1มิถุนายน2550 วันที่ผมได้มีโอกาสเดินทางมาที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อรอขึ้นเครื่องเดินทางมาทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น ณ เมืองฮิโรชิมา ด้วยความตื่นเต้นไม่มีใครมาส่งที่สนามบินเพราะเส้นทางไกลของบ้านที่อยู่ต่างจังหวัดลำบากเรื่องการเดินทาง ก่อนออกจากบ้านได้กราบลาพ่อแม่พี่น้องลุงป้าย่ายายหลายๆคนเพื่อขอพรในการเดินทาง มีแม่มาส่งทางลูกที่สถานีรถไฟศรีสะเกษเพียงลำพังเพื่อเดินทางมาที่บริษัทจัดหางานที่กรุงเทพ
วันที่1 มิถุนายน บริษัทพาขึ้นรถมาที่สนามบินเพื่อรอขึ้นเครื่องโดยมีเพื่อนร่วมรุ่นมาด้วยกันทั้งหมดยี่สิบสองคนทุกคนก็ต่างมีความหวังในการเดินทางไปขายแรงครั้งนี้ในต่างแดน หลายคนคือครั้งแรกในชีวิตกับการเดินทางไปทำงานที่ต่างแดนครั้งนี้รวมถึงผมด้วยบางคนก็มีประสบการณ์มาบ้างแล้ว ช่วงรอคอยขึ้นเครื่องก็คุยกันด้วยความสนุกสนานแบบพี่แบบน้องด้วยความตื่นเต้นกับประสบการณ์ใหม่ในชีวิต ตีหนึ่ง ได้เวลาขึ้นเครื่องกับสายการบิน บางกอกแอร์เว เพื่อลงที่สนามบินฮิโรชิมา
ทุกคนเดินขึ้นเครื่องเพื่อประจำที่นั่งในเครื่องแล้วก็รัดเข็มขัด(ช่วงนั้นทั้งกลัวทั้งตื่นเต้นมากเลยกับการขึ้นเครื่องบินครั้งแรกในชีวิตอิอิ) แล้วเครื่องก็พาพวกเรายี่สิบสองชีวิตแรงงานบวกกับอาจารย์สอนภาษาและคนญี่ปุ่นเต็มลำเครื่องบินมุ่งหน้าสู่น่านฟ้าประเทศญี่ปุ่นเครื่องมาถึงสนามบินฮิโรชิมาเวลาประมาณสองโมงเช้าญี่ปุ่น(หกโมงเช้าบ้านเราเพราะห่างกันสองชั่วโมงพอดี)
มีรถขององค์กรมารับ เป็นรถบัสขนาดกลาง ประเทศญี่ปุ่นช่วงนั้นเย็นสบายจนบางครั้งก็หนาวเพราะบ้านเราร้อนก็เก็บกระเป๋าสัมภาระขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางมาที่บริษัทที่อยู่อีกเมืองคือเกาะ อินโนชิมา พอมาถึงที่องค์กรมีเจ้าขององค์กรคนญี่ปุ่นมารอรับพร้อมกับลูกชายเจ้าของโรงงานที่จะไปอยู่ประจำมารอรับด้วยความยินดี (คนญี่ปุ่นอ่อนน้อมถ่อมตนดีมากๆครับ)
หลังจากทักทายกันพอสมควรคิดว่าจะได้พักผ่อนที่ไหนได้องค์กรให้เข้าเรียนต่อ เซ็งเลยก็เข้าเรียนภาษาต่อจนถึงบ่ายองค์กรก็พาไปส่งที่พักมีรถของโรงงานมารับพร้อมกับซื้ออุปกรณ์อำนวยความสะดวกให้ฟรีทุกอย่าง (ดีจัง)จักรยานคนละคัน หม้อหุงข้าว ตู้เย็นจานชาม ครบทุกอย่าง มาถึงก็มีพี่คนไทยที่มาอยู่ก่อนออกมาต้อนรับคนหนึ่ง(ช่วงมาถึงยังเป็นเวลาทำงาน)
