อยากมีอาการหัวใส คิดอะไร... ปิ้ง ปิ้ง เชิญทางนี้



อยากมีอาการหัวใส คิดอะไร... ปิ้ง ปิ้ง เชิญทางนี้



คุณเป็นคนหนึ่งที่อยากมีอาการหัวใสคิดอะไร "ปิ๊ง ปิ๊ง"
ตอนทำงานทุกครั้งหรือเปล่าคะ ?



จริงๆ แล้วไม่มีใครอยากบื้อไบ้รับประทานหรอก
เวลาเจอโจทย์ยากๆ หรือแม้แต่คำถามง่ายๆ



อย่างนี้เราลองมาบริหารสมอง เพื่อให้เกิดอาการหัวใส
คิดอะไร ก็ ปิ้ง ปิ้ง.....กันดูซิว่าจะได้ผลตามที่คาดหวังหรือเปล่านะคะ




1. ประสานงานสมอง

การเขียนเลข 8 ในอากาศด้วยมือทั้ง 2 ข้างๆ ละ 5 ครั้ง
โดยเริ่มจากด้านซ้ายของเลขก่อน แล้วเขียนวนไปให้เป็นเลข 8
วิธีนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการอ่าน และการทำความเข้าใจดีขึ้น
และทำให้สมองด้านซ้ายและด้านขวาประสานงานกัน


2. น้ำเปล่าหล่อเลี้ยงสมอง

วางขวดน้ำไว้ใกล้ๆโต๊ะของคุณเป็นประจำ และคอยจิบทีละน้อย
วิธีนี้จะช่วยให้จิตใจและร่างกายของคุณตื่นตัวตลอดเวลา
และสมองก็จะเปิดว่าง สามารถรับสารหรือข้อมูลได้ดี
เพราะน้ำจะช่วยปรับสารเคมีที่สำคัญในสมองและระบบประสาท
ถ้าเวลาที่รู้สึกเครียด เพราะขาดน้ำ จึงควรจิบน้ำเพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำเพื่อไปหล่อเลี้ยงระบบของร่างกาย


3. นวดใบหูกระตุ้นความเข้าใจ

วิธีนี้ทำได้โดยการนั่งพักสบายๆ แตะปลายนิ้วทั้ง 2 ข้างที่ใบหู
เคลื่อนนิ้วไปยังส่วนบนของหู จากนั้นบีบนวดและคลี่รอยพับของใบหูทั้ง 2 ข้างออก
ค่อยๆเคลื่อนนิ้วลงมานวดบริเวณอื่นๆของใบหู ดึงเบาๆ เมื่อถึงติ่งหู ดึงลง
ให้ทำซ้ำกัน 2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นการได้ยิน และทำให้ความเข้าใจดีขึ้น
เพราะเป็นการคลายเส้นประสาทบริเวณใบหูที่เชื่อมสมอง


4. บริหารกล้ามเนื้อหัวไหล่

ให้มือซ้ายจับไหล่ขวา บีบกล้ามเนื้อให้แน่นพร้อมหายใจเข้า
จากนั้นหายในออกและหันไปทางซ้ายจนสามารถมองไหล่ซ้ายของตัวเอง
จากนั้นสูดลมหายใจลึกๆ วางแขนซ้ายลงบนไหล่ขวา พร้อมกับห่อไหล่
ค่อยๆ หันศีรษะกลับไปตรงกลางและเลยไปด้านขวา จนกระทั่งสามารถมองข้ามไหล่ของคุณได้ ยืดไหล่ทั้ง 2 ข้างออก ก้มคางลงจรดหน้าอกพร้อมกับสูดลมหายใจลึกๆ
เพื่อให้กล้ามเนื้อของคุณได้ผ่อนคลาย เปลี่ยนมาใช้มือขวาจับไหล่ซ้ายบ้างและทำซ้ำกันข้างละ 2 ครั้ง


