นไว้แต่เราทำความชั่วเพิ่มเข้าอีก ซึ่งเหมือนกับเนื้อวิ่งสวนทางเข้าไปหาฝูงสุนัขที่ไล่ติดตามมาเสียเท่านั้น
    เพราะฉะนั้น กรรมชั่วที่เราทำไว้นั้น เราจึงสามารถหนีให้ห่างไกล หรือทำให้อ่อนกำลังลงได้ ด้วยการหยุดทำขั่วแล้วทำกรรมดีเพิ่มเข้าไว้มากๆ กรรมชั่วนั้นก็จะตามมาไม่ทัน และจะค่อยอ่อนกำลังลงในที่สุด เว้นไว่แต่กรรมชั่วนั้นเป็นอนันตริยกรรม เช่นฆ่าพ่อแม่ และฆ่าพระอรหันต์ เป็นต้น ซึ่งไม่มีกรรมอื่นใดที่จะลบล้างหรือสกัดการให้ผลของมันได้เลย"

    ๑๐. ถาม "มีอะไรเป็นเครื่องวัดว่า กรรมดีและกรรมชั่ว ให้ผลหนักหรือเบา มากหรือน้อย ไม่เท่ากัน ?"
    ตอบ "สิ่งที่เป็นเครื่องวัดผลของกรรมว่า มีมากหรือน้อย มี ๓ อย่าง คือ
    ๑. วัตถุ
    ๒. ประโยค
    ๓. เจตนา

    วัตถุ หมายถึง คน สัตว์ สิ่งของ หรือเรื่องที่เป็นตัวทำกรรม เช่น

    ถ้าฆ่าคนหรือสัตว์ดิรัจฉาน คนหรือสัตว์ที่เราฆ่านั้นจัดเป็นวัตถุของปาณาติบาต ผู้ที่เราฆ่านั้นเป็นผู้มีคุณมากหรือเป็นผู้มีคุณน้อย เป็นสัตว์ใหญ่หรือเป็นสัตว์เล็ก ถ้าฆ่าผู้มีคุณความดีมาก เช่นพ่อแม่ หรือพระสงฆ์ บาปก็มาก แต่ถ้าฆ่าผู้มีคุณความดีน้อย เช่นโจร บาปก็น้อย ถ้าฆ่าสัตว์ใหญ่ เช่น ช้าง วัว ควาย บาปก็มาก แต่ถ้าฆ่ามดหรือยุง บาปก็น้อย

    ในการลักของเขา ถ้าของใหญ่หรือของน้อยแต่มีค่ามาก บาปก็มาก แต่ถ้าของที่ลักนั้นเป็นของน้อยหรือมีค่าน้อย บาปก็น้อย

    ในการประพฤติผิดในกาม ถ้าประพฤติผิดในท่านผู้มีคุณความดีมาก มีคุณธรรม เช่น พระภิกษุสามเณร บาปก็มาก ถ้าประพฤติผิดในท่านผู้มีคุณความดีน้อยหรือคนชั่ว บาปก็น้อย

    ในการพูดเท็จ ถ้าเรื่องที่พูดสำคัญ เกิดความเสียหายมาก หักลาญประโยชน์คนอื่นมาก บาปก็มาก ถ้าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่สำคัญ หรือพูดเพื่อสนุก หัวเราะเล่น บาปก็น้อย

    ในการเสพของมึนเมา ถ้าของที่เสพนั้นมีฤทธิ์มาก ร้ายแรง ทำให้มึนเมา หลงไหล ไร้สติได้มาก บาปก็มาก แต่ถ้ามึนเมานิดหน่อยทำลายสติสัมปชัญญะน้อย บาปก็น้อย

    ประโยค หมายถึง ความพยายาม คือการกระทำทางกาย หรือทางวาจา ถ้าทำด้วยความพยายามมาก เช่นต้องติดตามการกระทำกรรมนั้นเป็นวัน เป็นเดือน หรือเป็นปี บาปก็มาก ถ้าทำด้วยความพยายามน้อย เช่น ตบยุงแป๊ะเดียว ไม่ต้องลงทุนลงแรงมาก บาปก็น้อย

    เจตนา หมายถึง ความจงใจหรือตัวเจตนา เพราะการทำกรรมไม่ว่าเป็นการกระทำกุศลกรรมหรือทำอกุศลกรรม ที่จัดเป็นกรรมส่งผลให้แก่ผู้ทำได้ จะต้องทำด้วยเจตนาหรือความจงใจ เช่น ถ้าฆ่าสัตว์ด้วยไม่มีเจตนา ก็ไม่เป็นบาป หรือทำบุญด้วยไม่มีเจตนา ก็ไม่เป็นบุญ พระพุทธเจ้าจึงตรัสกฏแห่งกรรมในข้อนี้ไว้ว่า "เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ าทามิ แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าการกระทำที่มีเจตนาว่าเป็นกรรม" ดังนั้น เมื่อพูดในด้านเจตนากันแล้ว ถ้ากระทำกรรมด้วยเจตนาที่รุนแรง คือทำด้วยโลภ โกรธ หลง หรือโมะกล้า บาปก็มาก ถ้าทำด้วยเจตนาที่เบาบาง คือทำด้วยโลภ โกรธ หลง น้อย บาปก็น้อย

    ฉะนั้น การจะตัดสินใจว่า การทำกรรมมีบาปน้อยหรือมาก ก็ขึ้นอยู่กับตัวประกอบทั้ง ๓ ประการดังกล่าวมา แม้ในการทำดี คือทำกุศลกรรม หรือทำบุญ ก็มีนัยตรงกันข้ามกับการทำบาป จึงไม่จำเป็นต้องชี้แจงอีก"

    ๑๑. ถาม "ทำไม คนชั่วบางคนจึงร่ำรวยและเจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้าในชีวิตและการงานมากกว่าคนทำดี ?"
    ตอบ "เพราะเขาเคยทำความดีไว้มากในอดีตที่ผ่านมา ทั้งในชาตินี้และชาติที่ล่วงมาแล้ว ไม่ใช่เขาทำแต่กรรมชั่วเพียงอย่างเดียว เช่น คนทำชั่วบางคน ขยันหมั่นเพียรในการประกอบอาชีพ รู้จักบริหารงาน รู้จักบริโภคใช้สอยสมบัติ และเลี้ยงพ่อแม่ของตนเป็นต้น แม้เขายังทำกรรมชั่วบางอย่างอยู่ เช่นโกงกิน ฉ้อราษฎร์บังหลวง และข้อที่สำคัญที่สุดคือกรรมชั่วของเขายังไม่ถึงเวลาให้ผล แต่กรรมดีที่เขาเคยทำไว้ก่อน หรือกำลังกระทำอยู่ กำลังให้ผลอยู่ ส่วนคนดีบางคนที่ยังต้องทุกข์ยากลำบากอยู่ทั้งๆ ที่ทำดี ก็เพราะเขาไม่ได้ทำกรรมดีเพียงอย่างเดียว แต่ทำกรรมชั่วด้วย เช่นตกอยู่ใรอบายมุข ชอบเล่นการพนัน เกียจคร้านทำการงาน ไม่รู้จักรักษาทรัพย์ ไม่รู้จักใช้จ่าย และไม่ใช้ปัญญาในการดำเนินชีวิต และที่สำคัญที่สุดคือกรรมดีที่เขาทำไว้ยังไม่ทันให้ผล แต่กรรมชั่วที่เขาทำไว้ในอดีตหรือในปัจจุบันกำลังให้ผลอยู่ ดังนั้น จึงทำให้เราพบว่า มีคนชั่วบางคนร่ำรวยและรุ่งเรืองกว่าคนทำดีบางคน
    แต่เมื่อใดกรรมชั่วหรือกรรมดีที่เขาทำไว้ให้ผลแล้ว เขาจะต้องเห็นประจักษ์ด้วยตนเองอย่างแน่นอน เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในคัมภีร์ธรรมบทว่า

    แม้คนชั่วเห็นกรรมชั่วว่าดี ตลอดเลาที่กรรมชั่วยังไม่ให้ผล แต่เมื่อใดกรรมชั่วให้ผล เมื่อนั้นเขาย่อมเห็นกรรมชั่วนั้นว่าชั่วจริง ๆ
    แม้คนดีเห็นกรรมดีว่าไม่ดี ตลอดเวลาที่กรรมดียังไม่ให้ผล แต่เมื่อใดกรรมดีให้ผล เขาย่อมเห็นกรรมดีว่าดีจริง ๆ" "

  7. #7
    Singha
    Guest

    Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka.

