๒. วัยสาว
ลมหายใจแห่งรักกลิ่นหอมกรุ่นเหมือนกลิ่นข้าวหอมดอกมะลิ ความสมหวังในรักดุจดวงตะวันอันเจิดจรัส สาดแสงสุกอร่ามอวลอุ่นในยามเช้า ยามค่ำคืนฟ้างามระยับพราวด้วยแสงตะเกียงเงินของดวงดาว แม้ในคืนเดือนเพ็ญ... แสงโคมทองยังโชยกลิ่นหอมเย็น ละไมละมุนมาสู่ดวงใจแม่ยามนิทราฝัน
ในวัยสาว...แม่ของฉันงดงามด้วยวัตรปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมที่คุณยายนวน อบรมพร่ำสอนมิบกพร่อง แม่จึงบริบูรณ์ด้วย เรือน ๓ น้ำ ๔
เรือนผมแม่ดกดำงามหยักศกหอมเหมือนนางผมหอมในนิทาน ยามเช้าเย็นแม่ชอบเข้าเรือนครัวไฟ นึ่งข้าว ทำอาหารรสชาติแสนอร่อย เมื่อว่างเว้นจากงานนา งานเย็บปักถักร้อย แม่ก็ปัดกวาดบ้านถูเรือนสะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอ
โอ่งดินน้ำกิน โอ่งใหญ่น้ำใช้ แม่ไม่เคยปล่อยให้แห้งขอด อีกทั้งน้ำเต้าปูนของคุณยายแม่ก็คอยเติมเต็มตลอดเวลา สิ่งสำคัญที่แม่มีอย่างเอ่อล้นดวงใจ ก็คือน้ำใจอันโอบอ้อมอารีต่อญาติพี่น้องและคนรอบข้างนั่นเอง
แม่เล่าถึงความประทับใจ ตอนที่ปู่นำขันหมากพลู และขันเงินไขปากไขคอมาสู่ขอแม่กับคุณตาสวงคุณยายนวน แม้ในขันมีเงินเพียง ๓ บาท คุณตาคุณยายก็ยินดีเอื้อมมือรับขันเงินนั้น พอถึงวันกินดองฤกษ์ดี เรือนไม้ที่เงียบเหงาก็คึกครื้นขึ้นมาทันที ยายนวนเตรียงพาขวัญพานบายศรี และเครื่องสมมาไว้อย่างพร้อมพรั่ง รอคอยขันหมากจากเมืองยศ วันแต่งงานเป็นวันที่แม่สวยที่สุด แม่แทบไม่ต้องแต่งหน้าเลย เพราะแม่สวยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผิวพรรณแม่ละเอียดขาว ผมดำหยักศกสวย ดวงตาแจ่มใสบ่งแววฉลาด วันนั้นแม่ใส่ชุดที่แม่ทอและตัดเย็บเอง พาดสไบแพรวาสีขาวพิสุทธิ์
ใจแม่เต้นแรงด้วยความตื่นเต้น เมื่อขบวนแห่ขันหมากเดินทางมาถึงหัวกะไดเรือน คุณยายกลมอุ้มขันเงินนำหน้า มีหญิงสาว ๒ คนอุ้มขันหมากและขันเหล้ายา ถัดไปคือเจ้าบ่าวและญาติพี่น้องแห่แหนตามหลังมา
ยายทองก้อนยืนขวางบันไดเรือนร้องถามว่า
“ แม่นหมู่เจ้าพี่น้อง สิพากันไปไส มาหลายคักแท้น้อ”
“ มาตั้งต่อหาบ้านดินดำน้ำชุ่ม มีซุมพี่น้องผองเชื้ออยู่เย็น เป็นบ่อนอยู่นางแก้ว แนวมั่นเป็นขวัญเฮือนนี่ละ”
คุณลุงคำตันร้องตอบ
“ ประสงค์สิ่งใดคือมุ่งหน้ามาเฮือนนี้ ”
“ ใจประสงค์นางแก้วมาเป็นคู่เคียงขวัญ แล้วสิพากันสร้างทางเฮือนฮุ่งไปหน้า”
“ คั่นแม่นปองจั่งซั่น ขันเงินคำกำแก้วแนวค้ำคูณได้มาบ่ ”
“ ได้เทิงเงินคำกำแก้ว แนวมีค่าให้มาเหมิด ป่องข้อยข้าม้าใช้ หญิงชายบ่อึดอยาก หากยังได้นองางามมาค้ำคูณพุ้นแหล่ว ”
“ เออ...คั่นได้จังซั่น กะเชิญขึ้นหอก้ำ หอคำได้”
จบคำ ยายทองก้อนก็หลีกทางให้ขบวนขันหมากขึ้นบันไดเรือน สองเท้าพ่อย่างเหยียบบนก้อนหินรองใบตองกล้วย เด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งตักน้ำมาล้างเท้าให้พ่อ ก่อนก้าวขึ้นชานเรือน คุณยายกลมมอบขันหมากให้คุณตาสวงยายนวน พ่อนั่งลงเคียงข้างแม่เข้าพิธีบายศรีสู่ขวัญ แล้วผู้เฒ่าผู้แก่ก็ผูกแขนบ่าวสาว คุณยายทองก้อนหยิบไข่ไก่จากพาขวัญ ใช้เส้นผมตัดแบ่งครึ่งยื่นให้คู่บ่าวสาวป้อนกันและกัน
จากนั้นพ่อก็นำดอกไม้ธูปเทียนไปไหว้สมมาคุณตาสวงยายนวน
แม่นำหมอน ผ้าโสร่งไหม มาสมมาปู่ ซิ่นไหมผ้าสไบไหว้สมมาย่า ญาติพี่น้องฝ่ายพ่อได้รับหมอนและผ้าข้าวม้าคนละผืน...
พ่อหอบฝันอันบรรเจิดจากเมืองยศ ( ยโสธร ) มาแบ่งปันให้แม่ครอบครองเต็มดวงใจ
หลังจากแต่งงานแล้ว แม่ได้เปลี่ยนนามสกุล พลเยี่ยม เป็นนามสกุล โคตรพันธ์ ตามสกุลพ่อ แปลกต่างจากนามสกุลคนในหมู่บ้าน ซึ่งมีเพียง พลเยี่ยม และ แวงวรรณ เท่านั้น
พี่ชายของแม่ ๒ คน คือ คุณลุงกูด คุณลุงรอด แต่งงานออกเรือนไปเลี้ยงพ่อตาแม่ยายเฒ่าหลายปีแล้ว พี่สาว ๓ คน คือ คุณป้าบุญสวน คุณป้าปัด แต่งงานออกเรือนไปเลี้ยงปู่เลี้ยงย่าเฒ่าแล้วเช่นกัน ส่วนคุณป้าบัวแต่งงานกับคุณลุงเข็ง นาเมืองรักษ์ กำลังปลูกเรือนใหม่กลางสวนกล้วยแม่ใหญ่ทุมมา
ขนบธรรมเนียมชาวอีสาน เมื่อเขยใหม่ย้ายเข้ามาอยู่เรือนกับพ่อตาแม่ยาย เขยเก่าต้องขยับขยายออกเรือนไปตามวาระ ไม่ต่างกับมดปลวกงอกปีกบินขึ้นชมปวงดาวบนฟากฟ้าในคืนแรม พ่อแม่จะแบ่งปัน “มูลมัง” วัวควายไร่นาให้ลูกทำกินเลี้ยงชีพตามสมควร
วิถีชีวิตชาวนา...ทุ่งข้าวเปรียบดังอ้อมอกมารดา สายฝนหลั่งรินดุจหยาดเหงื่อบิดาที่รวยรดท้องทุ่งให้ชุ่มฉ่ำอุดมสมบูรณ์ ทุ่งข้าวขาดฝนไม่ได้ฉันใด ชีวิตครอบครัวก็ขาดแม่และพ่อไม่ได้ฉันนั้น
รูปรอยอดีตปริเปี่ยมในห้วงทรงจำของฉัน คำบอกเล่าของแม่นั้นช่างแจ่มกระจ่างนัก...
บ้านของครอบครัวตาสวงเป็นเรือนใหญ่มีเกย เครื่องเรือนสับฝากระดาน มุงหลังคาด้วยแผ่นไม้เกล็ด ชานแดดยื่นออกไปด้านหน้า ริมชานสร้างร้านแอ่งน้ำ วางโอ่งดินเรียงรายไว้ดื่มกินยามพักผ่อน ร้านแอ่งน้ำน้อยมุงหลังคาไม้เกล็ดกันแดด ด้านข้างโล่งลมโกรกโอบชุบน้ำในโอ่งดินเย็นฉ่ำ น้ำฝนใสเย็นตักดื่มด้วยกระบวยกะลามะพร้าว กลิ่นหอมชื่นใจจนไม่รู้จักอิ่ม
ด้านข้างชานแดดต่อเติมเรือนครัวไฟขนาดสองห้องเสาทอดออกไป
ตอนที่ฉันฟังแม่เล่าฉันยังเด็กนัก นึกภาพไม่ออกว่า เรือนครัวไฟหน้าตาเป็นเช่นไร มีปล่องควันด้วยหรือเปล่า
แม่อธิบายว่า เรือนครัวไฟตามบ้านไม่มีปล่องควันโขมงเหมือนโรงสีไฟ แต่มี “ป่องเอี้ยม” ช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ เปิดแง้มออกใช้ไม้ค้ำยัน สำหรับระบายควันเวลานึ่งข้าวเหนียวและปรุงอาหาร คืนหนาวใด...หนาวเหน็บเนื้อนอนไม่หลับ คุณตาคุณยายจะชวนลูกๆ ออกมานั่งล้อมวงผิงไฟในเรือนครัวไฟ ซึ่งมี “แม่เตาไฟ” บันดาลไออุ่นแก่เด็กๆ
บางดึกท้องร้องขออาหาร คุณยายนวนจะเปิดกระติบข้าวเหนียว ปั้นข้าวโรยเกลือเสียบไม้ไผ่ อังไฟจนห่ามหอม แล้วทาไข่ไก่เหลืองนวลทั้งปั้น
คุณตาสวงเป็นนักเล่านิทานอารมณ์ดี มีนิทานก้อมสนุกๆให้เล่าอยู่เต็มพุง เมื่อลูกหลานรบเร้าขอฟังนิทานเสียงแจ้วๆ คุณตาก็ไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้ เมื่อผู้เป็นพ่อแย้มยิ้ม เด็กๆ ใจเต้นเป็นสุขล่วงหน้าแล้ว ท่านหยิบใบตองกล้วย ยาเส้น จากเซี่ยนหมาก มาพันบุหรี่มวนโต จุดสูบพ่นควันโขมงรื่นรมย์ก่อนเล่านิทาน คุณตาชอบเล่าเรื่องสามเกลอ เพราะมีเรื่องราวให้เล่าหลายตอน เช่น ตอนสามเกลอหัวขโมย คุณตาเล่าว่า มีชายสามคนเป็นเพื่อนรักกันมาก ไปไหนไปด้วยกัน ชายคนแรกหูหนวก คนที่สองตาบอด คนที่สามขาเป๋เป็นใบ้ คืนหนึ่ง สามเกลอปรึกษากันว่าจะไปขโมยไก่ที่บ้านตาสีหูตึง โดยมอบหมายให้ชายหูหนวกปีนเข้าไปในเล้าไก่ ชายตาบอดเป็นคนบอกลักษณะไก่ ชายขาเป๋มีหน้าที่เฝ้าดูต้นทาง
“ เอาไก่ตัวผู้หรือตัวเมีย ” ชายหูหนวกตะโกนถาม
“ ตัวผู้ ”
ชายตาบอดร้องตอบ ชายหูหนวกไม่ได้ยิน จึงตะโกนย้ำถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“ เอาตัวเมียแม่นบ่ ”
“ บ่แม่น เอาตัวผู้”
“ เอาตัวเมียแม่นบ่ ”
“ อย่าเสียงดังหลาย บักหนวก”
“ เอาตัวเมียแม่นบ่...เอาตัวเมียเน๊าะ”
เสียงตะโกนโต้ตอบของชายหูหนวกกับชายตาบอด ปลุกตาสีหูตึงตื่นขึ้นมา งัวเงียเข้าใจผิดคิดว่ามีคนลอบขึ้นมาเป็นชู้กับเมีย จึงร้องตวาดด้วยเสียงรันทดในราตรีอันมืดมิดว่า
“ ไปเฮือนอื่นซะเด้อ เมียกูตายนานแล้ว...”
ชายตาบอดกับชายหูหนวกตกใจ คิดว่าเจ้าของบ้านจะลงมาทำร้าย จึงอุ้มไก่ตัวเมียวิ่งเตลิดไปไม่คิดชีวิต ชายขาเป๋วิ่งตามเพื่อนไม่ทัน จึงถูกเจ้าของบ้านไล่จับได้
แต่ตาสีหูตึงสอบถามเอาความกับชายใบ้ไม่ได้เรื่องเลย
นิทานก้อมก็จบลงเพียงนี้...
ฉันยอมรับว่าคุณตาสวงเล่านิทานสนุกกว่าฉันมากนัก พวกลูกๆ ถึงล้อมวงนั่งฟังนิทานที่คุณตาเล่าได้ทุกคืน
กลับมาตามรอยคำของแม่ต่อไปดีกว่า
แม่เล่าว่าพ่อทำนาไม่เป็น...
ที่เมืองยศ พ่อมีอาชีพหมักปลาร้าขาย ปลามากมายในแม่น้ำชีถูกจับขึ้นมาทำปลาร้า หมักไว้ในโอ่งลายมังกร ปลาช่อนตัวเขื่องหมักข้ามปี จนเนื้อปลาเปลี่ยนเป็นสีแดงนุ่มได้ที่ กลิ่นจะหอม รสชาติกลมกล่อมมาก ปู่บรรทุกปลาร้าใส่เกวียนขนมาขายที่เมืองแวงปีละครั้ง นอกจากปลาร้าแล้ว ปู่ยังนำแหวนเงิน กำไล เข็มขัดนาค ติดมือมาขายด้วย
บางปีพ่อก็เดินทางมาค้าขายกับปู่ พ่อรูปร่างสำอางสันทัด เนื่องจากชีวิตสุขสบายไม่เคยลำบากตรากตรำมาแต่เล็ก
เมื่อพ่อมาเป็นลูกเขยคุณตาสวง พ่อไม่นิ่งดูดาย ฝึกไถคราดนา ปักดำข้าวกล้า ด้วยความขยันขันแข็ง ว่างเว้นจากฤดูทำนาก็ช่วยคุณตาขุดร้างถางพง ตัดฟืนขนมาเก็บใต้ถุนเรือน นึ่งข้าวปรุงอาหารในฤดูฝน และก่อไฟผิงในฤดูหนาว
ทุกเช้ามืดแม่จะปลุกน้องสาวลุกขึ้นมาตำข้าวครกกระเดื่องข้างยุ้งฉาง พอฟ้าสางจึงชวนกันไปตักน้ำที่หลังวัดโพธิ์ร้อยต้น ระยะทางห่างจากบ้าน ราว ๓ กิโลเมตร บ่อน้ำกินแห่งนี้ได้ชื่อว่ารสชาติดีที่สุดในตำบลโพธิ์ทอง มีเรื่องเล่าขานกันว่า ครั้งหนึ่งเจ้าเมืองร้อยเอ็ดมาตรวจราชการที่เมืองแวง แล้วแวะมานมัสการหลวงปู่แพง ได้ดื่มน้ำบ่อหลังวัดที่ชาวบ้านตักมาต้อนรับ เกิดติดอกติดใจ ถึงกับดำริให้ขนน้ำใส่เกวียนกลับไปที่จวนเจ้าเมืองด้วย
พอแสงสายสาดจ้า ลูกสาวในครอบครัวออกไปเก็บดอกฝ้ายมาปั่นด้าย ทอผ้าใต้ถุนเรือน
คุณยายนวนไม่ส่งเสริมให้ลูกๆ ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม เพราะกว่าจะได้ใยไหมสวยงาม ตัวดักแด้ไหมมากมายต้องตายในหม้อน้ำร้อน ส่วนลูกชายก็ออกไปทอดแหหาปลา ขุดร้างถางพงปลูกข้าวโพด ฟักแฟงแตงกวา
เรื่องที่แม่เล่าวาบขึ้นในทรงจำของฉันเป็นฉากเป็นตอน ขับเคลื่อนเรื่องราวดำเนินไปราวภาพยนตร์ย้อนยุคฉายซ้ำ
สมัยก่อนผืนดินป่ากว้างยังไม่มีกรรมสิทธิ์ ใครต้องการที่ดินตรงไหน ก็ปักเขตผูกหญ้าแฝกหมายไว้กับต้นไม้ หรืออาจใช้คมขวานถากเปลือกไม้จับจองเป็นเจ้าของ ญาติพี่น้องมักจับจองที่ดินใกล้ๆ กัน แล้วบุกเบิกแผ่ขยายออกไปกว้างไกลเท่าที่สองแขนและเรี่ยวแรงจะเอื้อมถึง ผืนป่าแล้งดินแดงไม่ค่อยมีคนจับจอง คุณตาสวงยายนวนชวนลูกๆ ขุดถางพงป่าหนามเล็บแมว ต้นติ้ว ต้นหนามแดง ถางเผาแล้วหยอดเมล็ดข้าวโพด ฟักทอง ถั่วพุ่ม แตงค้าง จากนั้น เฝ้ารอคอยน้ำค้างหยาดฝนชุ่มฉ่ำจากฟากฟ้า หากเป็นพื้นที่ลุ่มจะขุดคูคันนาเป็นแปลงเล็กแปลงน้อย ไถกลบหมักหญ้าและปุ๋ยคอก ปลูกข้าวเหนียวพันธุ์ฮวงช้าง รวงข้าวใหญ่เม็ดหอมหวนยามนึ่งสุกใหม่ กลิ่นหอมไกลจากหัวบ้านถึงท้ายบ้าน กรุ่นหอมยิ่งกว่าข้าวหอมดอกมะลิ ข้าวฮวงช้างกินอิ่มท้องนาน แม้เพียงลิ้มรสปั้นข้าวเปล่าโรยเกลือ
ดูเหมือนว่า พ่อไม่อยากได้อยากมีในที่ดินไร่นามากมายเหมือนลุงป้า ร่างกายพ่อไม่แข็งแรงทรหดทนแดดฝนเฉกเช่นเขยอื่น ไร่นาที่ปู่ย่าตายายบุกเบิกไว้ให้ลูกหลาน กว้างใหญ่ไพศาลเกินกำลังที่พ่อจะบุกบั่นฟันฝ่าต่อไป พ่อบอกกับแม่ว่ายามออกเรือนอย่าเรียกร้องที่ดินไร่นามากหลาย พ่อทำนาหามรุ่งหามค่ำไม่ไหว ขอแค่พื้นที่นาลุ่มเพียงพอกำลังทำกินในครอบครัวเท่านั้น
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วแม่ไม่ขัดใจพ่อ ไม่เคยว่ากล่าวให้พ่อน้อยใจสักครา แม่เคารพบูชาผู้ชายที่แม่เลือกมาเป็นสามีดุจเดียวกับพ่อบังเกิดเกล้า
มีเพียงเรื่องเดียวที่แม่ไม่เห็นด้วยกับพ่อ คือเรื่องที่พ่อวาดฝันจะเปิดร้านตัดเย็บ ให้แม่รับเย็บผ้าที่เมืองแวง ส่วนพ่อจะค้าขายของชำ ทว่าแม่ไม่อยากทอดทิ้งคุณตาคุณยายไปก่อร่างสร้างตัวในเมือง แม่รักบ้านเกิด...อยากอยู่ใกล้ชิดญาติพี่น้อง
พ่อจึงเปลี่ยนความคิด ปรารภกับแม่ว่า จะสร้างบ้านหลังใหม่บนที่ดินของเรา สำหรับลูกๆ ที่จะเกิดมาในอนาคต
Bookmarks