พี่เขาช่วยขนของลงจากรถและก็ทักทายกันพอสมควรพี่เขาก็กลับไปทำงานต่อก็พากันเก็บของเข้าที่พักเลือกห้องพักซึ่งโชคดีที่เป็นแบบห้องใครห้องมัน เป็นห้องเล็กๆแคบๆแต่ก็เป็นส่วนตัวดี เพราะบางโรงงานบางบริษัทคนไทยได้นอนรวมกันห้องละสองถึงสามคนก็มี ยังไม่ได้ทำงานครับต้องมาเรียนภาษาญี่ปุ่นเพิ่มที่นี่อีกยี่สิบกว่าวันด้วยการปั่นจักรยานไปที่ท่าเรือเพื่อนั่งเรื่อข้ามฟากไปที่โรงเรียน
วันไหนฝนตกก็ลำบากนิดๆแต่ก็สู้ๆครับ ช่วงเวลาเรียนก็มีการบ้านมาด้วยทุกวันหัดอ่าน หัดแปล หัดเขียนภาษาเขา ก็ยังได้มางูๆปลาๆไปกลับทุกวันครับจากโรงงาน(อิวากิเทค)มาโรงเรียนก็ไกลพอสมควรแต่ก็สนุกดี
ประเทศญี่ปุ่นเป็นเมืองสงบไม่ค่อยวุ่นวายนักดีมากเลยครับ มีแต่พี่ไทยนี่หล่ะเสียงดังมากกกกกกกๆแฮะๆ พอเรียน(ไม่จบหรอกอิอิ)เสร็จก็ได้เวลาทำงานตื่นเต้นมากเลยครับเพราะต้องอยู่กับคนญี่ปุ่น ภาษาก็ไม่ค่อยเก่งกัน ก็มีภาษามือบ้างครับเวลาฟังไม่เข้าใจ(หัวหน้าคนญี่ปุ่นบางคนก็เทคแคร์เราดีครับ แต่บางคนก็ทำแบบไม่ชอบใจก็มีเพราะยังใหม่กับแรงงานไทยเรา) มาในตำแหน่งช่างเชื่อมแต่เวลาทำงานจริงๆก็มาเป็นช่างประกอบบ้าง เจียร์บ้าง กวาดเศษขี้เชื่อม ทาสีบ้างครับ ไม่ถึงกับหนักหรือลำบากมากมาย
แต่ผมได้เป็นช่างประกอบก็เหนื่อยพอสมควรแต่ก็สนุก สู้ได้ครับ ปีแรกเป็นแค่นักเรียนฝึกงาน ทำงานถึงแค่ห้าโมงเย็นทุกวัน วันหยุดก็มากมายซะเหลือเกิน หยุดรวมทั้งปีร้อยห้าวันครับ (ไม่รวมกับที่ขาดงานอีก) มาใหม่ๆมีคนไทยในโรงงานนี้ประมาณยี่สิบคน(อิสานทั้งนั้นอิอิ)ก็มีพี่ๆเพื่อนๆช่วยกันบอกสอนเรื่องต่างๆให้เลยไม่ลำบากมากเท่าไหร่ไม่เหมือนรุ่นแรก
จริงๆที่ต้องมาเจอแต่คนญี่ปุ่นอย่างเดียวพอมารุ่นหลังเลยสบายนิดหน่อย ทุกวันนี้มากขึ้น สี่สิบสองคนแล้วครับสำหรับโรงงานนี้ เพราะเป็นโรงงานค่อนข้างใหญ่และมีความมั่นคงมากโอทีมีให้ทำตลอด มาปีแรกไม่ได้ทำครับเพราะกฎหมายบังคับไม่ให้ทำ(กินเงินเดือนอย่างเดียว) แปดหมื่นเยนทุกเดือนครับ สบายจัง(100เยนเท่ากับประมาณสามสิบบาทแล้วแต่ค่าเงิน)
พอขึ้นปีสองถึงเริ่มทำโอทีได้ ค่าแรงเปลี่ยนจากเงินเดือนมาเป็นรายชั่วโมงครับ ชั่วโมงละประมาณสามร้อยบาท มีโอทีให้ทำทุกวันครับ ทำงานวันละสิบชั่วโมง บางวันก็เยอะกว่านั้นแล้วแต่งาน ส่วนเครื่องอำนวยความสะดวกให้คนไทยบริษัทในญี่ปุ่นทุกบริษัทจะมีสวัสดิการให้หลักๆคือ จักรยานคนละคัน หม้อหุงข้าวสองสามคนต่อหม้อ ตู้เย็นสองสามคนต่อตู้ เครื่องซักผ้ารวมกัน น้ำไฟ ดีทุกอย่างครับ อย่างโรงงานผมนี่ดีมากๆกว่าหลายโรงงานครับเพราะใหญ่ สะดวก เวลามีงานรื่นเริ่งเพื่อนๆจากโรงงานอื่นมาเยี่ยมก็ชมว่าดีมากพ่ะน่ะ มาที่เรื่องการกินอยู่บ้าง อาหารประเทศญี่ปุ่นส่วนมากเป็นอาหารจืดๆแต่คนไทยที่นี่
