.....นับตั้งแต่วัยเด็กจนถึงปัจจุบัน หน่วยความจำเล็กๆของฉันที่เริ่มจำความได้ก็มีแต่แม่ กับตาและยายมาโดยตลอดเท่านั้น ฉันไม่มีพ่อ ไม่เคยพูดคำว่า..พ่อ..ไม่เคยเห็นหน้าพ่อ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อฉันหน้าตาเป็นอย่างไร เป็นใครอยู่ที่ไหนเพราะแม่ไม่เคยเอ่ยถึง มีแต่ตากับยายเท่านั้นที่เล่าให้ฉันฟังว่า พ่อทิ้งพวกเราไปตั้งแต่ พี่สาวอายุ 2 ขวบส่วนฉันก็ยังอยู่ในท้องได้ 7 เดือน สาเหตุเนื่องมาจาก พ่อเป็นคนเจ้าชู้มากๆ ทุก ๆ วันในตอนเย็นหลังจากกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว พ่อจะรีบแต่งตัวหล่อ ออกจากบ้านพร้อมกับถีบจักรยานคู่ใจ เพื่อไปจีบสาวในหมู่บ้านอีกหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก ซึ่งแม่ฉันท่านก็ทนนะ ทนมาโดยตลอด ตั้งแต่มีพี่สาวจนมาถึงฉันนี่แหล่ะที่แม่คงจะหมดความอดทนแล้ว จึงได้ตัดสินใจขั้นเด็ดขาดที่จะเลิกกับพ่อ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ท้องแก่ใกล้คลอดแล้ว (แม่ฉันใจเด็ดมากค่ะ)
.....หลังจากที่แม่กับพ่อแยกทางกันแล้ว แม่ก็ต้องรับหน้าที่คนเดียวในการเลี้ยงดูลูกน้อยถึงสองคนคือฉันกับพี่สาว โดยมีตากับยายคอยช่วยเหลืออีกแรง เพราะแม่เป็นลูกคนเดียว แม่จึงต้องเป็นเสาหลักของบ้าน ในการที่จะต้องทำงานทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทำนา ทำสวน ปลูกผัก หาอาหารเลี้ยงดูคนในบ้าน อื่นๆ ผู้หญิงคนเดียวแต่ต้องเลี้ยงลูกน้อยถึงสองคนนี่ เป็นภาระที่หนักเอาการนะคะ (แต่แม่ฉันก็ทำได้และไม่เคยบ่นซักคำ หรือท้อให้เห็นซักครั้ง)
.....มีครั้งหนึ่งที่ฉันไม่สบายมาก ตอนนั้นแม่บอกว่าฉันอายุประมาณ 3 เดือน คืนนั้นฉันเป็นไข้ ตัวร้อนอย่างหนัก แม่กลัวฉันจะช็อคหมดสติ แม่จึงรีบอุ้มฉันไปสถานีอนามัยทันทีด้วยความห่วงใย แม่อุ้มฉันไปสถานีอนามัยคนเดียวในเวลากลางคืน โดยที่แม่ไม่มีอะไรติดตัวไปเลยเพราะรีบร้อนกลัวลูกจะเป็นอะไรไปซะก่อน แม่ไม่มีไฟฉาย ไม่มีอุปกรณ์อะไรซักอย่างนำทางในเวลากลางคืน แม่ใช้แสงเดือนและแสงแห่งความรักความห่วงใยต่อลูกเท่านั้นในการเดินทางไปที่สถานีอนามัย และสิ่งที่ทำให้ฉันนึกขึ้นมาทีไรก็ต้องน้ำตาซึมทุกครั้ง นั่นก็คือ..แม่ไม่ได้ใส่รองเท้า..แม่บอกว่าแม่ลืม ด้วยความรีบร้อนเพราะเป็นห่วงลูก แม่จึงลืม มานึกได้อีกทีก็ตอนที่ฉันถึงสถานีอนามัยและนอนหลับไปเพราะกินยาเรียบร้อยแล้วนั่นเอง แม่ถึงนึกได้ ...ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง อุ้มเด็กไว้ในอ้อมแขน ทั้งเดินทั้งวิ่ง ด้วยเท้าเปล่าในเวลากลางคืน เพื่อที่จะไปให้ถึงสถานีอนามัยให้เร็วที่สุด เป็นระยะทาง 4 กิโลเมตร เท้าของแม่คงจะต้องเจ็บแน่นอน ไม่มีแม้แสงไฟ ไม่มีใครเคียงข้างไปกับแม่ ไม่มีแม้แต่รถซักคันจะวิ่งผ่านมาในตอนนั้น ..ถึงยังไงก็ยังโชคดีที่ตอนฉันเกิดแถวบ้านฉันเป็นถนนเรียบแล้วค่ะ ไม่งั้นเท้าของแม่คงระบมมากกว่านี้