วิธีนี้จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อตรงส่วนลำคอและไหล่ การได้ยิน, การฟัง
และช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อที่เกิดจากการนั่งโต๊ะทำงานเป็นเวลานานอีกด้วย


5. นวดจุดเชื่อมสมอง

วางมือข้างหนึ่งไว้บนสะดือ มืออีกข้างหนึ่งใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้วางบนกระดูกหน้าอกบริเวณใต้กระดูกไหปลาร้า และค่อยๆนวดทั้ง 2 ตำแหน่งประมาณ 10 นาที
วิธีนี้จะช่วยลดความงงหรือสับสน กระตุ้นพลังงานและช่วยให้มีความคิดแจ่มใส


6. บริหารขา

โดยการยืนตรงให้เท้าชิดกัน ถอยเท้าซ้ายไปข้างหลัง
โดยยกส้นเท้าขึ้น งอเข่าขวาเล็กน้อยแล้วโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย
ก้นของคุณจะอยู่ในแนวเดียวกับส้นเท้าขวา สูดลมหายใจเข้าและผ่อนออก
ในขณะที่ปล่อยลมหายใจออกนี้ ค่อยๆกดส้นเท้าซ้ายให้วางลงบนพื้นพร้อมกับงอเข่าขวาเพิ่มขึ้น

หลังเหยียดตรง สูดลมหายใจเข้าแล้วกลับไปตั้งต้นใหม่อีกครั้ง เปลี่ยนจากขาข้างซ้ายเป็นข้างขวา

โดยออกกำลังในท่านี้ทั้งหมด 3 ครั้งด้วยกัน การบริหารท่านี้เหมาะสำหรับการปรับปรุงสมาธิ

รวมทั้งช่วยเพิ่มความเร็วในการอ่านหนังสือ และยังช่วยให้กล้ามเนื้อต้นขา และกล้ามเนื้อน่องผ่อนคลายอีกด้วย


7. กดจุดคลายเครียด

ใช้นิ้ว 2 นิ้ว กดลงบนหน้าผากทั้ง 2 ด้าน ประมาณกึ่งกลางระหว่างขนคิ้ว และตีนผม
กดค้างไว้ประมาณ 3-10 นาที วิธีนี้จะช่วยคลายความตึงเครียดและเพิ่มการหมุนเวียนโลหิตเข้าสู่สมอง



8. บริหารสมองด้วยการเขียน

เขียนเส้นขยุกขยิกด้วยมือทั้ง 2 ข้าง พร้อมๆ กัน
ลายเส้นที่เขียนอาจจะดูเพี้ยนๆ แต่ได้ผลดีต่อระบบสมองเป็นอย่างดีทีเดียว
วิธีนี้จะช่วยให้เกิดการปรับปรุงการประสานงานของสมอง ด้วยการทำให้สมองทั้ง 2 ซีกทำงานพร้อมกัน
และเพิ่มความชำนาญด้านการสะกดคำและคำนวณดีและรวดเร็วขึ้นอีกด้วย

.............................................................

การบำรุงรักษา และฝึกฝนสมอง

การพัฒนาของสมองจะมีมากที่สุดในช่วงที่ยังเป็นเด็กเล็ก และอัตราการพัฒนาของสมองจะค่อยๆ ลดลงเมื่ออายุมากขึ้น การบำรุงรักษาสมองให้ดี สามารถทำได้โดยการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสมองและเซลล์ประสาท เช่น พืช ผักและผลไม้ที่มีวิตามิน B1 วิตามิน B6 และวิตามิน B12 ที่มีในข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง


นอกจากนี้ มีหลักฐานจากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากใบแปะก๊วย
จะสามารถช่วยบำรุงเซลล์ประสาทให้ทำงานได้ดี รักษาความจำให้ดีขึ้นได้


ในทางตรงข้าม การดื่มเหล้า เบียร์ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
หรือยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท เช่น ยากล่อมประสาท ยาบ้า
จะมีผลต่อการทำงานของเซลล์ประสาท หรือระบบประสาททำให้เซลล์ประสาททำงานผิดปกติ และทำให้มีความรู้สึกนึกคิดที่ผิดปกติ เช่น

เห็นภาพหลอน ได้ยินเสียงหลอนและทำให้แสดงพฤติกรรมที่ผิดปกติได้
สำหรับผู้ใหญ่วัยกลางคน หรือผู้สูงอายุ การรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ


และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดอัตราการเกิดโรคความดันโลหิตสูง
และโรคเบาหวาน อันจะนำไปสู่การป้องกันการเกิดโรคสมองขาดเลือด

การฝึกฝนความจำทั้งความจำระยะสั้น และระยะยาว การฝึกฝนการคิดคำนวณ
การฝึกความคิดสร้างสรรค์อย่างสม่ำเสมอ
จะช่วยเพิ่มเส้นใยประสาทของเซลล์ประสาทให้มีการเชื่อมโยงถึงกันมากขึ้น


พร้อมกันนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีที่บรรจุอยู่ที่ปลายประสาทให้มีมากเพิ่มขึ้นด้วย


มีหลักฐานงานวิจัยประมาณไว้ว่า สมองของมนุษย์มีประมาณ 1,000,000,000,000 เซลล์ (หนึ่งล้านล้านเซลล์) และแต่ละเซลล์อาจเชื่อมโยงกับเซลล์ประสาทอื่นๆ อีกประมาณ 80,000 - 100,000 เซลล์ ความเชื่อมโยงของเซลล์ประสาททั้งหมดในสมองมีอยู่จำนวนมหาศาลคือประมาณ 1 แล้วตามด้วยเลขศูนย์ประมาณ 800 ตัว (10800) !


ดังนั้น พอจะอนุมานได้ว่า พลังสมองที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน
เป็นเพียงพลังสมองที่คิดเป็นเศษเสี้ยวของพลังสมองทั้งหมดที่มีอยู่

ศักยภาพของสมองมนุษย์มีอยู่มากมายมหาศาล
และพลังของสมองนั้นไม่มีขอบเขตจำกัด

....................................................

อาหารบำรุงสมอง


อาหารมีความสำคัญต่อการพัฒนาสมอง ไม่แพ้การพัฒนาทางร่างกายเป็นความจริง ที่ยอมรับกันโดยทั่วไป


ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย จึงปรนเปรออาหารการกินให้กับลูกๆ ด้วยหวังว่าอาหารเหล่านี้ จะทำให้ความคิดแล่นความจำดีสมองโปร่งใสทำให้ลูกเฉลียวฉลาดได้
อาหารที่เชื่อกันว่าช่วยบำรุงสมองมีอยู่หลายอย่าง เช่น

เนื้อสัตว์ นม ไข่ น้ำซุปไก่เป็นต้น แต่ที่ขึ้นชื่อที่สุดเห็นจะเป็นปลา


ผู้ใหญ่มักให้เด็กกินปลา โดยอ้างว่าปลาบำรุงสมอง กินปลาแล้วจะฉลาดขึ้น
และถ้ากินหัวปลาได้ จะยิ่งฉลาดเข้าไปใหญ่ หากอาหารสามารถบำรุงสมองได้จริงเช่นนั้น เชื่อว่าเด็กส่วนใหญ่ในประเทศไทยคงไม่สอบตก


ฉะนั้นจะหวังให้อาหารช่วยให้ฉลาดขึ้นคงจะเป็นไปไม่ได้เพราะอาหารช่วยบำรุงสมองได้
ในระยะที่สมองเติบโต หรือในระยะเริ่มแรกของชีวิตเท่านั้น เมื่อเด็กเข้าโรงเรียนสมองเติบโตเต็มที่เสียแล้วไม่ว่าจะทำนุบำรุงเรื่องอาหารเพียงใดก็ย่อมไม่ทำให้เฉลียวฉลาดขึ้น ความเฉลียวฉลาดของแต่ละคน


ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ ถึงกรรมพันธุ์จะเป็นตัวกำหนด ขีดขั้นตอนสติปัญญา แต่เด็กมักจะมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเต็มขั้นตามกรรมพันธุ์กำหนดหรือไม่ ยังขึ้นอยู่กับอาหารที่คุณแม่รับประทานในช่วงตั้งครรภ์และอาหารที่ลูกกินในช่วงแรกของชีวิต

ถ้าหากในช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ คุณแม่รับประทานอาหารครบห้าหมู่และ
มีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เซลล์สมองของลูกจะสามารถเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่เป็นรากฐานที่มั่นคง เมื่อได้รับการศึกษาได้เล่าเรียนฝึกฝนก็ย่อมมีโอกาสที่จะมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดได้เต็มขั้นตามที่กรรมพันธุ์กำหนด
ตรงกันข้าม เมื่อขาดแคลนอาหารทั้งในปริมาณ และคุณภาพเซลล์สมองไม่อาจเจริญเติบโตอย่างเต็มที่


เมื่อสมองหยุดเจริญเติบโตแล้วจำนวนเซลล์สมองของเด็กเหล่านี้
อาจน้อยกว่าเด็กที่ได้รับอาหารอย่างเพียงพอถึงร้อยละ 15 ถึง 20 อาการซึมเศร้า และเชื่องช้าที่ปรากฏภายนอกเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นผลของจำนวนเซลล์ที่น้อยกว่าปกติ แม้จะได้รับการศึกษาเล่าเรียน มีโอกาสได้รับการฝึกฝนเท่าเทียมกับเด็กคนอื่น ก็ไม่อาจมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเต็มขีดขั้นที่กรรมพันธุ์กำหนดได้

หรืออีกนัยหนึ่งถึงพ่อแม่จะฉลาดหลักแหลมเพียงใดลูกก็ไม่มีโอกาสฉลาดเท่าเทียมพ่อแม่ได้ ฉะนั้นจึงสรุปได้ว่า อาหารมีอิทธิพลต่อการพัฒนาของสมองตั้งแต่ก่อนเด็กเกิด



นับตั้งแต่ปฏิสนธิขึ้นในครรภ์ของแม่เลยทีเดียว อาหารบำรุงสมองของเด็ก
จึงเป็นอาหารในระยะตั้งครรภ์ของแม่ และอาหารของเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 1-2 ปี

ในขณะคุณแม่ตั้งครรภ์ จึงควรเอาใจใส่อาหารการกิน อย่างน้อยที่สุดต้องกินให้ครบห้าหมู่ เพิ่มอาหารที่ให้โปรตีนสูง ได้แก่ ไข่ เนื้อสัตว์ และนม

ถ้าหากมีรายได้น้อยอาจพึ่งโปรตีน จากถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเหลือง เป็นต้น


ถ้าคุณแม่บางรายกินนมวัวไม่ได้ ก็ควรเลี่ยงไปกินนมถั่วเหลืองแทน
อาหารบำรุงสมองที่ดีที่สุดของทารกแรกเกิด คือนมแม่

เมื่อเด็กอายุครบ 4 เดือนแล้ว คุณพ่อคุณแม่ ควรให้อาหารอื่นเพิ่มเติม
ไม่ใช่เฉพาะข้าวกับกล้วยเท่านั้น ควรหัดให้เด็กกินไข่ เนื้อปลา ผักและผลไม้ต่าง ๆ
และถือโอกาสปลูกฝังนิสัยการกินอาหารที่ดีเสียแต่เนิ่น ๆ



ข้อมูลจาก โภชนาการดี ชีวีมีสุข กองโภชนาการ กรมอนามัย