เช้าวันที่ 20 ก.พ. 53 รถจอดหน้าบ้านเกือบ 6โมงเช้า ไพลินหลานสาวถีบตัวออกจากหน้ารถ วิ่งไปเปิดประตูบ้าน ติดตามไปด้วย พี่ชายของฉัน ส่วนฉันพอจอดรถเรียบร้อย ก็วิ่งตามทุกคนเข้าไปในบ้าน ภาพที่เห็น แม่ของลูก ที่นั่งรออยู่บนที่นอนด้วยน้ำตานองหน้า ภาพหลานสาว หลานชายตัวน้อย กอดคุณยายไว้ และลูกชายของแม่กอดแม่ไว้แนบอกพร้อมกับน้ำตาหลั่งริน ฉันวิ่งเข้าไปสวมกอดแม่อีกคนกอดที่ท้องของแม่ที่โตเต็มที่ พร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ จนพ่อต้องปรามไว้ให้หยุดร้อง ...
วันนั้นทั้งวันแม่พูดคุยกับลูกๆ หลานๆ เดินเข้าห้องน้ำเอง ขับถ่ายเอง และเดินเข้าห้องนอนเองด้วยซ้ำ ไม่บ่งบอกว่าป่วยหนักเลย
เช้าวันอาทิตย์หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จทุกคนก็เตรียมตัวกลับบ้านกัน แม่มานั่งอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน กินมะขามหวานกับคนอื่นๆ เหมือนคนที่เพิ่งหายป่วย ฉันไปกราบเท้าแม่ แม่ใช้มือลูบหลังฉันไปทั่วๆเหมือนจะจดจำสัมผัสนั้นไว้ให้นานแสนนาน ฉันต้องเดินออกมาเพราะไม่อยากให้แม่เห็นน้ำตาฉันอีก ....
ฉันนั่งรถกลับกรุงเทพด้วยน้ำตานองหน้า จิตใจห่อเหี่ยวตลอดทาง แต่เพราะภาระและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ฉันต้องหันหลังให้แม่ที่ป่วยหนัก กลับมาทำงาน
แต่ยังไม่ทันที่ฉันต้องไปทำงาน สายๆของวันจันทร์ที่ 22 ก.พ. พี่สาวโทรมาบอกข่าวว่าแม่ปวดท้องหนักและเข้าโรงพยาบาล ตอนนี้อยู่ที่ รพ.ประจำอำเภอ เสียงพี่สาวไม่ดีเลย ฉันถามอาการต่อถึงได้ทราบว่า แม่เหนื่อย และหอบ ตลอดทาง ซึ่งเกรงว่าจะไปไม่ถึงตัวจังหวัดที่อยู่ห่าง 41 กม. ต้องแวะที่ อำเภอก่อน ฉันโทรศัพท์ไปๆ กลับๆ หาพี่สาว ที่ยโสธร และพี่ชายที่สมุทรสาคร ตลอดเวลา ถึงอาการของแม่ แต่ก็ไม่ดีขึ้นเลย
..ตกตอนบ่ายพี่สาวโทรมาอีกบอกว่าแม่เหนื่อยหนักแล้ว ต้องใส่ท่ออ๊อกซิเย่นทางปาก และส่ง รพ.ยโสธร หมอส่งแม่เข้า ไอซียู ...