.....ปัจจุบัน..ถึงแม้แม่ฉันจะยังอายุไม่มากเท่าไหร่ แต่แม่ไม่แข็งแรงค่ะ มีโรคภัยไข้เจ็บประจำตัวหลายอย่างเช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคนิ่ว โรคความดัน แต่โชคดีอยู่บ้างที่พี่สาวซึ่งมีครอบครัวไปแล้วอยู่หมู่บ้านเดียวกันคอยมาดูแล ส่งข้าวส่งน้ำให้ตลอดไม่เคยขาด ฉันจึงวางใจได้ และเวลาส่วนใหญ่แม่ก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน แม่จะไปอยู่ที่วัดซะมากกว่า อาทิตย์หนึ่งก็จะนอนวัดซักสามวัน ก็เลยทำให้ท่านไม่เครียด ไม่คิดอะไรมาก แม่พูดหลายครั้งแล้วว่า พวกเอ็งน่ะ ว่างเมื่อไหร่ก็มาแบ่งที่แบ่งทางให้เรียบร้อยซะนะ เดี๋ยวพอแม่ไม่อยู่แล้วมันจะแบ่งยาก ฉันก็บอกว่า โธ่แม่..แม่ยังต้องอยู่กับเราอีกนานน่าแม่ ที่แค่นิดหน่อยใครจะเอาก็เอาไป แม่ก็บอก เออ..แล้วแต่พวกเอ็งก็แล้วกัน
.....นั่นเป็นแค่เพียงบางส่วนของผู้หญิงคนนี้ที่ฉันเอ่ยถึง ขนาดตัวฉันเองยังรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับแม่แล้วฉันยังแข้มแข็งได้ไม่ถึงครึ่งของแม่ฉันเลยค่ะ ทุกวันนี้ต่อให้ฉันต้องมีภาระหนักแค่ไหนในการดำเนินชีวิต แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันไม่เคยลืมคือ แบ่งเงินส่วนหนึ่งที่ถึงแม้จะไม่มากนัก ส่งไปให้แม่ทุกเดือน เนื่องจากฉันไม่ได้อยู่เลี้ยงดูท่านแต่อย่างน้อยฉันก็ยังได้ส่งเงินให้ท่านได้ใช้บ้างเล็กน้อยก็ยังดี เพื่อหวังว่าซักวันหนึ่งเมื่อฉันแก่ตัวลงไป..ขอให้สิ่งที่ฉันได้ทำกับแม่ในวันนี้จงดลบันดาลให้ลูกของฉันเขาทำกับฉันแบบนี้บ้างเช่นเดียวกัน และทุกครั้งที่ฉันโทรบอกแม่ว่า แม่หนูโอนเงินให้แม่แล้วนะ แม่ก็จะพูดคำเดิมทุกครั้ง(พูดมาเป็นสิบปีแล้ว) ว่า.. ส่งมาให้แม่ทำไม แม่ไม่ได้ใช้อะไร แล้วเอ็งพอใช้หรือเปล่า (ฉันก็ได้แต่นึกในใจว่า แม่เอ้ย แม่ไม่เบื่อหรือไงนะ พูดแต่คำเดิมซ้ำ ๆ อยู่นั่นแหล่ะ อิ..อิ นี่แหล่ะค่ะ..แม่ของฉัน)
และเนื่องในโอกาสที่ใกล้จะถึงวันแม่ในเดือนสิงหาคมนี้ ในฐานะลูกคนหนึ่งขอเป็นตัวแทนของลูกๆทุกคน ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายโปรดช่วยคุ้มครองให้คนเป็นแม่ทุกท่านจงมีสุขภาพแข็งแรงนะคะ ให้อยู่กับพวกเราลูกๆหลานๆตลอดไปนานๆค่ะ
สาวมุก / 12-07-2010
Bookmarks