หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 2 หน้า 12 หน้าสุดท้ายหน้าสุดท้าย
กำลังแสดงผล 1 ถึง 10 จากทั้งหมด 11

หัวข้อ: พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า๑

  1. #1
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ auddy228
    วันที่สมัคร
    Jun 2007
    ที่อยู่
    THAILAND
    กระทู้
    1,176
    บล็อก
    1

    สว่างใจ พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า๑

    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า

    พรรษาที่ ๑





    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า๑



    พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก

    --------------------------------------------------------------------------------





    พุทธกิจ หมายถึง กิจที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญ,
    การงานที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำพุทธกิจประจำวัน ในแต่ละวันมี ๕ อย่าง คือ
    ๑. ปุพฺพณฺเห ปิณฺฑปาต ญฺจ เวลาเช้าเสด็จบิณฑบาต
    ๒. สายณฺเห ธมฺมเทสนํ เวลาเย็นทรงแสดงธรรม
    ๓. ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ เวลาค่ำประทานโอวาทแก่เหล่าภิกษุ
    ๔. อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหนํ เที่ยงคืนทรงตอบปัญหาเทวดา
    ๕. ปจฺจูสฺเสว คเต กาเล ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ จวนสว่างทรงตรวจพิจารณาสัตว์ที่สามารถและที่ยังไม่สามารถบรรลุธรรมอันควรจะเสด็จไป โปรดหรือไม่


    เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในวันเพ็ญ เดือน ๖ ขณะมีพระชนมายุ ๓๕ พรรษา พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อนุตตรสัมโพธิญาณ ณ ร่มพระศรีมหาโพธิบัลลังก์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี
    การตรัสอริยสัจสี่ คือของจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ของพระพุทธเจ้า เป็นการตรัสรู้อันยอดเยี่ยม ไม่มีผู้เสมอเหมือน วันตรัสของพระพุทธเจ้า จึงจัดเป็นวันสำคัญ เพราะเป็นวันที่ให้เกิดมีพระพุทธเจ้าขึ้นในโลกชาวพุทธทั่วไป จึงเรียกวันวิสาขบูชาว่า วันพระพุทธ(เจ้า) อันมีประวัติว่า พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียรต่อไป ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น ทรงเริ่มบำเพ็ญสมาธิให้เกิดในพระทัย เรียกว่าการเข้า "ฌาน" เพื่อให้บรรลุ "ญาณ" จนเวลาผ่านไปจนถึง ...
    ยามต้น : ทรงบรรลุ "ปุพเพนิวาสานุติญาณ" คือทรงระลึกชาติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่น
    ยามสอง : ทรงบรรลุ "จุตูปปาตญาณ" คือการรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
    ยามสาม : ทรงบรรลุ "อาสวักขญาณ" คือรู้วิธีกำจัดกิเลสด้วย อริยสัจสี่ ( ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ) ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ ซึ่งขณะนั้น พระพุทธองค์มีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา

    ธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ อริยสัจ ๔ หรือ ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ได้แก่
    ๑. ทุกข์ คือ ความลำบาก ความไม่สบายกายไม่สบายใจ
    ๒. สมุทัย คือ เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
    ๓. นิโรธ คือ ความดับทุกข์ และ
    ๔. มรรค คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งทุกข์

    ทั้ง ๔ ข้อนี้ถือเป็นสัจธรรม เรียกว่า อริยสัจ เพราะเป็นสิ่งที่พระอริยเจ้าทรงค้นพบ เป็นสัจธรรมชั้นสูง ประเสริฐกว่าสัจธรรมสามัญทั่วไป


    ในระหว่างเวลา ๔๕ ปี แห่งการบำเพ็ญพุทธกิจ จวบจนทรงดับขันธปรินิพานเมื่อพระชนมายุ ๘๐ พรรษานั้น พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปประทับจำพรรษา ณ สถานที่ต่างๆ ซึ่งท่านได้ประมวลไว้ พร้อมทั้งเหตุการณ์สำคัญบางอย่างอันควรสังเกตดังนี้

    พรรษาที่ ๑
    ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้กรุงพาราณสี


    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า๑


    ภายหลังจากพระมหาบุรุษตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วพระองค์ทรงประทับเสวยวิมุตติสุข คือสุขอันเกิดแต่ความหลุดพ้นจากกิเลส อาสวะ และปวงทุกข์ ณ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เป็นเวลา ๗ สัปดาห์จากนั้นพระพุทธเจ้าเสด็จดำเนินจากโพธมณฑล ดำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ ไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้กรุงพาราณสี แคว้นกาสี ใช้เวลาเสด็จพุทธดำเนิน ๑๑ วัน เสด็จถึงป่าอิสิปตนฤคทายวันใน เวลาเย็นวันขึ้น ๑๔ ค่ำเดือน ๘ ปีระกา

    - จำพรรษาที่อิสิปตนมฤคทายวัน โปรดปัญจวัคคีย์ สังฆรัตนะ เกิดขึ้นครั้งแรกในโลก
    - โปรดพระยสะ และสหาย ๔๕ คน
    ออกพรรษา ให้สาวก ๖๐ รูป มีอำนาจบวชกุลบุตร ได้โดยวิธีให้รับไตรสรณคมน์
    - โปรดภัททวัคคีย์ ๓๐ รูป
    - โปรดชฎิลสามพี่น้อง บวชเป็นเอหิภิกขุ ๑,๐๐๐ รูป แสดงอาทิตตปริยายสูตรสำเร็จพระอรหันต์ทั้งหมด
    - ไปราชคฤห์โปรดชาวเมืองและพระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบัน ถวายวัดเวฬุวันเป็นวัดแรก
    - ให้สงฆ์สาวกรับอารามที่มีผู้ถวายได้
    - พระอัญญาโกณฑัญญะบวชปุณณมันตานีบุตร ( ลูกน้องสาว ) บรรลุอรหันต์
    - ได้ ๒ อัครสาวก อุปติสสะและโกลิตะ บวชบรรรลุเป็นพระอรหันต์
    - บวชพระมหากัสสปะโดยรับโอวาท ๓ ข้อ

    พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา "ธัมมจักรกัปปนวัตตนสูตร" ทำให้เกิดมีปฐมสาวกและพระอริยบุคคลคือ พระอัญญาโกณฑัญญะเกิดสังฆรัตนะ คำรบพระรัตนตรัย มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขึ้นโดยบริบูรณ์ ในวันเพ็ญเดือน ๘ อันเป็นที่มาขาองการบูชาในเดือน ๘ คือ "อาสาฬหบูชา"

    พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดปัจจวัคคีย์ ได้บรรลุพระอรหันต์ทั้ง ๕ องค์ จากนั้นทรงแสดงธรรมโปรดพระยสะภิกษุสาวกองค์ที่ ๖ ของพระพุทธเจ้าได้บรรลุพระอรหัตถผล ครั้งนั้นมีบุตรเศรษฐีชาวเมืองพารณสี ๔ คน ซึ่งเป็นสหายรักของพระยสะ เข้าเฝ้าฟังธรรมได้อุปสมบท ๕๐ คน ได้สดับธรรมและอุปสมบทได้บรรลุพระอรหัตถผลด้วยกันทั้งหมด จึงเกิดมีพระอรหันต์รวมทั้งพระบรมศาสดาด้วย ๖๐ องค์

    ในตอนปลายพรรษาที่ ๑ พระพุทธเจ้าเสด็จดำเนินไปยังดำบลอุรุเวลา ตำบลใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แคว้นมคธ อีกครั้งหนึ่งทรงทรมานอุรุเวลากัสสปด้วยอิทิปาฏิหาริย์ต่างๆ จนอุรุเวลกัสสปผู้เป็นคณาจารย์ใหญ่ของนักบวชชฏิล ละทิ้งลัทธิบูชาไฟยอมมอบตัวเป็นพุทธสาวกขอบรรพชา ทำให้ชลิฎผู้น้องอีกสองคนพร้อมบริวารออกบวชตามด้วยทั้งหมด ครั้นบวชแล้วได้ฟังเทศนาอาทิตตปริยายสูตรจากพระพุทธเจ้าก็ได้สำเร็จพระอรหัต ทั้งสามพี่น้องคณาจารย์ชฏิลพร้อมด้วยบริวารทั้งหมดรวมหนึ่งพันองค์ จากนั้นพระบรมศาสดาได้เสด็จสู่พระนครราชคฤห์




  2. #2
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ auddy228
    วันที่สมัคร
    Jun 2007
    ที่อยู่
    THAILAND
    กระทู้
    1,176
    บล็อก
    1

    สว่างใจ พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒

    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า

    พรรษาที่ ๒,๓,๔



    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า  ๒

    พรรษาที่ ๒-๓-๔
    ณ พระเวฬุวันวิหาร พระนครราชกฤห์

    พระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับจำพรรษา ณ ลัฏฐิวัน สวนตาลหนุ่มอยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของพระนครราชกฤห์ พระเจ้าพิมพิสารกษัตริย์ผู้ครองพระนครและแคว้นมคธ เข้าเฝ้าพร้อมด้วยข้าราชบริพารจำนวนมาก ทรงสดับพระธรรมเทศนา ได้ธรรมจักษุ ประกาศพระองค์เป็นอะบาสกและถวายพระเวฬุวัน ซึ่งเป็นป่าไผ่สวนที่ประพาสพักผ่อนของพระเจ้าพิมพิสาร อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล จากพระนครราชคฤห์ นครหลวงของแคว้นมคธ เป็นที่ร่มรื่นเงียบสงบ มีหนทางไปมาสะดวก พระเจ้าพิมพิสารถวายเป็นสังฆาราม นับเป็นวัดแรกในพระพุทธศาสนา ณ ที่นี้ พระพุทธเจ้าทรงประทับจำพรรษา ที่ ๒-๓-๔ เป็นลำดับการแห่งการประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้ตั้งมั่นในชมพูทวีป พระบรมศาสดาพร้อมด้วย พระอรหันต์สาวกทรงทุ่มเทจนพระพุทธศาสนาสามารถสถิตตั้งมั่นหยั่งรากลงลึกและแผ่กิ่งก้านสาขาไปสู่ปริมณฑลด้านกว้างในชมพูทวีป

    ในลำดับกาลนี้พระบรมศาสดาได้ทรงตั้งตำแหน่งคู่แห่งอัครสาวกคือ พรสารีบุตรเถระ เป็นอัครสาวกเบื้องขวา พระโมคคัลลานะ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย พระพุทธเจ้าทรงเสด็จนครกบิลพัสดุ์ เป็นครั้งแรกภายหลังจากตรัสรู้ อนาถบิณฑิกเศรษฐีแห่งนครสาวัตถีประกาศตนเป็นอุบาสก และเริ่มต้นสร้างพระเชตุวันมหาวิหารเพื่อถวายแด่พระบรมศาสดา

    พรรษาที่ ๒
    - จำพรรษาที่เวฬุวัน ออกพรรษา เสด็จเมืองเวสาลี แคว้นวัชชี สอนพระอานนท์ให้สาธยายรัตนสูตร บรรเทาภัยของชาวเมือง พระอานนท์ฟังกถาวัตถุ ๑๐ ประการ ( ของพระปุณณมันตาณีบุตร ) เป็นพระโสดาบัน

    พรรษาที่ ๓
    - จำพรรษาที่เวฬุวัน ราชคฤหเศรษฐี ขอสร้างเสนาสนะถวายสงฆ์ เป็นที่พำนักถาวร อนุญาตเภสัช ๕ ชนิด และภัตฯ ประเภทต่างๆ อนุญาตการอุปสมบทโดยวิธีญัตติจตุตถกรรม พระสารีบุตรบวชให้ราธะพราหมณ์เป็นรูปแรก
    อนุญาตวันประชุมสงฆ์ และแสดงธรรมใน ๑๔ คํ่า ๑๕ คํ่า และ ๘ คํ่า ของข้างขึ้นและข้างแรม

    พรรษาที่ ๔
    - จำพรรษาที่เวฬุวัน โปรดหมอชีวกโกมารภัจจ์เป็นพระโสดาบัน ถวายชีวกอัมพวันอนุญาตผ้าไตรจีวร ๓ ผืน,ผ้าจีวร ๖ ชนิด ออกพรรษา เทศน์โปรดพุทธบิดา สำเร็จพระอรหันต์และนิพพาน และจุดเพลิงพระบรมศพ




  3. #3
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ auddy228
    วันที่สมัคร
    Jun 2007
    ที่อยู่
    THAILAND
    กระทู้
    1,176
    บล็อก
    1

