อยากให้ลูกของท่านสมองใสใหม่สดเชิญทางนี้จ้า
สวัสดีค่ะ
มาวันนี้หลังจากที่ปิดภาคเรียนมานาน สิบกว่ากัน
ก็ได้พักผ่อนบ้างพอสมควรนะคะ
และก็พบว่ามีหลายๆ คนได้พักผ่อนกาย พักผ่อนใจ พักผ่อนสมอง
บางคนก็ยังไม่ได้ พักผ่อนกาย พักผ่อนใจ พักผ่อนสมอง
แต่ถ้าเหนื่อยกายเค้าบอกให้พักกาย เหนื่อยใจเค้าบอกให้ทำใจ
หนักสมองเค้าให้ผ่อนคลาย โดยการมองไปรอบๆๆตัว มองธรรมชาติ
มองทุกสิ่งด้วยความไม่ตรึงเครียด แล้วเราก็จะพบว่า
ธรรมชาติพยายามสร้างสิ่งต่างๆ ด้วยองค์ประกอบที่เหมาะสมเสมอ
และถ้าหากคนเราประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ จริงๆ แล้วละก็
แสดงว่าธรรมชาติฉลาดมากๆ
เพราะธรรมชาติจะทราบได้อย่างไร ว่าอายุเท่านี้
จะใส่ดินกี่กิโลกรัม น้ำกี่ลิตร ลมกี่กรัม ไฟกี่องศา
แล้วเด็ดดวงจิตฝังไว้ในตัวตนให้เติบโตไปด้วยกัน
ทั้งธาตุสี่ จิตวิญญาณและช่องว่าง (หรือว่าธาตุ 6)
แต่เรื่องการเรียนรู้นี่ซิคะ
ข้าพเจ้าเชื่อว่าธรรมชาติคงปล่อยให้เติบโตกันเอาเอง …
เห็นไหมว่าธรรมชาติก็ไม่ได้มีสูตรสำเร็จทำให้ทุกเรื่องราวเลยน้อจ้า
ซึ่งสำหรับ การศึกษาเรียนรู้ ธรรมชาติไม่ได้ประทานมาให้
แล้วแต่ว่าใครจะขวนขวายใส่หัวสมองเอาเอง....
เพราะธรรมชาติ ขอสงวนสิทธิ์ประโยชน์อันนี้ ให้แก่
เจ้าตัว...หรือ ตัวเราเอง ...นั่นแหละจ้า
บางคนก็อยากเรียนรู้มากๆ ก็รู้เยอะหน่อย
บางคนขี้เกียจเรียนรู้ บ่นปวดหัว ตัวร้อน เบื่อเซ็ง
ก็ถือว่ามีอิสระในการกระทำนะคะ....
วันนี้ข้าพเจ้าเลยอยากจะนำเสนอ
หลากหลายกลวิธีในการสอนให้สมองเด็กใหม่สดเสมอ ค่ะ ….
แต่อย่าเพิ่งดีใจนะคะ ว่าคำว่า “สมองเด็กใหม่สดเสมอ”
มาลองดูคำจำกัดความ ของนิยาม สมองเด็กใหม่สดเสมอ ก่อนค่ะ
คำว่าใหม่สดเสมอ คือยังไม่ได้ใช้งาน ค่ะ
หรือที่มีคนเคยพูดกันว่า สมองพี่ไทยราคาสูงที่สุด
(แล้วก็ได้รับคำตอบว่า เพราะมันยังไม่ได้ใช้งาน น่ะซิคะ)
แต่สมองใหม่สดแบบนี้ ….
อาจจะไม่มีคนรับเข้าทำงานหลังจากเรียนจบนะคะ
หลากหลายวิธีการ ที่ทำให้“สมองเด็กใหม่สดเสมอ”
1. เลี้ยงดูชนิดริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ไข่ในหิน.... วะซ่าน
2. มีแนวคิดที่ว่า ถ้า....เด็กล้มให้ไปตีโคนเสา แล้วเด็กจะหยุดร้องไห้
หรือว่าไปตีกบ ถามว่ากบวิ่งหนีไปแล้ว....วะซ่าน
3. เมื่อโตขึ้นหน่อย เด็กๆ ชอบตั้งคำถาม
ก็ให้ตีหรือต่อว่า ว่าถามทำไม ถามมากจริงๆแฮะ...
หยุดถามได้ไหม...เบื่อตอบ(โว้ย...วอนซะแล้ว...ถามกวนนี่)...วะซ่าน
4. ก่อนจะเข้าโรงเรียน ให้ส่งไปเรียนติวเข้ม
เรียนพิเศษตั้งแต่อายุสองสามขวบ เพื่อจะได้เข้าเรียนอนุบาล
หรือ ประถมแล้วลูกเก่งๆ เหนือคนอื่นใดในห้อง
(กรณีสอนให้ใช้สมองตั้งแต่ต้นเลยนะคะ
คราวนี้ ไม่เป็นแบบนั้น ช่วงหลังๆ เด็กจะเบื่อ
แล้วอาจจะไม่ใช้สมองก็เป็นได้....ถ้าตะโกนได้
คงตะโกนว่า...เบื่อโว้ย!...อุ๊บ...อะอะอะ)
5. เข้าโรงเรียน หากจะสอนศิลปะให้เด็กวาดดอกไม้
คุณครูต้องวาดให้เด็กดูก่อน ไม่มีการให้เด็กวาดด้วยจินตนาการ
ที่เป็นของเด็กเองเป็นอันขาด ครูต้องวาดให้เสร็จก่อน
แล้วจึงให้เด็กวาดตามที่ครูวาดไว้ในกระดาน
วิธีการนี้นิยมใช้กันแพร่หลาย จนถึงระดับมหาวิทยาลัย....
เอาตัวจินตนาการของเด็ก...บินไปลับตาเลย...
แล้วมันหายไปไหนไม่รู้น้อ ....มันเป็นตัวอย่างไรก็ไม่รู้
เจ้าตัวจินตนาการนี่....ขอร้องให้กลับมาก็ไม่ยอมกลับเสียที)
6. เวลาเด็กถามในห้อง ต้องดุเด็กเพื่อไม่ให้เด็กกล้าถามอีก
เพื่อให้ง่ายในการควบคุมและอบรมให้อยู่ในกรอบ
เป็นระเบียบวินัย เพื่อว่าวันหนึ่งเด็กจะกดดันแล้ว
แหกกฎระเบียบหลังจากที่บ่มไว้นานๆ ....
(นี่เธอ...ถามอะไรนอกเรื่อง...ก่อกวนหรือไง...วะซ่าน....
อุ๊บ...ไม่เค้ยไม่เคย...เด้อจ้า)
7. วิธีการเรียนทำได้หลากหลายสไตล์
เช่น สั่งให้เด็กไปอ่านมาแล้วพรุ่งนี้มาสอบ
เรื่องแต่ละเรื่องก็อาจจะตื่นเต้นหรือน่าเบื่อแตกต่างกัน
ไม่รู้เด็กอ่านหนังสือหรือว่าหนังสืออ่านเด็ก....อย่างหลังมากกว่าอะ
เอาว่าผลัดกันอ่านน้อจ้า แข่งกันว่า....
หนังสือกับเด็กใครจะไปเข้ากรม(หลับ)อุตุ ก่อนกัน อะอะอะ..
ใครหลับก่อนก็ไปถึงกรม(หลับ)อุตุ.....น่ะน๊า)
8. เวลาสั่งงานแล้วเด็กไม่ทำงาน อย่าไปต่อว่า
เพราะจะทำให้เด็กเกิดอคติ ให้ปล่อยๆ ไป
หากอยู่ประถมก็ให้มัธยมค่อยสอนเติมเอง
หากอยู่ ม.ต้น ก็ปล่อยให้ ม.ปลายเสริม
พื้นฐานประถม พื้นฐาน ม.ต้นให้เอง
หรือโยนไปให้ระดับมหาวิทยาลัยปูพื้นฐานกันเอาเอง
ดังนั้นใครสอนระดับใดก็ต้องช่วยกันผลักดันพื้นฐานกันนะค่ะ
เช่นมหาวิทยาลัย ก็อาจจะต้องสอน
ความรู้ ม.ต้น และ ม.ปลาย ด้วย...ห้ามเบี้ยวเด้อจ้า
สอนเอาเองเด้อ...เคยเจอมานักต่อนักแล้ว
ให้สอนจากประถม...ขึ้นมาเรื่อย...จนถึงชั้น
ที่เรียน....หยิ ....ข้าพเจ้าก็งง ....สอนได้ไงน้อ...
สอนก็สอน...อะ)
9. วิธีการอื่นๆ เติมได้นะค่ะ…. จนกว่าจะได้หลากหลายกรรมวิธี
หรือเรื่อยไปจนไม่มีที่สิ้นสุด....วิธี
แล้วท่านก็จะพบว่า “สมองเด็กใหม่สดเสมอ” แบบกลวงโบ๋ เลย
บ้ายบาย....จ้า เดี่ยวโดนถล่ม....ไปก่อนนะจ้ะ....จุ๊บๆๆๆๆ จ้า
Bookmarks