ชีวิตของคนเราทุกคน เหมือนเดินทางกลางป่ากลางเขา
น้อยคนที่จะสบายเหมือนเดินอยู่บนถนนหลวง
ทางเดินในชีวิตส่วนใหญ่มักจะขรุขระมีหลุมมีบ่อ
และพงหนาม มีทั้งขึ้นเขาเข้าถ้ำและลงห้วย ผลัดเปลี่ยนกันไป
มีความลำบากมากบ้างน้อยบ้างสุขบ้างทุกข์บ้างสลับกันไป ในแต่ละวัน
ชีวิตของเรานั้น
นอกจากจะเดินทางลำบากแล้วยังต้องเดินทางอย่างโดดเดี่ยวอีกด้วย
ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ
ชีวิตคือการเดินทางคนเดียวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เรียกว่าเราเกิดมาตามกรรมของเราเอง
อยู่ใช้กรรมเก่าและสร้างกรรมใหม่แล้วก็ตายไปตามกรรมของเราเอง
เป็นไปอย่างนี้ไม่ว่าจะเกิดมากี่ครั้งหรือว่าตายไปกี่หนก็ตาม
การที่เราทุกคนกลัวความเหงานั้น อาจจะต้องเข้าใจเสียใหม่ว่า
อันที่จริงแล้วความเหงานั่นแหละคือชีวิตที่แท้จริงของเรานั่นเอง
เพราะไม่ว่าพ่อแม่
พี่น้อง ญาติ เพื่อนฝูง สามีภรรยา และลูก
ถึงแม้ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมทางแต่ก็เป็นเพื่อนร่วมทางที่ไม่ถาวร
เพราะความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิดนั้นล้วนเป็นสิ่งสมมุติทั้งนั้น
สมมุติเป็นพ่อแม่พี่น้องกัน
และบทบาทที่แสดงต่อกันด้วยความผูกพันและหน้าที่
ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปในช่วงชีวิตหนึ่งเท่านั้น
เรามาคนเดียวแล้วเราก็ไปคนเดียวจะไปทีเดียวกันหลาย ๆ คนไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นลูก เป็นสามี เป็นภรรยา
พ่อแม่พี่น้องก็ไม่มีใครสักคนที่ตามเราไปได้
ต่างคนต่างมาต่างคนต่างไป ต่างคนต่างเกิด เป็นอย่างนี้
ไม่มีอะไรสักอย่างที่จะเอาไปได้แม้แต่เงินบาทเดียว
ต้องปล่อยทิ้งไว้ทั้งหมดไม่ว่าอะไร ไม่มีอะไรเป็นที่ยึดถือ เรือกสวนไร่นา
ตึกรามบ้านช่องก่อนที่เราจะเกิดเขาก็มีอยู่อย่างนี้
ชายหญิงเขาก็มีกันอยู่อย่างนี้ตอนเราเกิดก็มีอยู่อย่างนี้
เราตายไปแล้วมันก็มีอยู่อย่างนี้เพราะฉะนั้นเราจะกลัวความเหงากันไปทำไม
ทั้งๆที่ชีวิตคือการเดินทางคนเดียวอยู่แล้ว
คนที่อยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องหาเพื่อนแก้เหงาตลอดเวลา
หรืออยู่ไม่ได้ถ้าขาดคนอื่น คนนั้นคือ..ผู้หลงทาง เพราะหารู้ไม่ว่า
ยิ่งเราอยู่ในวงล้อมของคนอื่นมากเท่าไร เ ราจะยิ่งค้นหาตัวเองไม่เจอเท่านั้น
เพราะเรามักจะยุ่งกับเรื่องของคนอื่นตลอดเวลา
คอยแต่จะดูว่าคนนั้นดี..คนนี้ชั่ว..คนนั้นถูก..คนนี้ผิด..นั่นเรามองเห็นแต่คนอื่น
เรามองออกไปข้างนอก มองรอบตัวแต่เราไม่ เคยมองเห็นตัวของเราเองเลย
นี่คือเราไม่รู้จักตัวเองดีพอ
ผู้ฉลาดย่อมเห็นคุณค่าของการอยู่คนเดียวผู้มีปัญญาย่อมจะแสวงหาความวิเวก
แสวงหาความสงบ เพื่อทำความรู้จักกับตัวเองรู้ใจตัวเอง เมื่อใจไม่วุ่นวาย
ใจเกิดความสงบ ใจเกิดความสว่างเย็นแล้วเราก็จะเป็นสุข
เราต้องดำเนินชีวิตด้วยตัวของเราเองเลือกดีเลือกชั่วด้วยตัวของเราเอง
จะถูกทางหรือหลงทางก็ด้วยปัญญาของเราเองเหมือนดังที่พูดกันว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
หมายถึงพุทธศาสนาเป็นเพียงแผนที่บอกทางให้เท่านั้น
ส่วนการเลือกเส้นทางเดินไปทางไหนอย่างไร
ก็อยู่ที่ตัวเราคนเดียว
เมื่อรู้ว่าต้องเดินทางคนเดียวก็อย่าทำตัวเป็นคนเห็นแก่ตัว
ให้รู้จักช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น
ทำกรรมดี อยู่ในศีลในธรรม
นั่นเป็นหนทางที่จะไปสู่จุดหมายปลายทางของการหลุดพ้นได้เร็วขึ้น
เมื่อเราเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็เท่ากับว่าเราโชคดีแล้ว
และได้มาอยู่ในเส้นทางที่มีปลายทาง ที่มีทั้งแสงสว่างและความมืดมัวให้เราเลือก
คราวนี้อยู่ที่ตัวของเราเองว่า จะเดินทางช้า เดินทางเร็ว
หรือจะเดินหลงทางเท่านั้น
ชีวิตคนเรานั้นแท้จริงแล้วก็คือการเดินทาง
และยังคงเป็นการเดินทางเรื่อยไปอยู่นั่นเอง
ก็ย่อมมีความระหกระเหินบอบช้ำเป็นธรรมดา
ชีวิตที่ต้องการเดินทางไปสู่นิพพานหรือการดับทุกข์ขั้นเด็ดขาดนี้
จะถึงช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับปัญญาของแต่ละคน แต่การเดินทางนี้
ไม่ใช่เดินด้วยร่างกายเพราะนิพพานไม่ใช่สถานที่ หากแต่ว่า
เป็นภาวะอันบรมสุขของจิตใจการเดินทางนี้จึงเป็นการเดินทางของจิตใจ
จากสภาพที่มัวหมองไปสู่ความสะอาดสดใสที่ไม่มีกิเลส ตัวเราเองเดินทางทุกวัน
เดินทางด้วยพาหนะชั้นดี มีเครื่องปรับอากาศเย็นสบาย
พาให้เราไปสู่จุดหมายนับร้อยนับพันแห่ง
แต่ใจของเราเดินทางด้วยหรือเปล่าความสวยงามของโลก อาจจะทำให้ใจของเรา
ซัดส่ายไปมาซ้ำซากวนเวียนอยู่กับสุขเดิม ๆ ทุกข์เดิม ๆ
อยู่นั่นแหละไม่เคยแสวงหาสภาวะที่สุขจริง
สุขแท้กว่านั้นเลย ชีวิตของเราชาติหนึ่ง ๆก็จบสิ้นไปโดยไม่ได้พัฒนา
ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร เป็นการเสียชาติเกิดเสียเวลาเปล่าๆ
Bookmarks