    สว่างใจ พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ๓

    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า พรรษาที่ ๕


    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า  ๓




    พรรษาที่ ๕
    ณ ป่ามหาวัน นครเวสาลี


    - จำพรรษาที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน นอกเมืองเวสาลี
    - พระนางประชาบดี ยอมรับคุรุธรรม ๘ ประการ บวชเป็นภิกษุณีองค์แรก แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์
    - พระนางยโสธราบวชในสำนักพระนางประชาบดีเถรี บรรลุเป็นพระอรหันต์
    - นางรูปนันทา บวชตามหมู่ญาติ ทรงแสดงฤทธิ์โปรด สำเร็จเป็นพระอรหันต์
    - ออกพรรษา เสด็จไปภัททิยนคร แคว้นอังคะ โปรดเมณฑกะเศรษฐี ธนัญชัยเศรษฐี นางวิสาขาและหมู่ญาติ เป็นพระโสดาบัน
    - อนุญาตโครสทั้ง ๕ ทรงอนุญาตนํ้าผลไม้ทุกชนิด ( เว้นนํ้ากับเมล็ดนํ้าข้าวเปลือก ) นํ้าใบไม้ทุกชนิด ( เว้นนํ้าผักดอง ) นํ้าดอกไม้ทุกชนิด ( เว้นนํ้าดอกมะซาง ) นํ้าอ้อยสด ทรงอนุญาตให้ฉันผักสดทุกชนิด และของขบฉันที่ทำด้วยแป้ง ให้ฉันผลไม้ได้ทุกชนิด
    - แสดงมหาปเทส ๔ สิ่งที่ควรและไม่ควรสำหรับสงฆ์

    ในพรรษานี้ พระพุทธเจ้าทรงจำพรรษาที่กูฏาคาร ณ ป่ามหาวัน นครเวสาลี (ไพศาลี) ในกาลนี้พระองค์ทรงเสด็จจากกูฏาคารไปโปรดพระพุทธบิดาปรินิพานที่กรุงกบิลพัสดุ์ และโปรดพระญาติทั้งฝ่ายศากยวงศ์และโกลิยวงศ์ ที่วิวาทเรื่องแย้งน้ำในแม่น้ำโรหิณีเพื่อการเกษตรกรรมโดยประทับที่นิโครธารามอันเป้ฯพระอารามที่พระญาติทรงสร้างถวายอยู่ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ พระนางมหาปชาบดีโคตมี พระน้านางของพระพุทธเจ้าได้เข้าเฝ้าทูลอนุญาตให้สตรีละเรือนออกบวชในพระธรรมวินัย พระบรมศาสดาตรัสห้ามถึง ๓ ครั้ง


    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า  ๓



    ต่อมาพระพุทธเจ้าเสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์กลับไปประทับจำพรรษาที่กูฏาคาร ป่ามหาวัน นครเวสลี ครั้นนี้พระนางมหาปชาบดีโคตรมี ถึงกับปลงผมนุ่งผ้ากาสวะเอง ออกเดินทางพร้อมด้วยเจ้าหญิงศากยะ ๕๐๐ องค์มายังป่ามหาวัน ณ ที่นี้ พระบรมศาสดาทรงอนุญาตให้มีภิกษุณีสงฆ์ขึ้นเป็นครั้งแรก โดยประทานอนุญาตให้พระนางมหาปชาบดีโคตมีบวชเป็นภิกษุณีด้วยวิธีรับคุรุธรรม ๘ ประการ ส่วนเจ้าหญิงศากยะที่ตามมาทั้งหมดพระพุทธเจ้าตรัสอนุญาตให้ภิกษุสงฆ์อุปสมบทให้




  4. #4
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ auddy228
    วันที่สมัคร
    Jun 2007
    ที่อยู่
    THAILAND
    กระทู้
    1,176
    บล็อก
    1

    สว่างใจ พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔

    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔, ๕ , ๖


    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า  ๔


    พรรษาที่ ๖

    - จำพรรษาที่มกุลบรรพต แคว้นมคธ
    - ห้ามพระภิกษุแสดงอิทธิปาฏิหาริย์
    - ปรารภจะแสดงยมกปาฏิหาริย์เอง
    - ออกพรรษา เดียรถีย์สร้างสำนักหลังวัดเชตวัน พระเจ้าปเสนทิโกศล เปลี่ยนเป็นสร้าง
    อารามสำหรับภิกษุณี เรียกราชการาม
    - เพ็ญเดือน ๘ แสดงยมกปาฏิหาริย์ นอกเมืองสาวัตถี


    ณ มกุลบรรพต

    ในพรรษานี้พระพุทธเจ้าทรงประทับจำพรรษาที่มกุลพรรพต (สันนิษฐาว่า ภูเขานี้อยู่ในแคว้นมคธหรือแคว้นโกศล หรือบริเวณใกล้เคียง) แต่ใน "ปฐมสมโพธิกถา" ระบุว่า เสด็จไปสถิตบนมกุฎบรรพตทรงทรมานหมู่อสุร เทพยดา และมนุษย์ให้ละเสียพยศอันร้ายแล้วและให้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา

    ในพรรษาที่ ๖ นี้ พระพุทธเจ้าทรงเสด็จไปแสดงยมกปาฏิหาริย์ที่นครสาวัตถิคือ การแสดงน้ำคู่กับไฟ เพื่อสยบพวกเดียรถีย์นักบวชนอกศาสนาพุทธ ในที่สุดแห่งยมกปาฏิหาริย์ ธรรมาภิสมัยได้มีแก่พุทธบริษัทเพราะได้เห็นและได้ฟังธรรมเทศนาเป็นอเนก



    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า  ๔



    พรรษาที่ ๗
    - จำพรรษาที่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แสดงพระอภิธรรมโปรดพุทธมารดาตลอดไตรมาสจนบรรลุเป็นพระโสดาบัน เรื่องอังกุรเทพบุตรและอินทกเทพบุตร
    - ลงจากชั้นดาวดึงส์ ที่ประตูเมืองสังกัสสะ
    - หลังออกพรรษา เสด็จกรุงสาวัตถี
    ปรารภเรื่องนางปฏิปูชิกา ภรรยาของมาลาภารีเทพบุตร นางจิญจมาณวิกา ใส่ความพระพุทธเจ้า ถูกธรณีสูบลงอเวจีมหานรก


    ณ ดาวดึงส์เทวโลก

    เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงยมกปาฏิหาริย์เสร็จสิ้นแล้ว พระบรมศาสดาเสด็จขึ้นเทวพิภพชั้นดาวดึงส์ทันที โดยทรงยกพระบาทขวาขึ้นจากจงกรมแก้วก้าวขึ้นเหยียบยอดภูเขายุคันธร แล้วยกพระบาทซ้ายก้าวขึ้นหยียบยอดเขาสิเนรุ ทรงประทับนั่งบนปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ภายใต้ร่มไม้ปาริชาต ท้าวสักกะเทวราชจอมภพผู้ปกครองดาวดึงสเทวโลกสวรรค์ชั้นที่ ๒ ป่าสวรรค์ ๖ ชั้น เสด็จขึ้นสู่สุสิตเทวพิภพสวรรค์ชั้นที่ ๔ เข้าเฝ้าพระมหามายาเทพเจ้าผู้เป็นพระพุทธมารดา ทูลอัญเชิญให้เสด็จไปเผ้าพระบรมศาสดาตามพุทธประสงค์


    พระพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดาตลอดสามเดือนเทพยาดาในโลกธาตุที่มาประชุมฟังธรรมอยู่ที่นั้นบรรลุมรรคผลสุดที่จะประมาณ ส่วนพระมหามายาเทพเจ้าผู้เป็นพระพุทธมาดา ได้ทรงบรรลุพระโสดาปัตติผลสมพระประสงค์ของพระบรมศาสดา



    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า  ๔



    พรรษาที่ ๘
    - จำพรรษาที่เภสกฬาวัน ภัคคชนบท บิดาของสิงคาลกมานพบวช บรรลุพระอรหันต์ หลังออกพรรษา บัญญัติสิกขาบทเรื่อง
    การผิงไฟของภิกษุ โปรดมาคันทิยาพราหมณ์และภรรยา จนขอบวชทั้ง ๒ คนแล้วได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ นางมาคันทิยาผู้เป็นธิดาผูกจิตอาฆาตในพระศาสดา เศรษฐีโกสัมพี ๓ คนตามไปฟังธรรมที่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีบรรลุเป็นพระโสดาบันและได้สร้าง โฆสิตาราม ปาวาริการาม และกุกกุฏาราม ถวายที่โกสัมพี


    ณ เภสกลาวัน ใกล้เมืองสุงสุมารคีรี

    เมื่อพระพุทธเจ้า ทรงเปิดโลกเสด็จลีลาลงจาดาวดึงสสวรค์ในท่ามกลางเทพยาดาและพรหมเป็นอันมาก มหาชนทั้งหลายต่างแซ่ซ้องสาธุการเสียงสนั่นหวั่นไหว พระบรมศาสดาทรงเสด็จดำเนินสูป่าไม่สีเสียดใกล้เมืองสุงสุมารคีรี แคว้นภัคคะ ทรงประทับจำพรรษาที่ ๘ ณ ป่าไม้สีเสียดเภสกลาวัน

    ในกาลนั้นมีสองสามีภรรยาคฤหบดีชาวเมืองสุงสุมารคีรี มีนามว่านุกุลบิดา และนกุลมารดา เข้าเฝ้าพร้อมกับชาวเมืองคนอื่นๆ พระพุทธเจ้าทรงแสดงทรรมโปรดทั้งสองสามีบรรยาได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน ท่านนกุลบิดาได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็นเอตทัคคะในบรรดาอุบาสกผู้สนิทสนมคุ้นเคย ส่วนท่านนกุลมารดาก็เป็นเอตทัคคะในบรรดาอุบาสิกกาผู้สนิทสนมคุ้นเคย




  5. #5
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ auddy228
    วันที่สมัคร
    Jun 2007
    ที่อยู่
    THAILAND
    กระทู้
    1,176
    บล็อก
    1

    สว่างใจ พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ๕

    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ๙ , ๑๐ , ๑๑


    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า  ๕

    พรรษาที่ ๙
    - จำพรรษาที่โกสัมพีเรื่องนางสามาวดี ได้เป็นมเหสีพระเจ้าอุเทน ถูกนางมาคันทิยาวางแผนเผาทั้งปราสาทจนตาย



    นางสามาวดี
    เอตทัคคะในทางผู้มีปกติอยู่ด้วยเมตตา


    พระนางสามาวดีอุบาสิกาผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของอุบาสิกาทั้งหลายผู้มีปกติอยู่ด้วยเมตตา ก็โดยเหตุ ๒ ประการ คือโดยเป็นผู้ยิ่งด้วยคุณ เพราะท่านแสดงให้ผู้อื่นเห็นเป็นอย่างชัดเจนในคุณข้อนี้ของท่าน ดังที่พระศาสดาทรงนำเรื่องที่พระนางแผ่เมตตา ห้ามลูกธนูที่พระราชาทรงกริ้วตนได้ เป็นอัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่อง ไม่เพียงเนื่องจากเหตุข้อนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการแต่งตั้งโดยเหตุที่ท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป


    ณ วัดโฆษิตาราม เมืองโกสัมพี

    ในพรรษที่ ๙ นี้ พระพุทธเจ้าทรงประทับจำพรรษาที่วัดโฆษิตารามซึ่งเป็นวัดสำคัญในกรุงโกสัมพี นครหลวงของแคว้นวังสะ พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมโปรดประชากรให้ตั้งอยู่นมรรคผลเป็นพุทธมามกะ ปฏิญาณตนตั้งอยู่ในพระรัตนตรัยเป็นจำนวนมาก

    แต่ในกาลนั้น ภิกษุสงฆ์ในเมืองโกสัมพีเกิดแตกแยกกันแม้พระพุทธเจ้าประทานโอวาทแล้วก็ยังดื้อดึงตกลงกันไม่ได้ จนถึงกับแบ่งแยกกันทำอุโบสถ ฝ่ายหนึ่งทำอุโบสถทำสังฆกรรมภายในสีมาแต่อีกฝ่ายหนึ่งออกไปทำอุโบสถทำสัฆกรรมภายนอกสีมา ภิกษุสงฆ์ได้เกิดการแตกแยกกันขั้นนี้เรียกว่า "สังฆเภท"


    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า  ๕



    พรรษาที่ ๑๐
    - จำพรรษาที่รักขิตวัน (ป่าปาริเลยยกะ)อยู่ระหว่างกรุงโกสัมพีกับกรุงสาวัตถี ช้างปาริเลยยกะและวานรถวายอุปัฏฐากพระพุมธองค์ หลังออกพรรษา หมู่สงฆ์ชาวโกสัมพีมาขอขมาต่อพระองค์ ทำให้สังฆสามัคคี

    ณ ป่ารักขิตวัน ตำบลปาริเลยยกะ

    พระพุทธเจ้าทรงปลีกประองค์จากหมู่สงฆ์ผู้แตกแยกสร้างความวุ่นวายด้วยเหตุสังฆเภท พระบรมศาสดาเสด็จจากวัดโฆษิตารม กรุงโกสัมพี เสด็จไปยังแดนบ้านแห่งหนึ่งชื่อ "ปาริเลยยกะ" อยู่ใกล้กรุงโกสัมพี พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปประทับ ณ ร่มไม้ภัทรสาละพฤกษ์ในป่ารักขิตวัน ตำบลปาริเลยยกะ ทรงประทับจำพรรษาที่ ๑๐ ด้วยความสงบสุข โดยมีพญาช้างปาริเลยยกะคอยบำรุงดูแลพิทักษ์และรับใช้พระบรมศาสดาอย่างใกล้ชิด


    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า  ๕



    พรรษาที่ ๑๑
    - จำพรรษาที่หมู่บ้านพราหมณ์ เอกนาลา ใต้เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ หลังออกพรรษา ไม่ปรากฏหลักฐาน

