หนีทุกข์ไม่พ้น





เมื่อคนเราเกิดมาแล้วก็ยากที่จะหลีกหนีความทุกข์ไปได้พ้น ไม่ว่าจะเป็นการเกิด แก่ เจ็บ หรือตาย ล้วนแต่เป็นความทุกข์ทั้งสิ้น เพราะเมื่อใดก็ตามที่โลกไม่เป็นไปตามที่ใจเราต้องการ มันก็ต้องเป็นทุกข์ ดูอย่างการพลัดพรากจากสิ่งที่เรารัก...ก็เป็นความทุกข์ ความเสื่อมลาภ-เสื่อมยศ...ก็เป็นความทุกข์
โลกเรานี้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้วหลายยุคหลายสมัย นับตั้งแต่ในสมัยมนุษย์ยุคหินดึกดำบรรพ์ จนมาถึงยุคดิจิตอลในปัจจุบัน แม้กาลเวลาจะล่วงเลยผ่านไปนานสักเพียงใด แต่กิเลสก็ยังคงอยู่คู่กับใจของมนุษย์ไม่เคยห่างหายไปไหน
ดูเหมือนว่ากิเลสหรือความต้องการของมนุษย์จะแปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย อย่างในยุคนี้คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของการวิ่งไล่ตามเทคโนโลยี ทั้งโทรศัพท์มือถือ หรือรถยนต์ราคาแพง ฯลฯ ซึ่งพอได้ในสิ่งที่ตนปรารถนาก็จะรู้สึกว่ามีความสุข แต่ความสุขนั้นก็หาได้จีรังไม่ เพราะตราบใดที่เรายังคอยเฝ้าปรนเปรอเอาใจกิเลส พอได้สิ่งหนึ่งมา...เราก็จะเกิดความต้องการในสิ่งอื่นๆ ตามมาเรื่อยๆ ไม่จบไม่สิ้น สุดท้ายก็ต้องเป็นทุกข์กับกิเลสเหล่านั้น
ทุกสิ่งบนโลกใบนี้ล้วนมีสองด้าน มีดีมีชั่ว มีขาวมีดำ มีหยินมีหยาง ดังนั้นเมื่อมีสุขจึงต้องมีทุกข์เป็นของคู่กัน จะเลือกเอาแต่สุขอย่างเดียวคงไม่ได้
ผู้ใดก็ตามที่ยังเห็นความทุกข์เป็นความสุขอยู่ ย่อมไม่มีทางที่จะหลีกพ้นจากความทุกข์ไปได้ เช่นเดียวกับผู้ที่ยอมเกิดยอมตายด้วยความเข้าใจผิด คิดว่าการเกิดนั้นเป็นความสุข คิดว่าความยึดมั่นถือมั่นคือความสุข โดยไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วอวิชชา ความหลง และความยึดมั่นถือมั่นเหล่านั้น มันล้วนแล้วแต่เป็นความทุกข์ต่างหาก
ผู้ที่ยังคงมีอวิชชาและหลงในการเกิด ถึงแม้ว่าจะเกิดมาร่ำรวยและสุขสบายมากมายปานใด แต่เมื่อต้องตกอยู่ในอำนาจของการเกิดแล้วก็ต้องพบกับความทุกข์อย่างแน่นอน ไม่มีผู้ใดที่เกิดมาแล้วไม่พบกับความทุกข์ นั่นเพราะความทุกข์เป็นสัจธรรมของการเกิดที่ไม่อาจหลีกหนีได้
ด้วยเหตุที่ทุกข์เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดของการเกิดเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เห็นในเรื่องทุกข์และการพ้นจากทุกข์ สอนให้รู้จักพิจารณาทุกข์ เข้าใจทุกข์ และหลุดพ้นจากทุกข์ เพื่อสามารถเอาตัวรอดได้
ผู้ที่มีปัญญาการรู้แจ้งย่อมเข้าใจว่า ทุกข์นั้นเกิดจากอวิชชาที่สร้างให้เกิดภพชาติและเกิดมาเป็นตัวเป็นตน ดวงจิตวิญญาณใดหากตกอยู่ในอำนาจของการเกิดแล้ว ไม่ว่าดวงจิตวิญญาณดวงนั้นจะผุดหรือเกิดในมิติภพภูมิใดก็ตาม (มิติภพภูมิแห่งการเกิดมี 3 มิติ หรือที่เราเรียกว่า "3โลก") ล้วนต้องพบกับความทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น
การมีอวิชชา ความยึดมั่นถือมั่น คิดเป็นจริงเป็นจังในภาพมายาสมมตินี้เอง ที่เป็นต้นเหตุแห่งการทำให้ดวงจิตวิญญาณนั้นต้องกลับมาเกิดในมิติ ภพภูมิ ที่ดวงจิตวิญญาณไปยึดมั่นถือมั่นคิดว่ามันเป็นจริง ซึ่งเมื่อดวงจิตวิญญาณตกอยู่ในอำนาจแห่งการเกิดในมิติใดเข้าแล้ว ดวงจิตวิญญาณดวงนั้นก็ย่อมต้องตกอยู่ในเงื่อนไขของกรรม และความสุขความทุกข์ของมิติแห่งการเกิดนั้น
ยกตัวอย่างเช่น การที่มนุษย์เราเกิดในมิติแห่งโลกธาตุ (อันมีแม่ธาตุเป็นหลัก) ก็ต้องเป็นไปตามกฎของแม่ธาตุตามธรรมชาติ (เช่น เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ไฟร้อน น้ำเปียก ฯลฯ) จะฝืนกฎแห่งธาตุและแม่ธาตุไปไม่ได้ ตราบจนกว่าดวงจิตวิญญาณจะหลุดพ้นจากอำนาจแห่งการเวียนว่ายตายเกิดในมิติภพภูมินั้นไป
ดวงจิตวิญญาณเมื่อเกิดการปฏิสนธิ ไม่ว่าจะผุดหรือเกิดในมิติภพภูมิใดในสามโลกก็ตาม ย่อมหลีกหนีจากความทุกข์ไปไม่พ้น ไม่ว่าจะเป็นทุกข์จากความไม่เที่ยง ทุกข์จากความเสื่อมถอย ทุกข์จากการแตกดับไปในที่สุด และทุกข์ที่สำคัญมากที่สุดเหนือกว่าทุกข์ใดๆ นั่นก็คือ ทุกข์ที่ดวงจิตวิญญาณยังคงต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในมิติภพภูมิอื่นๆ ต่อไปอย่างไม่มีวันจบวันสิ้น เพราะหาทางที่จะหลุดพ้นออกไปไม่ได้...ยิ่งเวียนว่ายตายเกิดเท่าใด ก็ยิ่งสั่งสมอวิชชาและอัตตามากขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น (ยิ่งเกิด...ยิ่งหลง ยิ่งเกิด...ยิ่งยึดมั่นถือมั่น ยิ่งเกิด...ยิ่งพอกพูนอวิชชา)
ดวงจิตวิญญาณที่สะสมภาพมายาสมมติมากเท่าไร (เกิดมากเท่าไร) ดวงจิตวิญญาณดวงนั้นก็จะถึงซึ่งความหลุดพ้นและความรู้แจ้งได้ยากมากขึ้นเท่านั้น ทำให้การเวียนว่ายตายเกิดจึงยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีจุดจบ
...มีเพียงดวงจิตวิญญาณที่เป็นอิสระ และหมดซึ่งอวิชชาแล้วเท่านั้นที่ไม่ต้องมาเกิด และสามารถหยุดการเกิดได้ ซึ่งดวงจิตวิญญาณจะพ้นจากความทุกข์ที่ต้องได้รับในทันที โดยปราศจากกายสังขารและอัตตาให้ต้องมารองรับในความทุกข์นั้น

"เมื่อเกิดแล้วก็ต้องตาย เมื่อเกิดแล้วก็ต้องพบกับความทุกข์...การเกิดจึงเป็นเหตุแห่งความทุกข์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้" พระพุทธเจ้าทรงเห็นถึงสัจธรรมความจริงอันนี้ และทรงสั่งสอนให้มวลมนุษย์เห็นถึงความทุกข์จากการเกิด และแสวงหาหนทางดับทุกข์ด้วยการไม่เกิด การเข้าถึงพระนิพพานคือการดับสูญ ดับทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง (หากเข้าถึงพระนิพพานก็จะไม่ปรากฏดวงจิตวิญญาณดวงนั้นทั้งในสามโลก เพราะเป็นการดับสูญอย่างสิ้นเชื้อ)
ด้วยกระบวนการในการอบรมจิตให้เข้าถึงความจริง อันเป็นเสมือนปัญญาแห่งการรู้แจ้งเท่านั้น ที่จะช่วยนำพาดวงจิตวิญญาณของมนุษย์ให้หลุดพ้นไปเสียจากอำนาจแห่งการเกิด และไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้อีกต่อไป
ผู้รู้ท่านจึงแสวงหาแนวทางในการพ้นจากทุกข์ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ดับความทุกข์เท่านั้น แต่เป็นการพ้นไปเสียจากความทุกข์อย่างถาวร คือไม่มีความทุกข์เกิดขึ้นอีกเลย






ที่มา .thaipost.net/tabloid/060909/10313