กำลังแสดงผล 1 ถึง 2 จากทั้งหมด 2

หัวข้อ: อยากมี อยากได้ ไม่อยากเลี้ยง

  1. #1
    Maximum learning
    ศิลปิน นักเขียน
    สัญลักษณ์ของ khonsurin
    วันที่สมัคร
    Apr 2008
    ที่อยู่
    ท่าตูม สุรินทร์
    กระทู้
    8,063
    บล็อก
    197

    อยากมี อยากได้ ไม่อยากเลี้ยง

    อยากมี อยากได้ ไม่อยากเลี้ยง




    สภาพครอบครัวไทยจากครอบครัวใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยวทำให้การแตกแยกของสามีภรรยาเกิดขึ้นง่ายเพราะขาดคำแนะนำจากผู้ใหญ่ ความยับยั้งชั่งใจมีน้อยลง มีกรณีศึกษาที่เกิดจากความเห็นแก่ตัวซึ่งแพร่หลายในสังคมไทย คือ คนอยากมีเมีย มีลูก แต่ไม่อยากเลี้ยงหรือรับผิดชอบใดๆ มักเกิดกับผู้ชายที่มีความเห็นแก่ตัว ชอบเอาเปรียบ หากภรรยาเป็นแม่บ้านอ่อนแอแล้วพบสามีประเภทนี้ต้องพบความลำบากใจยิ่งเมื่อภาระทุกอย่างตกอยู่ที่เธอ ส่วนสามีก็เริงร่าหาความสุขฝ่ายเดียว การแต่งงานคือความรับผิดชอบในชีวิตของคู่สมรส เมื่อมีลูกเป็นสายโซ่คล้องหัวใจและเป็นตัวแทนของคู่สมรส บิดามารดาก็ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบชีวิตและอนาคตของเด็กชายหรือเด็กหญิงร่วมกัน มันกำหนดไว้ในกฎหมายไทยด้วย ดังนั้น ก่อนชายหรือหญิงจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันต้องยอมรับหน้าที่ในกฎหมายที่พึงมีต่อกันด้วย ถ้าคิดว่ารับผิดชอบไม่ได้หรือไม่อยากรับภารกิจนั้น ก็ต้องยับยั้งชั่งใจและไม่ทำลายชีวิตของอีกคนให้เป็นบาปกรรมติดตัว



    กฎหมายแพ่งและพาณิชย์หมวดครอบครัว กำหนดว่า สามีภรรยามีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน ความหมายคือ เมื่อชายหญิงแต่งงานกันตามกฎหมาย หมายถึง จดทะเบียนสมรสกับเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องมีหน้าที่คือ ดูแลเลี้ยงดูเอาใจใส่คู่สมรสให้มีความสุขตามอัตภาพ มันช่วยส่งเสริมให้คู่สมรสมีความรับผิดชอบและสร้างความแข็งแกร่งให้สถาบันครอบครัวไทยชัดเจน แต่สภาพสังคมไทยวันนี้ชายจำพวกหนึ่งมีความเห็นแก่ตัวอย่างไม่ละอายใจเมื่ออยากมีเมีย มีลูก เพื่ออวดสังคมหรือความหลงตน แต่ไม่ต้องการรับผิดชอบต่อเธอหรือลูก ถ้าเรียกภาษาชาวบ้านคือ ทอดทิ้ง จึงกลายเป็นภาระหนักของภรรยาที่ต้องพาชีวิตตนเองและลูกให้อยู่รอดเมื่อเจอสามีประเภทนี้