บริษัทมีห้องครัวให้ต่างหากก็พากันไปหาซื้อมาใส่ตู้เย็นเพื่อทำกินกันเอง มีเครื่องครัวไทยอยู่ครับ เพราะมีคนสั่งมาขายแพงนิดๆแต่ก็ต้องกินเพราะจำเป็น อิอิ อยู่กันหลายคนก็อบอุ่นดี ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรครับ ยิ่งช่วงหลังมานี่มีอินเตอร์เน็ตเกือบทุกบ้านที่คนไทยมาอยู่ยิ่งสบาย (ช่วงแรกที่ผมมาไม่มีครับต้องซื้อดีวีดี) โทรทัศน์ดูต่างหากหรือไบางอย่างก็ไปเก็บเอาของเก่าที่คนญี่ปุ่นเอามาทิ้ง สภาพยังดีมากครับแต่คนญี่ปุ่นชอบวิ่งตามเทคโนโลยี พอมีใหม่จะเอาของเก่าทิ้งแล้วถ้าเป็นชิ้นใหญ่ เช่น ทีวี ตู้เย็นจะต้องเสียค่าทิ้งให้สถานที่ด้วย ซะงั้น คนไทยเราก็ไปขอเขามาใช้โดยไม่ต้องซื้อแต่รุ่นหลังๆนี่มีอินเตอร์เน็ตเลยซื้อคอมพิวเตอร์กัน เครื่องเดียวจบ ดีมาก
มาที่เรื่องการสื่อสาร ที่นี่มีโทรศัพท์กันทุกคนไม่มีก็ต้องซื้อเพราะจำเป็นช่วงแรกๆใช้การ์ดโทรข้ามประเทศกันครับ คนไทยเอามาขายปลีกใบละสองพันเยนใช้ได้ประมาณร้อยนาทีต่อใบก็แล้วแต่คนใช้ ประหยัดหน่อยก็สองสามใบต่อเดือน คิดถึงบ้านมากๆก็เกือบสิบใบต่อเดือนก็มีครับอิอิ ช่วงรุ่นแรกๆใช้การ์ดกันทุกคนเลยเปลืองตรงค่าการ์ดกันมาก ของผมหมดไปประมาณสองแสนกว่าบาทเงินไทยก่อนที่จะมีอินเตอร์เน็ตแล้ว พอช่วงหลังมีอินเตอร์เน็ตเข้ามาก็ประหยัดขึ้นหน่อยเพราะใช้เน็ตทอล์คกัน แต่ก็ยังมีการใช้การ์ดบ้างเวลาเน็ตไม่มา
ส่วนเรื่องภูมิอากาศ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่น่าอยู่อีกประเทศหนึ่งครับ มีอากาศแบบชื้นๆเย็นๆอยู่ตลอดปี หน้าร้อนอุณหภูมิอยู่ที่ยี่สิบถึงสามสิบองศาจะเริ่มประมาณเดือนหกถึงเดือนแปดครับแล้วมาต่อที่หน้าฝน อันนี้ลำบากหน่อยเพราะบางโรงงานต้องปั่นจักรยานไปทำงานบางโรงงานไกล บางโรงงานก็ใกล้แต่โรงงานผมโชคดีที่พักอยู่ในบริเวณโรงงานเลย
เช้ามาก็เดินไปประมาณร้อยเมตร ส่วนหน้าหนาวจะเริ่มตั้งแต่เดือนเก้าซึ่งเป็นช่วงเริ่มเย็นจนถึงเดือนสี่ปีใหม่ จะหนาวมากช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ครับ ที่ผมพักประมาณไม่เกินลบหกองศาครับ พอทนได้บ่อตายดอก เกือบสามปีแล้วบนเส้นทางขายแรงที่ประเทศญี่ปุ่นของผมมีทั้งความสนุกสนาน มีคิดถึงบ้าน มีเศร้า มีสุข มีลำบากบางเวลาแต่ก็ทำให้ได้ประสบการณ์ชีวิตเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ได้โอกาสที่ในเวลาอยู่บ้านเราไม่รู้จะมีไหม ได้ทุนไว้ให้ทำในสิ่งที่อยากทำ แม้จะไม่มากมายเหมือนคนอื่นเขาก็ไม่เป็นไรครับเพราะผมเริ่มจากศูนย์มา พ่อกับแม่ทำนากู้หนี้ยืมสินเพื่อให้ลูกได้มีโอกาสมาทำงานเมืองนอกหวังเป็นหน้าเป็นตาอยากให้ลูกมีอนาคตที่ดี (ขอบคุณบุญคุณของพ่อกับแม่มากๆเลยครับ)
มาหาก็ต้องใช้หนี้เขาเพราะมาประเทศแรกไม่มีทุนสำรองมาก่อน แต่ก็เป็นประเทศที่ถือว่าดีที่สุดในเอเชียช่วงนี้ครับสำหรับประเทศญี่ปุ่นยิ่งโชคดีมากสำหรับผมเพราะได้มาอยู่ในโรงงานที่ใหญ่และมั่นคงมากๆในแถบนี้เลยทำให้มีงานทำตลอด(บางโรงงานเล็กๆงดโอทีแล้วเพราะงานเริ่มหมด)การมาค้าแรงครั้งแรกในชีวิตนี้ถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควรครับ สำหรับผมถึงจะไม่เท่าคนอื่นเขา(เพราะบางคนได้มากจริงๆครับ ประหยัด หารายได้เสริม เลยได้มากกว่ากันครับ) แต่ก็ภูมิใจในตัวเองที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เพื่อเอาไว้ทำในสิ่งที่อยากทำในบ้านเรา มีทุนน้อยก็ดีกว่าไม่มีเลย เน๊าะ อิอิ
วันที่ยี่สิบแปดพฤษภาคม2553ผมก็ต้องเดินทางขึ้นเครื่องบินอีกครั้งเพื่อกลับสู่มาตุภูมิ ที่ติดมือกลับไปคือความคิด ความฝันและความตั้งใจว่าจะทำงานที่ตัวเองรักให้ประสบความสำเร็จกับทุนที่มีไม่มากมายนักแต่ด้วยหัวใจที่รักในงานที่ตัวเองทำผมก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดส่วนจะสำเร็จหรือไม่ อนาคตจะเป็นเวลาตัดสินครับ
ท้ายนี้ก็ต้องขอขอบคุณ พ่อกับแม่ที่ให้โอกาสลูกได้มาทำงานในญี่ปุ่น พ่อกับแม่ผมจบป.สี่ครับมีอาชีพทำนาเหมือนคนทั่วไปแต่ก็สู้ดั้นด้นให้ลูกได้มีโอกาสมาสร้างตัวได้ พ่อกับแม่เก่งที่สุดในโลกครับ
ขอบคุณเพื่อนๆพี่น้องทุกคนที่ได้มีโอกาสมาเจอกันในโลกออนไลน์ ได้มาเป็นกำลังใจให้ด้วยดีเสมอมา และขอบคุณพี่น้องทุกๆคนที่เสียสละเวลาอ่านไดอารี่เล่มเล็กๆนี้จนจบ ท้ายนี้ก็ขอให้พี่น้องทุกๆท่านทุกๆคนประสบความสำเร็จในชีวิตนะครับ อยู่ดีมีแฮงฮักแพงแบ่งปัน ซำบายดีทุกๆท่านทุกๆคนครับ
(เสียดายแต่บ่อมีภาพบรรยาย ย้อนเฮ็ดบ่อเป็นครับ อิอิ)
Bookmarks