    ๑๒. ถาม "ถ้าตายแล้วเกิด ทำไม คนเราจึงระลึกชาติไม่ได้ ? "
    ตอบ เพราะภพชาติปกปิดไว้ และเพราะการกระทำอื่นๆ เป็นอันมากทับถมกันอยู่ในจิตใจในปัจจุบัน แม้กระนั้น ก็ยังปรากฏว่ามีคนบางคนระลึกชาติได้ ซึ่งมีอยู่ทั่วโลก แม้ในสมัยปัจจุบัน
    ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องในชาติก่อน ซึ่งล่วงมานานแล้วเลย ที่เราระลึกไม่ได้ แม้แต่เรท่องในชาตินี้เป็นจำนวนมากเราก็ลืม นึกไม่ได้ ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นไกล เมื่อเช้าวันนี้เรากินข้าวมากี่คำ เราก็จำไม่ได้เสียแล้ว และไม่ตั้งใจจำด้วย จึงไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องในชาติก่อน"

    ๑๓. ถาม "คนที่ระบึกชาติได้ ต้องได้ฌานหรือเปล่า ?"
    ตอบ "ไม่เสมอไป เพราะเท่าที่ปรากฏหลักฐานในปัจจุบัน คนที่ระลึกชาติได้โดยทั่วไปอยู่ในวัยเด็ก ล้วนแต่เป็นคนธรรมดา ซึ่งไม่ได้ฌานสมาบัติอันใดทั้งสิ้น"

    ๑๔. ถาม "ทำชั่วแล้ว จะทำดีล้างชั่วได้หรือไม่ ?" หรือ กรรมดีล้างกรรมชั่วได้หรือไม่
    ตอบ "ไม่ได้, แม้จะทำพอธีล้างบาปก็ไม่ได้ เพราะทำกรรมอันใดไว้จะต้องได้รับกรรมนั้น แต่กรรมชั่วจะเบาบางลงได้ หรืออ่อนกำลังลงได้ ถ้าเราทำกรรมดีเข้ามากๆ เปรียบเหมือนน้ำละลายความเค็มของเกลือให้เจือจาง"

    ๑๕. ถาม "ทำบุญแล้วอธิษฐาน กับทำบุญแล้วไม่อธิษฐาน อย่างไหนจะได้ผลดีกว่ากัน ?"
    ตอบ "ถ้าเราทำบุญแล้ว หวังจะให้บุญนั้นส่งผลให้ตามที่ตนมุ่งหมายไว้ ทำบุญแล้วอธิษฐานดีกว่า เพราะบุญนั้นจะให้เราสำเร็จเป้าหมายโดยเร็วได้ แต่ถ้าเราทำบุญหรือความดีแล้วไม่ได้หวังผลอะไร นอกจากเห็นว่ามันเป็นความดีแล้วก็ทำ ก็ไม่จำเป็นต้องอธิษฐาน บุญที่เราทำไว้นั้น จะจัดคิวให้ผลของมันเอง

    แต่การทำบุญแล้วอธิษฐานนั้น ย่อมได้ผลตามเป้าหมายดีกว่า เหมือนนักศึกษาสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในเมืองไทยเราในปัจจุบัน เลือกวิชาที่ตนต้องการอันดับหนึ่ง อันดับสอง อันดับสาม .................. เอาไว้เมื่อสอบได้ ทางคณะกรรมการก็จัดให้เข้าเรียนตามสาขาวิชาที่เรามีสิทธิเข้าเรียนและเลือกไว้ แต่ถ้าหากว่า ในการสอบไม่มีกำหนดให้เลือกวิชาใดไว้ ก็แล้วแต่กรรมการจะจัดให้เข้าเรียนตามความเหมาะสม ซึ่งบางทีก็อาจจะไม่ตรงตามวิชาที่เราต้องการก็ได้

    อีกอย่างหนึ่ง การทำบุญแล้วอธิษฐาน ทำให้เรามุ่งไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมีมาทุกภพทุกชาติ ก็ทรงอธิษฐานเพื่อสำเร็จสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าหากพระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีแล้ว ไม่ทรงอธิษฐานเพื่อสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์ก็ไม่มีทางที่จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้ แม้จะบำเพ็ญความดีมามากก็ตาม ต้องยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏนั่นเอง เหมือนคนที่ไม่ได้ตั้งใจจะไปเชียงใหม่ แม้จะเดินทางทุกวันก็ไม่อาจจะถึงเชียงใหม่ได้ เพราะเขาไม่มุ่งจะไปเชียงใหม่

    แต่อย่างไรก็ตาม ในการทำบุญแล้วอธิษฐานนั้น ก็ควรอธิษฐานในขอบเขตที่เป็นไปได้ จึงจะได้รับผลตามที่ตนมุ่งหมายไว้ แต่ถ้าทำเหตุไม่สมกับผล หรือไม่สร้างเหตุแห่งการทำดีคือบุญเลย แต่ต้องการผลเกินกว่าเหตุ หรืออธิษฐานพร่ำเพรื่อมากเกินไป (แบแค้ากำไรเกินควร) ก็จะไม่ได้รับผลที่ต้องการ การที่จะได้รับผลของบุญตามที่ได้อธิษฐานนั้นก็ต่อเมื่อแรงบุญ หรือพลังบุญที่ทำไว้เพียงพอ
    ฉะนั้น พุทธศาสนิกชนจึงควรอธิษฐานเฉพาะเรื่องที่สำคัญ และจำเป็นเท่านั้น ไม่ควรอธิษฐานพร่ำเพรื่อไปเสียทุกเรื่อง มิฉะนั้นแล้วจะไม่ได้ผลในเรื่องที่หวังผลเกินกว่าเหตุ และจะเข้าลักษณะอ้อนวอน เหมือนอย่างศาสนาประเภทเทวนิยม ที่ถือพระเจ้าสร้างโลกทั้งหลายไปเสีย."

    Singha is new member here, any mistakend, Please forgive me ka and I do like to following the Lord Buddha teaching and I got all these topics from all my aunties from Thailand ka. My englis is so poor. Don't be hesitated to corrected me and I will be appliciated ka. Please forgive me not writting in Thai cause of my typing thai problem and I do not have any thai keyboard on the computer or knowing much about Thai alphabets on the keyboard ka. Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka.

    Please forgive me and I will do my best to พิมพ์ภาษาไทย ด้วยการเดาหรือจิ้มดีดนะคะ สวัสดีค่ะ

  8. #8
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ บ่าวพล
    วันที่สมัคร
    Jul 2006
    กระทู้
    1,807

    Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka.

    Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka. กระทู้ต้นฉบับโดยคุณ Singha
    Hello khun Polamuangyasothon คือ ตัวสิงหาใหม่กับระบบนี้ค่ะ กำลังเรียนรู้ค่ะ พอคลิกส่งแล้วมีคำถามจากระบบตอบกลับไปว่า ต้อง "แสดงตัวอย่าง" ข้างล่างสุดน่ะค่ะ มันคืออะไรเหรอคะ หนูส่งข้อมูลไม่ได้ค่ะ ขอความกรุณาอธิบายให้กระจ่างด้วยค่ะ งง ค่ะ งง Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka. Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka. Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka. Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka. Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka. Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka. Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka. Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka. Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka. Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka. Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka. Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka. หนูอาศัยอยู่จังหวัดบริติสโคลัมเบีย แคนาดาค่ะ พี่ช่วยอธิบายให้หนูฟังด้วยค่ะ งง อ่ะ ทำไมเวลาเราจะส่งข้อความเพิ่ม ต้องคลิกที่ตรงตั้งกระทู้ในหมวดเดียวกันด้วยล่ะค่ะ มันก็จะกลายเป็นอันใหม่ที่ไม่ต่อเนื่องใช่ไหมคะ ระบบนี้งง มากๆเลยค่ะ ทั่นผู้ใด๋ อธิบายทีค่ะ คุณเว็ปมาสซาเต้อร์ อธิบายด้วยก็ได้ค่ะ งงๆ เง็งๆ ตาเป็นอย่างนี้แหล่ว :D :D
    คิดว่าคงไม่ต่อเนื่องครับ

  9. #9
    boonhome
    Guest

    Re: Mixed dhamma teaching I have saved on my personal files ka.

    Hi Singha,
    They are very good Dhammas and just to the point.
    Keep posting ok,, it may help lot of people who need spiritual guide.

    Well, I'd like to correct your grammar, ok.
    1. Just mistake that's fine, no need to use mistaken
    2.I'd like to following , actually, we don't use the ing form after to here, you have to use " like to follow ..." or like following.
    3. the same as #2 you can not use "ed form" after to
    but use hesitated to correct .....

    Take care,
    Boonhome

Tags for this Thread

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •