ระบบนักบินกล หรือการบินในระบบอัตโนมัติ (autopilot)
ระบบบินด้วยนักบิน กลหรือระบบอัตโนมัติในเครื่อง concorde สามารถทำงานแทนนักบินได้ในทุกแกนโดยระบบนี้จะช่วยในขณะที่บินขึ้นและทำการ ไต่ระดับ บินในระดับเดินทาง และลดระดับเพื่อร่อนลงจอดระบบนี้มีชื่อเรียกสั้นๆว่า afcs ซึ่งประกอบไปด้วยระบบควบคุมการบินอัตโนมัติและระบบปรับแรงขับดันอัตโนมัติ (autopilot / autothrst) โดยระบบการควบคุมพื้นผิวบังคับจะเป็นแบบอนาล็อคฟรายบายวาร์ยซึ่งมีการทำงาน ร่วมกันของระบบไฟฟ้ารวมถึงไฮดรอลิคและมีความคล้ายคลึงกันกับเครื่องบิน โดยสารในยุคปัจจุบันเช่น Airbus 320/330/340/และเครื่องบินโดยสารขนาดยักษ์ Airbus 380, Boeing 777-787 นอกจากระบบนักบินกลแล้ว Concorde ยังมีระบบสำรองเพื่อความปลอดภัยมารองรับอีกชั้นหนึ่งด้วย
ระบบปรับความดันภายในห้องโดยสาร
เมื่อความสูงเพิ่มขึ้นอากาศก็จะยิ่งเบาบางมากขึ้นไปด้วย เครื่องบินโดยสารทั่วไปที่มีระบบปรับความกดอากาศให้ผู้โดยสารสามารถหายใจได้ เป็นปกติจะถูกปรับไว้ในช่วงความสูง 5,000-8,000 ฟุต สำหรับเครื่อง Concorde กระจกของห้องโดยสารจะถูกลดขนาดให้เล็กลง โดยจะมีขนาดเท่ากับกระจกของเครื่องบิน boeing 707 เพื่อต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งและลดโอกาสที่จะเกิดความเสียหายจาก อุบัติเหตุจนทำให้กระจกแตกระหว่างการบินที่ระดับความสูงกว่า 60,000 ฟุต ซึ่งความสูงในระดับนี้จะเกิดแรงดันทั้งภายนอกและภายในตัวเครื่องถึง 10.7ปอนด์ต่อตารางนิ้ว
ระบบไฮดรอลิคของ Concorde
ประกอบไปด้วย ระบบหลักสองระบบและระบบสำรองยามฉุกเฉินอีกหนึ่งระบบโดยระบบไฮดรอลิคหลักใช้ ในการบังคับควบคุมท่าทางการบิน การกางล้อและเก็บฐานล้อ ระบบเบรค ระบบการบังคับทิศทางของล้อบริเวณส่วนหน้า(ล้อหัว) ระบบการปรับไวเซ่อร์ที่บริเวณหัวของเครื่องบิน ระบบการปรับรูปแบบของท่อนำอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์ และระบบปั้มแรงดันสูงเพื่อถ่ายโอนน้ำมันเชื้อเพลิงให้เข้าและออกในถังปรับ ศูนย์ถ่วงบริเวณท้ายเครื่อง โดยระบบไฮดรอลิคทั้งหมดสามระบบของเครื่อง Concorde ถูกปรับปรุงมาจากระบบไฮดรอลิคของเครื่องบินเดอฮาวิแลนด์โคเม็ตและเครื่องบิน ซุดคาราเวลล์ ซี่งเป็นเครื่องบินโดยสารเครื่องยนต์เทอรโบเจ็ตทั้งสองลำ
การปรับมุมบริเวณส่วนหัวของ Concorde
ปีกสามเหลี่ยมแบบโอจีของ Concorde มีอัตราส่วนการยกต่อแรงต้านทานค่อนข้างน้อยที่ความเร็วต่ำ หากเครื่องบินต้องบินด้วยความเร็วต่ำในช่วงการร่อนลงจอด เครื่องบินจะต้องบินด้วยการเปิดมุมปะทะสูงมาก จนส่วนหัวของเครื่องบดบังทัศนวิสัยของนักบิน (ระหว่างที่ร่อนลงจอด ตำแหน่งที่นั่งของนักบินจะอยู่สูงกว่าส่วนท้ายของตัวเครื่องกว่า 36ฟุตจากการเปิดมุมปะทะที่สูงมาก) ไวเซ่อร์ (visor)ที่ส่วนหัวจึงถูกออกแบบมาเพื่อสามารถปรับลดมุมลงได้ด้วยระบบไฮดรอลิค ในการบินทดสอบเครื่องต้นแบบ ส่วนหัวของตัวเครื่องบินจะสามารถปรับมุมลดลงได้ถึง 17.5 องศาแต่มุมที่หมาะสมสำหรับการปรับส่วนหัวเพื่อเพิ่มทัศนวิสัยของนักบินให้ อยู่ที่มุม 12.5 องศา การร่อนลงจอดของเครื่องบิน Concorde นั้นตัวเครื่องบินจะมีมุมปะทะสูงถึง 22องศา หากนักบินกำลังทำการร่อนลงจอดโดยมีความสูงจากพื้นดิน 100 ฟุต นักบินจะสามารถมองเห็นพื้น หรือระบบไฟบนรันเวย์ในระยะทางประมาณ 500 ฟุตท่านั้นเนื่องจากส่วนหัวของเครื่องบดบังการมองเห็นแม้นักบินจะทำการปรับ ไวเซ่อร์ช่วยแล้วก็ตาม นักบินที่บินกับเครื่อง Concorde ทุกนายจะต้องได้รับการฝึกในการปรับเปลี่ยนมุมส่วนหัวให้เกิดความชำนาญ ในสภาพการร่อนลงจอดที่จะแตกต่างไปจากเครื่องบินโดยสารแบบปกติก่อนที่จะขึ้น บินจริงกับเครื่อง Concorde
เทคโนโลยีการเดินอากาศอันทันสมัยมากมาย ถูกคิดค้นและบรรจุเข้าไปในเครื่องบิน Concorde ไม่ว่าจะเป็นปีกแบบโอจีสามเหลี่ยม ระบบแอนตี้สกิตของล้อทั้งหมดที่เป็นต้นแบบของเครื่องบินในยุคต่อมา (คล้ายระบบ absในรถยนต์) เครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ตพละกำลังมหาศาลของ โรลล์รอยล์ สเนกม่า โอลิมปัส 593 ระบบฟรายบายวาร์ยและทรัสบายวาร์ย ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวถึงนี้ถูกนำมาพัฒนาและติดตั้งลงในเครื่องบินโดยสารยุค ใหม่แทบทั้งหมด
Concorde ถูกสร้างขึ้นมาทั้งหมดเพียง 20 ลำเท่านั้น เครื่องต้นแบบ 6 ลำถูกใช้ในภารกิจการบินเพื่อการวิจัยและทดสอบสมถนะของโครงสร้างและอากาส พลศาสตร์ ส่วนอีก 14 ลำถูกสร้างขึ้นเพื่อบินในเชิงพาณิชย์ โดยมีเพียงสายการบินบริติชแอร์เวย์และสายกาารบินแอร์ฟรานซ์เท่านั้นที่ใช้ Concorde บินรับส่งผู้โดยสาย เส้นทางการบินของ Concorde ที่อยู่ในสายการบินบริติชแอร์เวย์และแอร์ฟรานซ์คือจากท่าอากาศยานฮีตโทรว์ หรือสนามบิน ชาร์ล เดอร์โกลไปยังท่าอากาศยานจอห์นเอฟเคนเนดี้ นิวยอร์ก, ท่าอากาศยานดัลลัส วอชิงตัน ดีซี เครื่อง Concorde ยังเปิดให้บริการเที่ยวบินแบบเช่าเหมาลำไปรอบโลก รวมถึงการบินตามเงาของดวงอาทิตย์ในขณะที่เกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาด้วย ความเร็วสูงสุดเพื่อให้ผู้โดยสารได้ชมปรากฏการณ์สุริยุปราคายาวนานมากยิ่ง ขึ้นในเที่ยวบินพิเศษ
วันอังคารที่ 25 กรกฏาคม คศ 2000 เวลา 16.44 นาฬิกาตามเวลาท้องถิ่งของประเทศฝรั่งเศล เครื่องบิน Concorde ของสารการบินแอร์ฟรานซ์หมายเลขทะเบียน F-BSC เที่ยวบินที่ AFR4590 มีสถานีต้นทางที่สนามบินนานาชาติชาร์ลเดอโกลไปยังสถานีปลายทางที่ท่าอากาศ ยานจอห์นเอฟ เคนเนดี้ ใช้ทางวิ่งขึ้นในรันเวย์หมายเลข 26 ในช่วงที่กำลังวิ่งขึ้น(เครื่อง Concorde ใช้ความเร็วในการบินขึ้นกว่า320กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ล้อของเครื่อง Concorde ได้วิ่งไปทับเศษอลูมีเนียมความยาวประมาณฟุตเศษที่หลุดออกจากเครื่อง DC-10 ที่ได้ทำการบินขึ้นไปก่อนหน้านี้ เศษอลูมิเนียมดังกล่าวทำให้ยางของฐานล้อใต้ปีกซ้ายของเครื่อง Concorde ระเบิดและเศษชิ้นส่วนของยางที่ระเบิดไปกระแทกเข้ากับปีกซ้ายซึ่งตรงกับ ตำแหน่งของถังเชื้อเพลิงหมายเลข 5 ความรุนแรงของการกระแทกส่งผลให้ถังเชื้อเพลิงแตกและมีเชื้อเพลิงจำนวนมาก รั่วออกมาฟุ้งกระจายและติดไฟ เครื่องยนต์หมายเลข1และ2ได้รับความร้อนจากเพลิงไหม้จนทำงานผิดปกติทั้งสอง เครื่อง เครื่องบิน Concorde บินขึ้นทั้งๆที่มีเพลิงลุกไหม้ที่ส่วนท้ายของปีกซ้ายทำให้โครงสร้างในบริเวณ นั้นได้รับความเสียหาย นักบินไม่สามารถทำการเก็บฐานล้อได้เนื่องจากประตูของฐานล้อซ้ายไม่ทำงาน กัปตันคริสติยอง มาร์ตี (christian marty) พยายามบังคับเครื่องเพื่อไปลงที่ท่าอากาศยานเลอบูเก้ซึ่งอยู่ใกล้กับท่า อากาศยานชาร์ลเดอโกมากที่สุด เครื่องยนต์หมายเลข1และ 2 สูญเสียกำลังในที่สุดเนื่องจากเพลิงไหม้ เครื่อง Concorde เชิดหัวสูงขึ้นและเอียง เนื่องจากแรงขับของเครื่องยนต์ทั้งสี่ไม่สมดุลกัน หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเครื่องยนต์หมายเลข 3-4 ก็มีกำลังลดลงอย่างรวดเร็วจากท่าทางการบินที่ผิดปกติ ทำให้อากาศเข้าสู่เครื่องยนต์น้อยเกินไป Concorde ตกกระแทกเข้ากับพื้นดินอย่างรุนแรงและชนเข้าไปในอาคารขนาดเล็กที่ใช้เป็น โรงแรม กัปตัน ลูกเรือและผู้โดยสารเสียชีวิตทั้งหมด 109 คน และทำให้มีผู้เสียชีวิตบนพื้นอีก 4 คน จากเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเครื่องบิน Concorde เพียงลำเดียวจากจำนวนทั้งหมด 20 ลำ (ซึ่งสาเหตุของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความบกพร่อง ล้มเหลวของระบบ หรือพบว่ามีความผิดพลาดใดๆกับตัวโครงสร้างและเครื่องยนต์ของมันทั้งสิ้น) ประกอบกับตัวเครื่องบินที่เหลืออยู่มีอายุการใช้งานยาวนานกว่า 30 ปี การบูรณะปรับปรุงโครงสร้างของเครื่องที่เหลืออยู่จะต้องใช้งบประมาณมหาศาล และปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงทำให้สายการบินทั้งสองจำเป็นต้องยุติเส้นทางการบินทั้งหมดและปลดระวางเครื่อง Concorde ทั้งหมดลงให้กลายเป็นเพียงตำนานแห่งความเร็วของการเดินทางบนอากาศ
วัน ที่ 26 พฤศจิกายน 2003 เครื่องบิน Concorde เที่ยวบินสุดท้ายของสายการบินบริติชแอร์เวย์ บินขึ้นจากสนามบินฮีตโทรว์และเข้าร่วมบินแบบเกาะหมู่กับฝูงบิน Red Arrows เพื่อทำการบินเป็นครั้งสุดท้ายไปยังสนามบินบริสตอล เครื่องConcorde และฝูงบิน Red Arrows บินวนในระดับต่ำบริเวณพื้นที่ทางตอนเหนือของลอนดอนเพื่อให้ผู้ชม มองเห็นมันในวาระสุดท้ายของการเดินทางโดยมีเครื่องบินขับไล่รุ่น British Aerospace Hawk ของฝูงบิน Red Arrows จำนวน 9 ลำบินแปรขบวนอย่างสวยงามอยู่เคียงข้างเครื่อง Concorde โดยมีท้องฟ้าสีครามสดใสในวันสุดท้ายของการสิ้นสุดเส้นทางอันยาวนานและจะเป็น ประวัติศาสตร์ของวงการบินพาณิชย์ตลอดไป
CONCORDE (1975-2004) SPECIFICATIONS
ประเภท: เจ๊ตโดยสารความเร็วเหนือเสียง นักบิน 2 คน เจ้าหน้าที่นำร่อง 1 คน พนักงานต้อนรับ 4 คน อัตราผู้โดยสาร 128 ที่นั่งเครื่องยนต์: เทอร์โบเจ๊ต โรลล์-รอยล์/สเนกม่า โอลิมปัส 593 หมายเลขรหัส mk 610 ให้แรงขับเครื่องละ 32,000 ปอนด์ และเพิ่มแรงขับอีก 20% เป็น 38,050 ปอนด์ เมื่อใช้การจุดสันดาปท้าย จำนวน 4 เครื่อง พร้อมเครื่องเก็บเสียง ฝาปิดเปิดแบบพิเศษ (ramp) และ อุปกรณ์กลับแรงขับ
ความเร็วสูงสุด............ มัค 2.04 (2,333 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)
พิศัยบิน........................7,250 กิโลเมตร
เพดานบินสูงสุด............60,000 ฟุต
อัตราการใช้เชื้อเพลิง....13.2 กิโลกรัม ต่อหนึ่งกิโลเมตร
กางปีก..........................25.60 เมตร
ยาว...............................62.17 เมตร
สูง................................ 12.19 เมตร
พื้นที่ปีก........................ 358.25 ตารางเมตร
น้ำหนักเปล่า.................78,700 กิโลกรัม
น้ำหนักบรรทุกปกติ.......11,340 กิโลกรัม
น้ำหนักบรรทุกสูงสุด.....12,700 กิโลกรัม
น้ำหนักวิ่งขึ้นสูงสุด........185,065 กิโลกรัม
น้ำหนักร่อนลงสูงสุด.....111,130 กิโลกรัม
อัตราเร็วเดินทางขั้นสูง..2.04 มัค (2,333กิโลเมตร/ชั่วโมง)
อัตราไต่ที่ระดับน้ำทะเล..1,525 เมตร
อัตราเร็ววิ่งขึ้น.............. 397 กิโลเมตร/ชั่วโมง
อัตราเร็วร่อนลง........... 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ระยะทางวิ่งขึ้นพ้น........ 10.7 เมตร: 3,410 เมตร
ระยะทางร่อนลงจาก.... 10.7 เมตร: 2,220 เมตร
Bookmarks