    ณ ทักขิณาคีรี หมู้บ้านพราหมร์เอกนาลา

    ในพรรษาที่ ๑๑ พระพุทธเจ้าทรงประทับจำพรรษา ณ ทักขิณาคีรี หมู่บ้านพราหมณ์ชื่อว่า เอกนาลา





  6. #6
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ auddy228
    วันที่สมัคร
    Jun 2007
    ที่อยู่
    THAILAND
    กระทู้
    1,176
    บล็อก
    1

    สว่างใจ พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖

    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า พรรษาที่ ๑๒ , ๑๓ , ๑๔

    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า  ๖


    พรรษาที่ ๑๒
    - จำพรรษาที่ควงไม้สะเดา เมืองเวรัญชา ทรงไม่อนุญาติให้มีการบัญญัติสิกขาบท หลังออกพรรษา เรื่องเอรกปัตตนาคราช
    พระนางปชาบดีเถรี ทูลลานิพพาน ประชุมเพลิง
    การอุปสมบท ๘ วิธี

    เมื่อกราบบังคมทูลลาเป็นวาระสุดท้ายฉะนี้ สมเด็จพระมหาปชาบดีเถรีก็พาพระภิกษุณีอรหันต์ทั้งหลายเดินทางไปยังภิกขุณูปัสสยาราม ครั้นถึงแล้วต่างองค์ก็แยกย้ายกันเข้าไปยังห้องอันเป็นที่อยู่แห่งตน กระทำกิจทั้งปวงเช่นจัดเจงที่อยู่ให้ดูเรียบร้อยซึ่งเป็นวิสัยของพระอรหันต์ก่อนที่จะเข้าสู่พระนิพพาน พอได้กาลที่กำหนดไว้ สมเด็จพระมหาปชาบดีซึ่งมีคุณใหญ่ พร้อมกับภิกษุณีอรหันต์เหล่านั้นก็เริ่มทำปรินิพพานบริกรรมโดยอธิษฐานเข้าสู่ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนฌาน วิญญาณัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน และเนวสัญญานาสัญญายตนฌานเป็นลำดับ แล้วถอยกลับไปมาโดยอนุโลมปฏิโลมเป็นฌานกีฬา วาระสุดท้ายอธิษฐานเข้าสู่ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน ครั้นออกจากจตุตถฌานแล้ว สมเด็จพระนางแก้วมหาปชาบดีพร้อมกับบรรดาพระภิกษุณีมหาเถรีเจ้าเหล่านั้นก็ดับขันธ์หันพระพักตร์เข้าสู่พระปรินิพพานทันที

    สมเด็จพระชินสีห์เจ้าบรมโลกุตมาจารย์ ทรงทราบเหตุการณ์ด้วยพระญานวิเศษโดยตลอดแล้ว จึงทรงมีพระพุทธฏีกาตรัสกับพระอานนท์ว่า

    " ดูก่อนอานนท์! เธอจงไปบอกพระสงฆ์ทั้งปวงให้ทราบจงทั่วกันว่ามารดาของเราตถาคตปรินิพพานในกาลบัดนี้แล้ว"

    ได้สดับพระดำรัสองค์สมเด็จพระประทีปแก้วดั่งนี้ ท่านพระอานนท์ซึ่งยังเป็นเสขบุคคล มีกิเลสยังไม่ปราศจากขันธ ก็มิอาจจะกลั้นความโศกาลัยไว้ได้ อัสสุชลไหลโซมพักตร์อยู่พรากๆ เที่ยวอุโฆษณาการแก่พระสงฆ์ทั้งปวงด้วยสรุเสียงอันน่าสงสารว่า

    " ข้าแต่พระสงฆ์ทั้งปวง เจ้าข้า! ขอพระสงฆ์ทั้งหลายบรรดาที่อยู่ในทิศทั้งสี่ จงฟังคำของข้าพเจ้าผู้ชื่อว่าอานนท์ คือว่ากาลนี้เป็นกาลอันไม่ควรจะพึงมี แต่ก็ได้ปรากฏมีขึ้นแล้ว ด้วยว่าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงมีพระพุทธบัญชาให้ข้าพระเจ้าอานนท์ประกาศว่า สมเด็จพระมหาปชาบดีเถรีซึ่งมีนามบัญญัติว่าเป็นพระพุทธมาตุจฉา แต่ทรงตั้งอยู่ในฐานะเป็น " พระพุทธมารดา" นั้น บัดนี้ท่านดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานเสียแล้ว ขอพระสงฆ์ทั้งปวงจงพากันไปยังภิกขุณูปัสสยารามอันเป็นที่ที่ท่านนิพพานนั้นโดยเร็วเถิด เจ้าข้า"

    บรรดาสงฆ์ทั้งหลายที่ได้ฟังคำประกาศอันน่าสงสารนั้น บางท่านที่อยู่ใกล้ ๆ ต่างก็พากันรีบเดินทางไปสู่ภิกขุณูปัสสยารามเป็นทิวแถวมากมายสำหรับท่านที่อยู่ไกลในถิ่นประเทศอื่น ซึ่งได้สดับคำประกาศนั้นด้วยพิพย์โสตญาณก็พลันมาโดยอริยฤทธิ์


    ณ เมืองเวรัญชา

    ในพรรษาที่ ๑๒ นี้ พระพุทธเจ้าทรงจำพรรษาที่ปุจิมัณฑมูล ณ ควงไม้สะเดา ที่นเฬรุยักษ์สิงสถิต อยู่ใกล้เมืองเวรัญชา จากนั้นเสด็จออกจากเมืองเวรัญชา จาริกผ่านเมืองโสเรยยะ ผ่านเมืองท่าปยาคะ เสด็จออกจากเมืองโสเรยยะ ผ่านเมืองท่าปยายาคะ เสด็จข้ามแม่น้ำคงคาที่ท่าเมืองปยาคะ แล้วเสด็จไปยังเมืองพาราณสี จากนั้นเสด็จจาริกไปนครเวสาลี เข้าประทับที่กูฏิบัติสำหรับพระภิกษุเป็นประถม กำหนดเป็นปฐมบัญญัติจัดเข้าในอุเทศแห่งพระปาฏิโมกข์ในพระพุทธศาสนา


    พรรษาที่ ๑๓
    - จำพรรษาที่จาลิกบรรพต เมืองจาลิกา เรื่องพระเมฆิยะ
    หลังออกพรรษา แสดงมงคลสูตร ๓๘ ประการ
    แสดงกรณีเมตตาสูตร เรื่องพระพาหิยะทารุจิริยะ
    พระอัญยาโกณฑัญญะทูลลานิพพาน
    พระอัญญาโกณฑัญญะเถระ เดิมชื่อ โกณฑัญญะ เกิดในตระกูลพราหมณ์แห่งบ้านโทณวัตถุ กรุงกบิลพัสดุ์ เป็นหนึ่งในจำนวนพราหมณ์ ๘ คน ที่พระเจ้าสุทโธทนะทรงคัดเลือกให้ทำนายพระลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะหลังประสูติได้ ๕ วัน พราหมณ์ ๗ คนทำนายเป็นสองลักษณะว่า ถ้าเจ้าชายจะอยู่ครองเพศฆราวาสจะได้เป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ถ้าเสด็จออกผนวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก โกณฑัญญะคนเดียวที่ยืนยันว่าเจ้าชายสิทธัตถะจะเสด็จออกผนวชและจะได้เป็นพระศาสดาแน่นอน
    เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช โกณฑัญญะจึงชวนบุตรพราหมณ์ ๔ คนคือ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะและอัสสชิ ออกบวชตามไปคอยปรนนิบัติพระองค์อยู่ขณะพระองค์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ((ปัจจุบันสถานที่นี้เรียกว่า ดงคศิริ) ด้วยหวังว่าหลังจากพระองค์ตรัสรู้แล้ว จักได้รับคำสั่งสอนจากพระองค์ แต่เมื่อเห็นว่าพระองค์ทรงเลิกทำทุกรกิริยาคือการอดอาหาร หันมาเสวยพระกระยาหารตามเดิม โกณฑัญญะและสหายทั้งสี่เข้าใจว่าพระองค์ทรงคลายความเพียรเวียนกลับมาเป็นคนมักมากเสียแล้ว ไม่มีโอกาสตรัสรู้ตามที่ตั้งใจแน่ จึงพากันละทิ้งพระองค์ไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี
    เมื่อพระสิทธัตถะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทรงดำริหาผู้ที่จะรับฟังธรรม ทรงเห็นว่าปัญจวัคคีย์มีพื้นฐานความรู้ที่จะพอเข้าใจได้ จึงเสด็จดำเนินด้วยพระบาทจากพุทธคยาสถานที่ตรัสรู้มุ่งไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน หลังจักทรงสามารถทำให้ปัญจวัคคีย์เชื่อว่าพระองค์ได้ตรัสรู้แน่แล้วและยินยอมฟังธรรม พระองค์จึงทรงแสดง "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" ให้ฟัง
    ในที่สุดแห่งพระธรรมเทศนานั้น โกณฑัญญะ ได้ "ธรรมจักษุ" (ดวงตาเห็นธรรม) คือเข้าใจแจ่มแจ้งตามสภาพความเป็นจริงว่า "สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเ้ป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมมีการดับสลายไปเป็นธรรมดา" และบรรลุเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน
    พระพุทธองค์ได้ทรงเปล่งอุทานว่า "อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ" แปลว่า " โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ" อาศัยพระอุทานว่า "อญฺญาสิ" ที่แปลว่า ได้รู้แล้วนั้น คำว่า "อญฺญา" จึงได้กลายมาเป็นคำนำหน้าชื่อท่านว่า "อัญญาโกณฑัญญะ" แต่บัดนั้นมา
    ครั้งท่านโกณฑัญญะได้ธรรมจักษุแล้ว ก็ได้ทูลขออุปสมบท พระพุทธเจ้าก็ทรงประทานอนุญาตให้อุปสมบทด้วยวิธี "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" พระอัญญาโกณฑัญญะได้เป็นพระสงฆ์รูปแรกและเป็นปฐมสาวก
    หลังจากพระอัญญาโกณฑัญญะอุปสมบทแล้ว พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาเบ็ตเตล็ดโปรดท่านทั้งสี่ที่เหลือตามสมควรแก่อัธยาศัยให้ได้เห็นธรรมและทรงประทานเอหิภิกขุอุปสมบทให้โดยลำดับ ครั้นพระปัญจวัคคีย์ได้อุปสมบทครบทุกรูปแล้ว พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงอนัตตลักขณสูตรโปรดท่านทั้งห้า ซึ่งได้บรรลุอรหัตผลในคราวเดียวกัน
    ต่อมา เมื่อพระบรมศาสดาทรงส่งพระสาวกออกประกาศพระศาสนา พระปัญจวัคคีย์ก็ได้จาริกไปบำเพ็ญศาสนกิจในถิ่นต่างๆ เป็นกำลังสำคัญของพระพุทธศาสนา เฉพาะพระอัญญาโกณฑัญญะนั้นได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดาว่าเป็นเอตทัคคะในบรรดาภิกษุผู้รัตตัญญูคือ "ผู้มีประสบการณ์มาก" เมื่อพระอัญญาโกณฑัญญะเข้าสู่วัยชรามากแล้ว ท่านได้ทูลลาพระบรมศาสดาไปจำพรรษาอยู่ ณ สระฉัททันต์ ในป่าหิมพานต์ อยู่ที่นั่นได้ ๑๒ ปี จึงปรินิพพานก่อนพุทธปรินิพพาน

    พรรษาที่ ๑๔
    - จำพรรษาที่วัดเชตวัน สาวัตถี
    สามเณรราหุลอุปสมบท ตรัสภัทเทกรัตตคาถา แสดงนิธิกัณฑสูตร
    หลังออกพรรษา บัญญัติวิธีกรานกฐิน อนุญาตสงฆ์ รับการปวารณาปัจจัยเภสัชเป็นนิตย์


    ณ พระเชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี

    ในพรรษานี้พระพุทธเจ้าทรงประทับที่พระเชตวันมหาวิหารเป็นพรรษาแรก มหาวิหารแห่งนี้อนาถบิณฑิกเศรษฐีผู้เป็นมหาอุบาสกคนสำคัญสร้างถวาย เป็นมหาวิหารที่ใหญ่โตยังความสะดวกและความสงบได้ยิ่งกว่าวิหารใดในชมพูทวีป พระพุทธเจ้าทรงประทับพรรษาอยู่ ณ มหาวิหารแห่งนี้ถึง ๑๙ ฤดูฝน พระธรรมส่วนใหญ่แสดงที่มหาวิหารแห่งนี้





    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย auddy228; 13-12-2009 at 20:48.