..เย็นวันนั้นฉันและพี่ชายและหลานสาวหลานชาย นั่งรถกลับบ้าน วันนั้นไม่มีใครง่วงนอนสักคน นั่งนิ่งๆ สักพักก็จะได้ยินเสียงสะอื้นจากใครสักคนหรือทุกคนในรถที่กำลังมุ่งหน้าสู่ยโสธร
.. ตี3 ฉันเดินทางถึง รพ. แม่นอนรอพวกเราอยู่ด้วยสภาพที่เต็มไปด้วยสายอะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้ ระโยงระยางไปหมด ท่ออ็อกซิเย่นที่แม่ต้องอมไว้ในปากทำให้แม่พูดไม่ได้ มีแต่พยักหน้าและน้ำตานองหน้า และมองตามลูกๆแต่ละคน
.. ห้องไอซียูจะเปิดอีกครั้ง 7.00น. วันรุ่งขึ้น ทำไมเวลาถึงได้เดินช้านัก ลูกๆ 4 คนมองดูเข็มนาฬิกาเดินเป็นวงกลม กว่าจะพ้นนาที พ้นชั่วโมง กับเวลาที่แม่ต้องนอนทรมานอยู่ภายในห้อง ฉันอยากจะวิ่งหนีออกไปให้พ้นๆจากสภาพนั้น ที่จิตใจฉันเกินจะรับได้
..7.00น.ห้องเปิด ทุกคนก้าวพ้นประตูเข้าไปภายในห้อง เตียงของแม่อยู่ริมสุดของห้อง แต่ฉันมองเห็นภาพแม่กระจ่างที่สุด แม่ยังอยู่ในอาการเดิม แต่ตาโรยและเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน ฉันก้าวเข้าไปหาแม่พร้อมกับยิ้มให้กับแม่ ก้มลงพูดกับแม่ว่า "แม่หนูจะพาแม่กลับบ้าน แม่จะกลับบ้านไหม กลับบ้านเรานะแม่นะ"
แม่มองหน้าฉันด้วยน้ำตาและพยักหน้ารับหลายๆครั้ง พร้อมกับพูดผ่านท่อออกมาว่า "เมือ" และใช้แรงที่แม่เหลืออยู่กำมือของฉันแน่น
..8.00น. ฉันพาแม่กลับบ้านพร้อมกับพยาบาลที่ไปช่วยบีบ แม่โชคดีเหลือเกินที่ได้นอนกลับบ้านบนรถของลูกชายคนเดียวของแม่ พร้อมกับรถนำทาง ของ สส. และรถประกบหน้าหลัง ของลูกหลาน ฉันนั่งกอดรูปแม่อยู่หน้ารถเพราะไม่สามารถทนนั่งไปกับแม่ได้ ปล่อยให้พี่สาว พี่เขยและหลานสาวนั่งไปกับแม่
..8.45น. ถึงบ้านแล้วแม่ ทุกคนช่วยกันพาแม่ลงไปนอนในบ้านที่แม่แสนรักและโหยหามาตลอด แต่เพราะหน้าที่และความจำเป็นที่แม่ต้องไปเลี้ยงหลานๆอยู่ที่กรุงเทพ
พ่อนั่งนิ่ง น้ำตาไหลริน ที่เมียที่แสนรักกำลังจะถูกพรากไป ทุกคนหาดอกไม้ธูปเทียนไป ขอขมาแม่ ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง มองดูพี่สาว และพี่ชายแต่ละคนความรู้สึกไม่ได้แตกต่างกัน เพราะเรารักแม่เหลือเกิน ครอบครัวเราอบอุ่นและรักใคร่กลมเกลียวกัน เราไม่เคยทะเลาะกัน แต่เรากำลังจะเสียบุพการีที่ให้กำเนิดเรามา แม่ที่ทำทุกอย่างเพื่อเรามาตั้งแต่เด็กๆ จนโต เราก็ยังเป็นลูกเล็กๆของแม่เสมอ
...12.30 แม่ค่อยๆอ่อนแรงลงเอง โดยไม่มีการทุรนทุราย ลูกๆท่องชินบัญชร อิติปิโส และบทสวดต่างๆให้แม่ฟัง แม่ของลูกท่องตามได้บ้างไม่ได้บ้างตามแรงกายของแม่ แต่แรงใจของแม่ไม่มีหมด จน10 นาทีสุดท้าย ฉันกระซิบข้างหูแม่ "แม่กำหนดลมหายใจตามหนูนะ แล้วท่อง พุทโธ พุทโธ พุทโธ ถ้าแม่ง่วงแม่หลับไปเลยนะ
แม่ของลูก พ่นลมจากปากเสียงดัง โธ โธ
...12.50น. แม่เหนื่อยมากและอ่อนแรงลง อ่อนลง และแม่ก็สิ้นลมอย่างสงบ
ในวันที่ 23 ก.พ. 53
****ขอดวงวิญญาณของแม่ที่รักของลูก ขอแม่สู่สุคติ ในสัมปรายภพ ด้วยเทอญ ***
Bookmarks