    กฎหมายกำหนดหน้าที่รับผิดชอบให้สามีภรรยาแล้ว เมื่อไม่มีการปฏิบัติหน้าที่ของตน ผู้เสียหายจึงมีสิทธิเรียกร้องให้สามีปฏิบัติหน้าที่ในกฎหมาย การตีความคำว่า อุปการะเลี้ยงดู ต้องขึ้นอยู่ข้อเท็จจริงและประเพณีปฏิบัติต่อกัน ตัวอย่างเช่น ชายให้เมียรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้านแล้วเบิกจากเขาทีหลังทั้งที่เมียไม่ได้ทำงานและเขาไม่เคยให้เงินไว้ใช้จ่าย ทำให้เธอส่งใบเรียกเก็บเงินให้เขาเพื่อขอเงินไปจ่ายทีหลัง กลับโดนเขาด่าตำหนิว่าทำให้อับอายเพราะคนอื่นคิดว่าเขาไม่มีเงินจ่าย การทะเลาะจึงมีขึ้นทุกเดือนด้วยเรื่องนี้ อีกปัญหาหนึ่ง คือ ชายให้เงินแก่เมียสำหรับค่าใช้จ่ายในบ้านที่น้อยกว่าความเป็นจริง แล้วบอกว่าถ้าจ่ายเกินต้องไปหาใช้เองหรือขอจากเขาก็ต้องจ่ายเงินคืนทุกบาททุกสตางค์ หรือ ถ้าใช้เงินของเขาก็ต้องนำเงินมาคืนเขาเร็วที่สุด มิฉะนั้น จะคิดดอกเบี้ย ปัญหาเหล่านี้จะเข้มข้นขึ้นเมื่อภรรยาเป็นแม่บ้านที่ไม่มีงานอื่นทำเลย หากสังเกตให้ดีจะเป็นความตั้งใจของสามีที่บีบคั้นภรรยาให้อยู่อัตคัตและสะใจที่ควบคุมเธอได้ สิ่งที่พวกเธอจะได้รับต่อไป คือ ความไม่ซื่อสัตย์ของสามีด้วยข้ออ้างว่าเบื่อหน่ายชีวิตครอบครัวที่ภรรยาไม่ช่วยทำมาหากินด้วยหรืออ้างว่าทัศนะในการใช้ชีวิตแตกต่างกัน แรงบีบคั้นจะเพิ่มขึ้นถึงการทำร้ายร่างกายเมื่อภรรยาดื้อดึงไม่ยอมตกลงหย่าตามคำสั่งของเขา ส่วนภรรยามีหลายสาเหตุที่ไม่อยากหย่า เช่น เกรงจะดำรงชีพไม่ได้เพราะขาดความมั่นใจในตัวเองหลังจากเลิกร้างการทำงานมานาน กลัวสถานภาพหญิงม่าย ต้องการแก้แค้นที่อีกฝ่ายมีชู้ ข้อเสนอไม่ยอมแบ่งทรัพย์สินตามกฎหมายเมื่อหย่ากัน และอื่นๆ



    นอกจากบีบคั้นภรรยาโดยอาศัยเงินทองที่เขามีมากกว่าแล้ว ภรรยาประเภทนี้ยังต้องทนต่อคำพูดตำหนิติเตียนสารพัดอันเป็นการลดทอนคุณค่าของภรรยาจนบางครั้งนำไปสู่โศกนาฏกรรมฆ่าตัวตายของหญิงเพราะรู้สึกว่าตนเองไร้คุณค่าต่อสามีและต่อโลกใบนี้แล้ว สารพัดวิธีบีบคั้นได้ลามไปถึงลูกของคู่สมรสด้วยโดยชายทิ้งให้เป็นภาระของภรรยา ด้วยข้ออ้างว่างานเลี้ยงลูกเป็นของภรรยา ส่วนสามีต้องทำงาน เมื่อเหนื่อยก็ต้องพักผ่อน ค่าใช้จ่ายที่ภรรยาเบิกเพื่อเลี้ยงลูกจะถูกบ่นว่า สิ้นเปลือง ถ้ามีญาติตนหรือภรรยาให้เงินมาจะชอบใจมากว่าเขาไม่ต้องจ่ายแล้ว และอยากได้ของคนอื่นมาใช้ในครอบครัวแทนที่จะหาซื้อเองอันเป็นความเห็นแก่ตัวของชายที่แสดงชัดขึ้นเมื่อแต่งงานกันแล้ว



    กฎหมายกำหนดหน้าที่ของบิดามารดาต่อบุตรว่า บิดามารดามีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตร ถ้าบิดามารดาไม่ทำตามหน้าที่นั้น ผู้เสียหายหรือบุตรมีสิทธิ์ฟ้องบังคับให้ผู้กระทำผิดรับผิดชอบได้ทุกเวลา ตัวอย่างเช่น บิดาไปอยู่กับเมียน้อยโดยไม่ยอมส่งเงินค่าเรียนหนังสือให้บุตร มารดาของบุตรย่อมใช้สิทธิแทนบุตรเรียกร้องให้บิดาจ่ายเงินค่าเรียนนั้น ถ้าไม่มีหรือไม่จ่ายก็บังคับยึดทรัพย์ได้ เป็นต้น อันที่จริงกฎหมายกำหนดหน้าที่ให้คู่สมรส บิดามารดา แล้ว เพื่อส่งเสริมและเตือนย้ำให้มีความรับผิดชอบตามสถานภาพ แต่กฎหมายอย่างเดียวมิอาจแก้ไขปัญหาครอบครัวที่เกิดจากความเห็นแก่ตัวได้ จำต้องเพิ่มจิตสำนึกและคุณธรรมแก่เขาตั้งแต่เด็กเพื่อให้รู้จักความรับผิดชอบต่อครอบครัวในวันหน้า ดังนั้น ถ้าอยากให้เด็กรู้จักความกตัญญู บิดามารดาต้องกระทำตนเป็นตัวอย่างแรกให้ลูกเลียนแบบและนำสิ่งที่ดีติดตัวไป



    ไม่ว่าชีวิตครอบครัวจะเริ่มต้นด้วยความรัก ความใคร่ ความอยากเลียนแบบคนอื่น ก็ควรสำนึกในสถานภาพใหม่และความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นด้วย เขาหรือเธอจึงต้องปรับตัวให้พร้อมกับสถานภาพและหน้าที่ใหม่ เวลาจะพิสูจน์เนื้อแท้ว่าคู่สมรสหรือบิดามารดามีความรับผิดชอบกับหน้าที่ตามกฎหมายหรือศีลธรรมมากน้อยเพียงใด ขณะเดียวกันก็ต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังเสมอ ดังคำกล่าวที่ผู้ใหญ่สอนลูกหลานว่า การแต่งงานเหมือนกับการเลือกซื้อลอตเตอรี่ ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าเขาหรือเธอจะเป็นคนดี คนเก่ง คนรวย ดังภาพที่เห็นก่อนแต่งงานกันและจะเป็นเช่นนั้นตลอดกาล จึงควรเตรียมตัวพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงเสมอและไม่ควรตั้งความหวังให้สูงเกินไปเพราะถ้าพบความผิดหวัง อาจทำลายพลังใจของตนลง



    ปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นและมักเป็นต้นเหตุให้เกิดการข่มเหงในครอบครัวขึ้น คือ การไม่ควบคุมสัญชาตญาณเถื่อน อันหมายถึง การข่มเหงคนอ่อนแอ จึงมักได้ยินข่าวว่า สามีทุบตีทำร้ายหรือฆ่าภรรยาซึ่งสังคมถือว่าเพศหญิงเป็นเพศอ่อนแอ น้อยข่าวที่ภรรยาจะเป็นคนข่มเหง อันเนื่องจากผู้หญิงส่วนใหญ่เมื่อแต่งงานแล้วมักไม่ทำงานอีก และใช้ชีวิตแม่บ้านอย่างเดียว จึงกลายเป็นจุดอ่อนให้ถูกข่มเหงหรือควบคุมง่ายด้วยความกลัวลำบากและขาดความมั่นใจตัวเองเพราะไม่ได้ทำงานหรือเกี่ยวข้องกับผู้คนในสังคมน้อยลง เมื่อพบกับสามีที่เห็นแก่ตัวและขาดความรับผิดชอบจึงเป็นที่ระบายอารมณ์หรือแสดงความกร่างของเขาโดยปริยาย ชายประเภทนี้มักชอบกดขี่ทำลายตัวตนของภรรยาให้ต่ำลงเพื่อชดเชยปมด้อยในใจของเขา ตัวอย่างเช่น คนทำงานไม่เก่ง ขี้เกียจ ไปทำงานสายบ่อย โดนตำหนิติเตียนปัญหาจากที่ทำงานก็มักจะนำคำพูดของเจ้านายนั้นไปใช้กับภรรยาที่บ้านว่าเป็นคนแบบนั้นเพื่อชดเชยปมด้อยของตนโดยให้ภรรยาดูเป็นคนสุดแย่ มิใช่เขา คนไม่ยอมจ่ายเงินให้ภรรยาใช้ดูแลบ้านเพราะต้องการนำมันไปใช้เพื่อความสุขส่วนตัว เป็นต้น สิ่งที่เขากดขี่ข่มเหงนั้นล้วนมุ่งลดคุณค่าชีวิตของผู้หญิงให้ต่ำกว่าเขาและช่วยยกให้เขาดูยิ่งใหญ่ในบ้าน ทั้งที่เขาอ่อนด้อยในโลกแห่งความเป็นจริง ทั้งนี้ พฤติกรรมข่มเหงผู้อ่อนแอในบ้านมิได้มาจากฝีมือของผู้ชายเท่านั้น ผู้หญิงก็ทำกับผู้ชายได้ เพียงแต่มีน้อยกว่า การข่มเหงเพื่อแสดงความกร่างยังลามไปถึงเด็กในบ้านซึ่งเป็นลูกของคู่สมรสอีกด้วยเพราะเด็กเป็นคนอ่อนแอที่สุดในครอบครัวเสมอ