  7. #7
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ auddy228
    วันที่สมัคร
    Jun 2007
    ที่อยู่
    THAILAND
    กระทู้
    1,176
    บล็อก
    1

    สว่างใจ พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ๗

    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า พรรษาที่ ๑๕และ ๑๖


    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า  ๗



    พรรษาที่ ๑๕
    - จำพรรษาที่นิโคธาราม กรุงกบิลพัสดุ์
    - เจ้าศากายะถวายสัณฐาคาร แสดงสัปปุริสธรรม ๗ ประการ เรื่องพระเจ้าสุปปพุทธะถูกธรณีสูบลงอเวจี
    - หลังออกพรรษา ไม่ปรากฏหลักฐาน

    ณ นิโครธาราม นครกบิลพัสดุ์

    ในพรรษาที่ ๑๕ นี้ พระพุทธเจ้าทรงประทับจำพรรษาที่นิโครธารามอารามที่พระญาติสร้างถวายอยู่ใกล้นรกบิลพัสดุ์ เมืองหลวงของแคว้นสักกะหรือศากยะ ที่ได้ว่า "กบิลพัสดุ์" เพราะเดิมเป็นที่อยู่ของกบิลดาบส ซึ่งเดิมอยู่ในดงไม้สักกะ หิมพานต์ประเทศ พระราชบุตรและพระราชบุตรี ของพระเจ้าโอกการาชพากันไปสร้างพระนครใหม่ในที่อยู่ของกบิลดาบส จึงขนานนามว่า "กบิลพัสดุ์" แปลว่า ที่อยู่หรือที่ดินของกบิลดาบส



    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า  ๗



    พรรษาที่ ๑๖
    ณ อัคคาฬวเจดีย์วิหาร เมืองอาฬวี

    ในพรรษาที่ ๑๖ นี้ พระพุทธเจ้าเสด็จมายังเมืองอาฬวี ทรงแสดงพุทธอิทธานุภาพปราบฤทธิ์เดชของอาฬวกยักษ์ ทรงพยากรณ์แก้ปัญหาที่อาฬวกยักษ์ทูลถาม ทำให้อาฬวกเกิดปัญญาเห็นแจ้งในธรรมสิ้นความโหดร้าย ตั้งอยู่ในภูมิโสดาปัตติผลมอบตนลงเป็นทาสพระรัตนตรัยตั้งมั่นอยู่ในอริยธรรม ทรงช่วยให้ประชากรชาวเมืองอาฬวีตั้งอยู่ในกัลยาณธรรมให้เป็นสมาบัติปลุกให้เกิดความเมตตาปรานีกันทั่วหน้า






  8. #8
    แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ สัญลักษณ์ของ บ่าวเมืองลำดวน
    วันที่สมัคร
    Sep 2009
    กระทู้
    598
    ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆครับ

  9. #9
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ auddy228
    วันที่สมัคร
    Jun 2007
    ที่อยู่
    THAILAND
    กระทู้
    1,176
    บล็อก
    1

    สว่างใจ พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ๘

    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า พรรษาที่ ๑๗, ๑๘ ,๑๙


    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า  ๘


    พรรษาที่ ๑๗
    - จำพรรษาที่วัดเวฬุวันมหาวิหาร พระนครราชคฤห์ นี้ พระพุทธเจ้าเสด็จกลับไปประทับจำพรรษา ณ พระเวฬุวันวิหาร พระนครราชคฤห์ อันเป็น สังฆารามแห่งแรกในพระพุทธศาสนาอีกครั้งหนึ่ง
    - พระทัพพมัลลบุตรทูลลานิพพาน
    - หลังออกพรรษา เรื่องพระวักกลิ

    วัดเวฬุวันมหาวิหาร หรือ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน เป็นอาราม (วัด) แห่งแรกในพระพุทธศาสนา ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาเวภารบรรพต บนริมฝั่งแม่น้ำสรัสวดีซึ่งมีตโปธาราม (บ่อน้ำร้อนโบราณ) คั่นอยู่ระหว่างกลาง นอกเขตกำแพงเมืองเก่าราชคฤห์ (อดีตเมืองหลวงของแคว้นมคธ) รัฐพิหาร ประเทศอินเดียในปัจจุบัน (หรือ แคว้นมคธ ชมพูทวีป ในสมัยพุทธกาล)


    คำว่า เวฬุวัน แปลว่า สวนไผ่ เดิมอารามแห่งนี้เป็นพระราชอุทยานของพระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์แคว้นมคธ ตั้งอยู่นอกเมืองราชคฤห์ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วได้เสด็จไปยังเมืองราชคฤห์ พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยข้าราชบริพารเข้าไปเฝ้า หลังจากทรงสดับธรรมแล้วทรงเลื่อมใสจึงถวายสวนเวฬุวันเป็นพุทธบูชา ด้วยทรงเห็นว่าเป็นที่สงบร่มรื่น เหมาะสำหรับอยู่บำเพ็ญธรรมของพระสงฆ์ ถือกันต่อมาว่าสถานที่นี้เป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา เรียกว่า วัดเวฬุวันมหาวิหาร นอกจากนี้วัดนี้ยังเป็นสถานที่พระพุทธเจ้าแสดงโอวาทปาติโมกข์แก่พระสาวกจำนวน 1,250 รูป แล้วส่งไปเป็นพระธรรมทูตประกาศพระศาสนา อันเป็นที่มาของวันมาฆบูชา[3]

    วัดเวฬุวันมหาวิหาร ปัจจุบันยังคงอยู่ เป็นซากโบราณสถานในสวนไผ่ที่ร่มรื่น มีสระน้ำขนาดใหญ่ภายใน มีรั้วรอบด้าน อยู่ในความดูแลของทางราชการอินเดีย




    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า  ๘




    พรรษาที่ ๑๘
    - จำพรรษาที่จาลิกบรรพต เมืองจาลิกา
    - หลังออกพรรษา เสด็จเมืองอาฬาวีครั้งที่ ๒ โปรดธิดาช่างหูกบรรลุโสดาปัตติผล
    ช่างหูกผู้เป็นบิดาขอบวชสำเร็จอารหัตตผล ตรัสอริทรัพย์ ๗ ประการ

    ธนสูตรที่ ๒
    เล่มที่ ๒๓
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทรัพย์ ๗ ประการนี้ ๗ ประการเป็นไฉน คือ
    ทรัพย์ คือ ศรัทธา ๑ ศีล ๑ หิริ ๑ โอตตัปปะ ๑ สุตะ ๑ จาคะ ๑ ปัญญา ๑

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพย์คือ ศรัทธาเป็นไฉน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีศรัทธา คือ เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เอง โดยชอบ ฯลฯ เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม นี้เรียกว่า ทรัพย์คือศรัทธา ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพย์คือ ศีลเป็นไฉน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้เป็นผู้เว้นจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ จากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท นี้เรียกว่า ทรัพย์คือ ศีล ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพย์คือหิริเป็นไฉน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีความละอาย คือ ละอายต่อกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ละอายต่อการถูกต้องอกุศลธรรมอันลามก
    นี้เรียกว่า ทรัพย์คือหิริ ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพย์คือ โอตตัปปะเป็นไฉน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีความสะดุ้งกลัว คือ สะดุ้งกลัวต่อกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต สะดุ้งกลัวต่อการถูกต้องอกุศลธรรมอันลามก
    นี้เรียกว่า ทรัพย์คือ โอตตัปปะ ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพย์คือ สุตะเป็นไฉน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้เป็นพหูสูต ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้สดับมามาก ทรงไว้คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ ซึ่งธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง
    นี้เรียกว่า ทรัพย์คือสุตะ ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพย์คือ จาคะเป็นไฉน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีใจอันปราศจากมลทิน คือ ความตระหนี่ อยู่ครองเรือน มีจาคะอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามืออันชุ่ม ยินดีในการสละ ควรแก่การขอ ยินดีในทานและการจำแนกทาน
    นี้เรียกว่า ทรัพย์คือจาคะ ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพย์คือ ปัญญาเป็นไฉน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีปัญญา คือ ประกอบด้วยปัญญาที่กำหนดความเกิด และความดับ เป็นอริยะ ชำแรกกิเลสให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ
    นี้เรียกว่า ทรัพย์คือปัญญา

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทรัพย์ ๗ ประการนี้แล ฯ
    ทรัพย์ คือ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ และปัญญาเป็นที่ ๗
    ทรัพย์เหล่านี้มีแก่ผู้ใด เป็นหญิงหรือ ชายก็ตาม บัณฑิตเรียกผู้นั้นว่า เป็นผู้ไม่ยากจน ชีวิตของผู้นั้นไม่เปล่าประโยชน์ เพราะฉะนั้น ท่านผู้มีปัญญา เมื่อระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พึงประกอบศรัทธา ศีล ความเลื่อมใส และการเห็นธรรม ฯ
    จบสูตรที่ ๖



    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า  ๘



    พรรษาที่ ๑๙
    - จำพรรษาที่จาลิกบรรพต เขตเมืองจาลิกา ออกพรรษา เรื่องโปรดโจรองคุลีมาล เรื่องสันตติมหาอำมาตย์บรรลุอรหัตตผลแล้วนิพพาน




  10. #10
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ auddy228
    วันที่สมัคร
    Jun 2007
    ที่อยู่
    THAILAND
    กระทู้
    1,176
    บล็อก
    1

    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ๙

    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า พรรษาที่ ๒๑ - ๔๔


    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า  ๙


    พรรษาที่ ๒๐
    - จำพรรษาที่เวฬุวัน เมืองราชคฤห์
    พระอานนท์ได้เป็นอุปัฏฐากประจำพระองค์ พระอานนท์ทูลขอพร ๘ ประการ
    ณ พระเวฬุวันวิหาร พระนครราชคฤห์

    พร ๘ ประการที่พระอานนท์ทูลขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ๑.อย่าให้พระพุทธเจ้าประทานจีวรอันประณีตแก่ข้าพระองค์

    ๒.อย่าให้พระพุทธเจ้าประทานอาหารอันประณีตแก่ข้าพระองค์

    ๓.อย่าโปรดให้ข้าพระองค์อยู่ในที่ประทับของพระพุทธเจ้า

    ๔.เวลาพระพุทธเจ้าเสด็จไปในที่นิมนต์ก็ไม่ต้องพาข้าพระองค์ไป

    ๕.เมื่อข้าพระองค์รับนิมนต์ที่ไหนไว้ ก็ขอให้พระพุทธเจ้าเสด็จไปสงเคาระห์แก่ผู้นิมนต์ในที่นั้น

    ๖.เมื่อพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา หรือแม้แต่คนที่ยังไม่ได้นับถือพุทธศาสนาต้องการจะมาเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ขอให้ข้าพระองค์นำคนเหล่านั้นเข้าเฝ้าตามต้องการ

    ๗.หากข้าพระองค์เกิดความข้องใจสงสัยในเรื่องอะไรขึ้นมาขอให้ข้าพระองค์มีโอกาสเข้าเฝ้ากราบทูลถามปัญหาได้เมื่อนั้น

    ๘.เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องอะไรในขณะที่ข้าพระองค์ไม่ได้ฟังอยู้ด้วย ขอพระพุทธเจ้าแสดงธรรมนั้นแก่ข้าพระองค์อีกครั้งหนึ่ง


    ในพรรษานี่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จกลับมาประทับจำพรรษา ณ สังฆารามแห่งแรกนี้เป็นการประทับจำพรรษาสุดท้ายของพระพุทธเจ้า ณ พระเวฬุวันวิหาร พระบรมศาสดาทรงโปรดองคุลิมาลโจรให้กลับใจได้ขอบวชและต่อมาก็ได้สำเร็จพระอรหัต ในลำดับกาลพรรษานี้ พระอานนท์ได้รับหน้าที่เป็นพุทธอุปัฏฐากประจำพระองค์พระพุทธเจ้า



    พุทธกิจ ของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า  ๙




    พรรษาที่ ๒๑-๔๔
    - จำพรรษาที่วัดเชตวัน วัดบุพพาราม สลับกันไปหลังออกพรรษาที่จาริกไปตามตำบลต่างๆ เพื่อโปรดเวไนยสัตว์
    - พรรษาที่ ๒๑ จำที่วัดบุพพาราม สาวัตถี พระองทรงแสดงโอวาทปาฏิโทกข์ในที่ประชุมสงฆ์ทุกกึ่งเดือน ครั้งแรก
    - พรรษาที่ ๒๖ พระราหุลนิพพาน
    - พรรษาที่ ๓๗ เทวทัตคิดปกครองสงฆ์ วางแผนปลงพระชนม์พระศาสดา ปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสาร พระเทวทัตถูกธรณีสูบ
    - พรรษาที่ ๓๘ แสดงสามัญญผลสูตรแก่อชาติศัตรู อชาติศัตรูแสดงตนเป็นพุทธมามกะ กรุงสาวัตถี อำมาตย์ก่อการขบถ
    พระเจ้าปเสนทิโกศลสิ้นพระชนม์ พระเจ้าวิฑูฑภะฆ่าล้างวงศ์ศากยะ พระเจ้าวิฑูฑภะสิ้นพระชนม์
    - พรรษาที่ ๔๓ พระยโสธราเถรีนิพพาน
    - พรรษาที่ ๔๔ แสดงธรรมใที่วัดเชตวัน ตอบปัญหาเทวดา หลังออกพรรษา พระสารีบุตรทูลลานิพพาน
    พระสารีบุตรโปรดมารดาจนบรรลุโสดาปัตติผลพระสารีบุตรนิพพาน พระโมคคัลลานะถูกโจรที่เดียรถีย์จ้างมาทำร้าย
    พระโมคคัลลานะนิพพาน นางอัมพปาลีถวายอาราม นางอัมพปาลีบรรลุธรรม





หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 2 หน้า 12 หน้าสุดท้ายหน้าสุดท้าย

Tags for this Thread

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •