ไททานิค ตอน 2
วิเคราะห์ไททานิค โหราศาสตร์...
จากที่เล่าเรื่อง เรือสำราญ "ไททานิค" มาแล้วในตอนที่ 1
จะเห็นว่า
การเดินทางของ ไททานิก ครั้งแรก เริ่มการเดินทางที่ Southampton, England ในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1912 ควบคุมโดยกัปตัน Edward J. Smith เพื่อเดินทางไปยังนิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา ในการเดินทางครั้งนั้น มีผู้เดินทางรวมทั้งหมด 2,217 คน
คืนวันที่14 เมษายน เวลา 22.30 น. พนักงานวิทยุประจำเรือ "คาลิฟอร์เนียน"
ซึ่งกำลังติดอยู่ในกลุ่มก้อนน้ำแข็งห่างจากเรือไททานิก ได้ส่งสัญญาณเตือนภัยให้แก่เรืออื่นๆ ซึ่งกำลังเดินทางอยู่ในเส้นทางที่ใกล้เคียง ให้ระวังภัยที่อาจจะเกิดจากการชนภูเขาน้ำแข็งภายในบริเวณนี้
ขณะที่กำลังเรียกขานเรือ Titanic เพื่อแจ้งให้ระมัดระวังเหตุภัยพิบัตินี้เช่นกัน ก็ได้รับสัญญาณตอบกลับมาในลักษณะที่ไม่ค่อยสุภาพว่าให้หยุดเตือนเสียที เพราะสัญญาณเข้าไปรบกวนการทำงานของเขากับ Cape Race พนักงานวิทยุประจำเรือคาลิฟอร์เนียน จึงเลิกทำการติดต่อ
และ เวลาประมาณ 23.40 น. เรือไททานิก ได้พุ่งเข้าชนภูเขาน้ำแข็งซึ่งมีความสูงพ้นระดับน้ำทะเล 55-60 ฟิต ด้วยความเร็ว 25 น็อตครึ่ง ทำให้ตัวเรือแตก น้ำทะเลไหลท่วมท้นเข้ามาในตัวเรือมีระดับสูงกว่ากระดูกงู 14 ฟิต ภายใน 10 นาที แล้วไหลทะลักเข้าไปสู่ห้องต่างๆ อย่างรวดเร็วเป็นเหตุให้เรือเริ่มอับปาง ทางกราบขวาของหัวเรือเป็นจุดอ่อน ทนรอยแตกได้ไม่อึดเท่าจุดอื่นๆ ทำให้น้ำท่วมห้องเครื่องทั้ง 5 สูงขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อท่วมมิดชั้น F เริ่มไหลขึ้นชั้น E น้ำ จึงเข้าท่วมห้องเครื่องที่ 6 และท่วมไปทีละห้องๆ
เวลาประมาณ 04.20 น. เรือโดยสารขนาดใหญ่ชื่อ RMS Carpathia ได้เข้าไปช่วยเหลือผู้รอดชีวิตบนเรือบดทั้งหมด การอับปางของเรือ Titanic ครั้งนี้ เป็นเหตุโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ จากผู้โดยสารและลูกเรือ 2,217 ชีวิต รอดชีวิตเพียง 704 ชีวิต เสียชีวิตทั้งหมด 1,513 ราย ในจำนวนนี้มีมหาเศรษฐีอเมริกันรวมอยู่ด้วย
บทวิเคราะห์ตอนที่ 2 คือ การวิเคราะห์ตามหลักวิชา ทางโหราศาสตร์
ติดตามได้ดังนี้ นะคะ
การศึกษาวิเคราะห์ตามหลักวิชาโหราศาสตร์
ณ จุดพิกัดซึ่งเรือ "ไททานิค"
ประสบอุบัติเหตุชนภูเขาน้ำแข็งจนอับปาง
คือ Longitude 50o 14' W Lattitude 41o 27' N
ได้มีดาว พระเคราะห์ต่างๆ โคจรผ่านคือ ดาวอาทิตย์
ดาวจันทร์ ดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์ นอกจากนี้
ยังมีดาวพุธโคจรผ่าน และมีแนวเงาดำของคราส
หรือ ราหู พาดผ่านในเส้นทางที่ไม่ห่างไกลนัก
เมื่อพิจารณาตามความหมายของแต่ละพระเคราะห์แล้ว
ดาวอาทิตย์มีความหมายเกี่ยวกับอัคคีภัย
ดาวจันทร์ มีความหมายเกี่ยวกับน้ำ
การเดินทางทางน้ำ การผสมผสานความหมาย
ของดาวอาทิตย์กับดาวจันทร์จึงหมายถึงไอน้ำด้วย
ดาวพฤหัสบดีมีความหมายเกี่ยวกับเศรษฐี ความฟุ่มเฟือยหรูหรา
ดาวเสาร์มีความหมายเกี่ยวกับโศกนาฏกรรม ความมืด ความหนาวเย็น
น้ำแข็ง ภูเขาน้ำแข็ง ความทุกข์ทรมาน ความหวาดกลัว
ดาวพุธมีความหมายเกี่ยวกับกลุ่มชนที่ร่วม กิจกรรมเดียวกัน
ร่วมเคราะห์กรรมด้วยกัน
และราหูมีความหมายเกี่ยวกับลมพายุ
เมื่อได้ผูกเป็นดวงชะตาตามหลักวิชาแล้ว ดาวพระเคราะห์เหล่านี้ รวมทั้งราหู ยกเว้นดาวพฤหัสบดีจะเกาะกลุ่มรวมตัวกันอยู่ในเรือนที่ ๑๒ ซึ่งเป็นภพวินาศ
มีความหมายเกี่ยวกับการสูญเสีย การถูกจองจำกักกัน
ส่วนดาวพฤหัสบดีได้สถิตอยู่ในเรือนที่ ๖ ซึ่งเป็นภพเกี่ยวกับกิจการเดินเรือ
ประชาชนที่มีส่วนร่วมในการสูญเสีย ทำมุมเล็งประมาณ ๑๘๐ องศา
กับกลุ่มดาวดังกล่าว
ดังนั้น เมื่อนำเอาความหมายของดาวพระเคราะห์รวมทั้งราหู
และเรือนหรือภพที่เกี่ยวข้องทั้งหมด มาผสมผสานเข้าด้วยกันแล้วจึงเป็นคำตอบ และสามารถสร้างจินตนาการให้เห็นภาพที่ชัดเจนของเหตุการณ์
เรือเดินทะเลซึ่งมีลักษณะเป็นเรือสำราญขนาดใหญ่ มีผู้โดยสารเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นเศรษฐี ผู้มีชื่อเสียงเกียรติยศ (ดาวพฤหัสบดีสถิตอยู่ในเรือนที่ ๖)
ได้ประสบภัยพิบัติชนภูเขาน้ำแข็งในคืนที่หนาวเย็นและมืด (ดาวเสาร์)
น้ำทะเลที่ไหลทะลักเข้าไปในเรือ ได้ท่วมท้นเข้าไปในห้องเครื่องจนทำให้หม้อน้ำขนาดใหญ่ในเรือ และเตาเชื้อเพลิงซึ่งเป็นพลังสำคัญที่ใช้ในการ ขับเคลื่อนของเรือจำนวนมากเกิดระเบิด พ่นไอน้ำร้อนออกครอบคลุมไปทั่ว (ดาวอาทิตย์และดาวจันทร์)
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องร่ำไห้โหยหาขอความช่วยเหลือด้วยความหวาดกลัวภยันตราย (ดาวเสาร์)
ของผู้โดยสารที่ต้องประสบเคราะห์กรรมร่วม (ดาวพุธ)
จำนวนไม่น้อยไม่สามารถหนีรอดออกมาได้ เพราะถูกกักกันติดอยู่บนเรือ จนในที่สุดต้องถูกไอน้ำลวก และจมน้ำสูญเสียชีวิต (เรือนที่ ๑๒ )
ที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ ในวันที่เกิดสุริยคราสครั้งนี้
และในวันที่เกิดเหตุ ดาวพฤหัสบดีกำลังโคจรถอยหลัง
ซึ่งตามหลักวิชาดาราศาสตร์แล้วหมายความว่า
ดาวพฤหัสบดีกำลังโคจรเข้ามาใกล้โลกมาก จึงเป็นการเพิ่มอิทธิพลของคราสครั้งนี้ให้รุนแรงยิ่งขึ้น
ถึงแม้ว่า
สุริยคราสครั้งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๔ (ค.ศ.๑๙๑๑) ก่อนหน้าวันเกิดเหตุคือ วันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๕ (ค.ศ.๑๙๑๒) ประมาณ ๑ ปี ก็ตาม แต่ตามหลักวิชาโหราศาสตร์ไทย และฮินดูได้ระบุไว้ว่า สุริยคราสจะส่งอิทธิพลแสดงผลให้เห็นเป็นทุกข์โทษ หรือเป็นคุณได้ภายในเวลานานประมาณ ๑ ปี ถ้าเป็นจันทรคราสจะส่งอิทธิพลให้เห็นภายในเวลานานประมาณ ๓ เดือน ดังนั้น ในกรณีนี้ พิษของคราสจึงจะยังมีโอกาสแสดงผลให้เห็นได้ไปจนถึงปลายเดือนเมษายน พ.ศ.๒๔๕๕ (ค.ศ.๑๙๑๒) เป็นอย่างเร็ว
เป็นที่น่าสังเกตประการหนึ่ง ในวันที่เกิดสุริยคราสครั้งนี้ ปรากฏว่า มีดาวพระเคราะห์จับกลุ่มรวมกันอยู่ในราศีเมษรวม ๔ ดวง คือ ดาวอาทิตย์ ดาวจันทร์ ดาวพุธ และดาวเสาร์
ทั้งราศีเมษนี้ยังถูกเส้นทางของราหูพาดผ่านด้วย นอกจากนี้ กลุ่มดาวพระเคราะห์เหล่านี้ยังถูกดาวพฤหัสบดีที่สถิตอยู่ราศึตุลย์ทำมุมเล็งประมาณ ๑๘๐ องศา ซึ่งตามวิชาโหราศาสตร์ถือว่า ให้ผลเช่นเดียวกับการสถิตอยู่ในราศึเดียวกัน ทั้งดาวพฤหัสบดียังได้โคจรเข้ามาใกล้โลกมากด้วย ปรากฏการณ์ที่ดาวพระเคราะห์หลายดวงโคจรมาร่วมกลุ่มอยู่ในราศีเดียวกันในลักษณะนี้ มีอยู่เป็นประจำ
ในปี ค.ศ.๒๐๐๐ ก็จะมีปรากฏการณ์ในลักษณะนี้เช่นกัน จนทำให้เกิดความหวาดวิตกกันว่า โลกจะแตกเพราะอิทธิพลแรงดึงดูดของดาวพระเคราะห์ที่มาจับกลุ่มอยู่ในราศีเดียวกันในลักษณะนี้ ผมได้ตรวจสอบดูจุดที่ตั้งของดาวพระเคราะห์เหล่านี้ในท้องฟ้าโดยละเอียดแล้ว ปรากฏว่า มีดาวบางดวงมิได้อยู่ในระนาบ (Plane) เดียวกัน ทั้งยังมีระยะห่างระหว่างกันมากทีเดียว จึงเชื่อว่า โลกของเราจะประสบความวิกฤติกันถึงขนาดนั้นตามที่เล่าลือกัน หากโลกจะแตกจริงก็น่าจะเกิดขึ้นในปีที่เรือ "ไททานิค" อับปางมากกว่า
โลก และระบบสุริยจักรวาล ของเรานี้มีโอกาสที่จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ได้เหมือนกันตามทฤษฎีปรมาณูขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คงจะอีกเป็นหลายพันล้านปีข้างหน้า ตายแล้วเกิดใหม่อีกไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยชาติ โลกก็ยังไม่แตกดอก….
[yflash]http://www.youtube.com/v/DHyJTpDFgc8&hl=en&fs=1[/yflash]
ขอขอบคุณ board.bodinzone.com/view.php?id=6386
Bookmarks