    หากสมาชิกครอบครัวรู้จักให้เกียรติกัน มีน้ำใจต่อกัน มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ สามีละทิ้งภรรยา บิดามารดาละทิ้งบุตร ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ การเตรียมตัวมิให้กลายเป็นเหยื่อในบ้าน คือ ชายหรือหญิงต้องไม่เป็นคนอ่อนแอด้วยการทำตนให้มีอนาคต หญิงที่คิดว่าแต่งงานแล้วจะเป็นแม่บ้านอย่างเดียว ไม่ทำงานอีกต่อไป สำหรับโลกยุคใหม่ชายหญิงมีสถานภาพทางสังคมเสมอภาคและภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันมิอาจโยนภาระนี้ให้ฝ่ายใดฝ่ายเดียวรับผิดชอบ แม้แต่แนวคิดเดิมที่เน้นให้หญิงรับภาระดูแลบ้านเลี้ยงลูกฝ่ายเดียวยังเปลี่ยนไปด้วยการให้สามีภรรยาต้องช่วยกันทำงานบ้าน ดูแลลูก ร่วมกัน ดังนั้น ก่อนแต่งงานหญิงทำงานหาเงินเลี้ยงตนเองได้ แม้แต่งงานแล้วก็ไม่ควรละทิ้งงานอย่างเด็ดขาด มันจะเป็นจุดอ่อนที่สามีใช้ควบคุมหรือข่มเหงคนที่ดูแลตัวเองไม่ได้หรือหาเงินเองไม่ได้



    หากสังเกตครอบครัวที่สามีภรรยาทำงานหาเงินได้ มักไม่พบเจอเรื่องการข่มเหงกันด้วยเหตุเงินทอง เพราะมิใช่จุดอ่อน แต่จะเป็นปัญหาหนักของภรรยาที่เป็นแม่บ้านอย่างเดียว เมื่อถูกขู่ว่าจะหย่า ถ้าไม่ยอมให้ข่มเหงต่อไป เธอจำต้องทนทรมานแบกรับไว้คนเดียวแล้วยังลามไปถึงความเป็นอยู่ที่ยากลำบากของลูกจากสามีหรือบิดาที่ไร้ความรับผิดชอบและจิตสำนึกของพ่อที่ไม่ใช่ผู้ประเสริฐด้วย ความทุกข์ของมารดาอาจระบายใส่ลูกอันทำลายสภาพจิตใจบริสุทธิ์ของเด็กได้ มารดาจึงควรเน้นแก้ปัญหาการข่มเหงโดยยืนหยัดด้วยความสามารถของตน มิใช่การพึ่งพาคนอื่น การตอบโต้ชายหรือหญิงที่อยากมี อยากได้ แต่ไร้ความรับผิดชอบ คือ อย่าทำตนเป็นคนอ่อนแอหรือมีจุดอ่อนให้น้อยที่สุด ชีวิตของท่านจึงมีความสุขได้ตามอัตภาพ แม่ลูกจะมีชีวิตสงบสุขได้ แม้จะมีสามีหรือบิดาที่ไร้คุณภาพก็ตาม





    ขอบคุณ คุณลูกแก้ว magnadream.spaces.live.com
    *********************************


    อิสระ เสรี เสมอภาค




    *********************************

  2. #2
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ pcalibration
    วันที่สมัคร
    Nov 2008
    ที่อยู่
    เมืองฉะเชิงเทรา(แปดริ้ว)
    กระทู้
    1,883
    บล็อก
    1
    ในเรื่องนี้อยากให้มองอย่างเป็น "ธรรม"
    ธรรมชาติ และ ธรรมนิติ

    ***โดยธรรมชาติแล้วมนุษ์ต้องอยู่ร่วมกันเป็นสังคมและสืบสายพันธุ์
    สิ่งที่เกิดขึ้นสาเหตุมาจาก พื้นฐานทางจิตใจ อารมณ์ สังคม เศรษฐกิจ ที่แวดล้อม เป็นตัวกระตุ้นและนำไปสู่ "เหตุ"คือความรุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆที่อยู่รอบข้างพื้นฐานทางจิตใจถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการเกิดของปัญหาต่างๆ
    ***ส่วนธรรมนิติ คือการมีใช้และมีไว้ซึ่งกฎหมาย ระเบียบกฎเกณฑ์
    ทางสังคมที่ให้สิทธิความเสมอภาคเท่าเทียมกันจริงๆและที่สำคัญที่สุดคือจิตสำนึกของ ปัจเจกบุคคลที่จะต้องเคารพในสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่นถึงแม้ว่าจะเป็นสามีภรรยา หรือคนในครอบครัวเดียวกัน
    ***จะเห็นว่ากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสิทธิสตรีมีออกมาใช้กันอย่างมากมาย ส่วนสาระสำคัญที่นำไปใช้ปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมจริงๆมีอยู่น้อยมาก บางทีการนำกฎหมายมาบังคับใช้เพียงอย่างเดียว
    ไม่ค่อยจะได้ผลเพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน

Tags for this Thread

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •