กำลังแสดงผล 1 ถึง 5 จากทั้งหมด 5

หัวข้อ: ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

  1. #1
    ดูแลตรวจสอบเนื้อหา สัญลักษณ์ของ ญา ทิวาราช
    วันที่สมัคร
    Oct 2008
    กระทู้
    825
    บล็อก
    17

    สว่างใจ ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

    พระธรรมของสมเด็จองค์ปฐมทรงสอนความไม่ประมาท มีดังนี้



    1. ให้พิจารณาอายุของร่างกายที่มากขึ้นทุกวัน แสดงให้เห็นชัดถึงความตายที่เข้าใกล้เข้ามาทุกที จงอย่ามีความประมาทในชีวิต

    2.ให้เห็นทุกข์ของการมีชีวิตอยู่ ในโลกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนจากภัยนานาประการ เรื่องเหล่านี้มิใช่ของแปลกหรือของใหม่แต่อย่างไร เป็นภัยที่อยู่คู่โลกมานานแล้วในทุกๆพุทธันดรที่เจอมาอย่างนี้

    3. อย่าไปหวังแก้โลก อย่าไปหลงปรุงแต่งตามโลก ให้เห็นตัณหา ๓ ประการที่ครอบงำโลกให้วุ่นวายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

    4. ให้มองทุกอย่างตามความเป็นจริง แล้วปล่อยวางโลกเสียด้วยความเห็นทุกข์ เห็นความไม่เที่ยง น่าเบื่อหน่าย ไม่น่ายินดีไม่น่ายินร้ายแม้แต่นิดเดียว

    5. อย่าสนใจในจริยาของผู้อื่น ใครจักเป็นอย่างไรก็ช่าง ให้มองจิตตนเข้าไว้เป็นสำคัญ เพราะตนเองปรารถนาพระนิพพาน จักต้องโจทย์จิตของตนเองเอาไว้เสมอ ฝึกให้ปล่อยวางเพราะการไปพระนิพพาน จิตติดอะไรแม้แต่อย่างเดียวในโลกนี้หรือไตรภพ ก็ไปไม่ถึงซึ่งพระนิพพาน

    6. การปฏิบัติมิใช่เป็นเพียงคำปรารภโก้ๆเท่านั้น จักต้องเอาจริงเอาจังในการละซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างในโลก จึงจักไปได้ แต่ตราบใดที่ยังมีขันธ์ ๕ อยู่ ก็ให้พิจารณาปัจจัย ๔ เป็นสิ่งจำเป็นที่จักต้องยังอัตภาพให้เป็นไป สักแต่ว่าเป็นเครื่องอยู่ สักแต่ว่าเป็นเครื่องอาศัย แล้วอยู่อย่างพิจารณาให้เห็นชัดว่า ร่างกายหรือวัตถุธาตุทั้งหมด มีคำว่าเสื่อมและอนัตตาไปในที่สุด จิตก็คลายความเกาะติด จิตมีความสุข มีความสงบ เมื่อถึงวาระร่างกายจักพังการตัดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายนอก หรือแม้แต่ร่างกายก็ตัดไม่ยาก เนื่องด้วยพิจารณาจนรู้แจ้งเห็นตามความเป็นจริงแล้ว

    7. ให้พิจารณาร่างกาย พิจารณาเวทนา โดยย้อนกลับไปกลับมา ไม่มีร่างกายก็ย่อมไม่มีเวทนา ไม่มีเวทนาก็ย่อมไม่มีร่างกาย แล้วให้เห็นปกติธรรมของรูปและนามซึ่งอาศัยกันและกันพิจารณาให้ลึกลงไป จักเห็นความไม่มีในเรา ในรูป ในนาม ได้ชัดเจน เราคือจิตที่ถูกกิเลสห่อหุ้มให้หลงอยู่ติดอยู่ในรูปในนามอย่างนี้มานานนับอสงไขยกัปไม่ถ้วน หากไม่พิจารณาให้ชัดเจนลงไปในรูปและนาม ก็จักตัดความติดอยู่ไม่ได้ และเมื่อตัดไม่ได้ก็ไปพระนิพพานไม่ได้

    8. จิตเมื่อจักวางจริยาของผู้อื่นได้ ต้องใช้ปัญญาพิจารณาจุดนี้ให้มากๆ ลงตัวธรรมดาให้ได้ แล้วจิตจึงจักปล่อยวางกรรมของผู้อื่นลงได้ ไม่ว่ากรรมดีหรือ กรรมชั่ว เช่น เห็นการเกิดการตายเป็นของคู่กัน เกิดเท่าไหร่ตายหมดเท่านั้น เป็นของธรรมดาแม้แต่พวกเจ้าเองก็เช่นกัน อย่าคิดว่าร่างกายนี้จักยังไม่ตาย ทั้งๆที่ระลึกถึงความตายอยู่นี้ ยังมีความประมาทแฝงอยู่มาก ไม่เชื่อให้สอบจิตของตนเองดู ๒๔ ชั่วโมง ระลึกนึกถึงความตายอย่างยอมรับความจริงได้สักกี่ครั้ง มิใช่สักแต่ว่าระลึกอย่างนกแก้วนกขุนทอง หาได้มีความเคารพนับถือความตายอย่างจริงจังไม่ ซึ่งการกระทำอย่างนั้น หาประโยชน์ได้น้อย

    9. จำไว้ มรณานุสสติกรรมฐานเป็นพื้นฐานใหญ่ที่จักนำจิตของตนเองให้เข้าถึงความไม่ประมาทได้โดยง่าย และเป็นตัวเร่งรัดความเพียร ด้วยเห็นค่าของเวลาชีวิตที่เหลืออยู่ ชีวิตจริงๆ ดั่งเช่นเปลวเทียนวูบๆ วาบๆแล้วก็ดับหายไป เกิดใหม่ก็ดับอีกหากไม่เร่งรัดปัญญาให้เกิดขึ้น ก็ยังจักต้องเกิดตายอีกนับภพนับชาติไม่ถ้วน

    10. ร่างกายที่เห็นอยู่นี้มิใช่ของจริง ตัวจริงๆคือจิต ให้พิจารณาแยกส่วนออกมาให้ได้ ร่างกายนี้สักเพียงแต่ว่าเป็นที่อยู่อาศัยเสมือนบ้านเช่าชั่วคราวเท่านั้น ไม่ช้าไม่นานจิตวิญญาณก็จักออกร่างกายนี้ไป ทุกร่างกายมีความตายไปในที่สุดเป็นธรรมดาเหมือนกันหมด แล้วพิจารณาการอยู่ของร่างกายทุกลมหายใจเข้าออกคือทุกข์ เนื่องด้วยความไม่เที่ยง ทรงตัวไม่ได้ พิจารณาให้เห็นชัด จึงจักวางร่างกายลงได้ในที่สุด



    11.ให้ดูวิริยะบารมี เพราะยังมีความขี้เกียจอยู่เป็นอันมาก ให้โจทย์จิต (จับความผิดของจิต) เข้าไว้ให้ดีๆ อย่าไปเสียเวลากับจริยาของคนอื่น ใครจักเป็นอย่างไรก็ช่าง พิจารณาโลกก็เท่านี้ หาที่สิ้นสุดไม่ได้ ประการสำคัญ คือ ประคองจิตของตนเองให้พ้นไปเท่านั้น ความสำคัญอยู่ที่ตรงนี้

    12. การสงเคราะห์บุคคลอื่น เป็นเพียงหน้าที่เท่านั้น อย่าเอาจิตไปเกาะกรรมของเขา มองให้เห็นธรรมดา แก้โลกไม่มีสิ้นสุดให้แก้ที่จิตใจตนเองเป็นสิ้นสุดได้ พยายามปลดสิ่งที่เกาะติดอยู่ในใจลงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จักมากได้ วางภาระ และพันธะลงเสียให้เป็นสักแต่ว่าหน้าที่เท่านั้น จิตจักได้ไม่เป็นทุกข์ ประเด็นสำคัญอันจักต้องให้เห็นชัดคือพิจารณากฎของกรรม ให้ยอมรับนับถือในกฎของกรรม จุดนั้นจึงจักถึงซึ่งจิตเป็นสุขและสงบได้

    13. เวลานี้กฎของกรรมกำลังให้ผลหนัก ความผันผวนย่อมเกิดขึ้นได้ทุกวัน แต่ไม่ควรที่จักหวั่นไหว รักษาจิตให้สงบ ให้เห็นทุกอย่างเป็นธรรมดาเข้าไว้ รักษาอะไรไม่สำคัญเท่ารักษาจิตใจของตนเอง ใครตกอยู่ในห้วงของกิเลสก็ไม่สำคัญเท่ากับจิตใจของตนเองที่ตกอยู่ในห้วงของกิเลส ดูจุดนี้เอาไว้ให้ดี รักษาอารมณ์ของตนเองให้อยู่ในกุศล ดีกว่าปล่อยให้อยู่ในห้วงของอกุศล ปล่อยวางกรรมใครกรรมมันให้ได้ ใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นชัดในกฎของกรรม จุดนั้นแหละจึงจักปล่อยวางกรรมใครกรรมมันได้ ความสุขจักเกิดขึ้นแก่จิตใจตนเองอย่างแท้จริง

    14. การทำบุญและทำทาน แล้วพิจารณาด้วยความระลึกนึกถึงในบุญในทานอันพึงทำเพื่อพระนิพพาน โดยไม่หวังผลตอบแทนเป็นอย่างอื่น จัดเป็นจาคานุสสติด้วย และอุปสมานุสติด้วย เป็นการดี เพราะจิตอยู่ในอารมณ์กุศล ซึ่งดีกว่าปล่อยจิตให้ครุ่นคิดถึงความชั่ว-ความเลว แม้จักเป็นการกระทำของบุคคลที่อยู่รอบข้างมิใช่เป็นการกระทำของเราเอง ก็ให้พิจารณาลงเป็นธรรมดา แล้วปล่อยวาง อย่าให้ติดอยู่ในอารมณ์ของใจ เพราะยิ่งคิดยิ่งฟุ้ง รวมทั้งสร้างความเร่าร้อนหรือเศร้าหมองให้เกิดขึ้นแก่จิต ต่างกับจิตที่อยู่ในบุญกุศล อยู่ในทาน-ศีล-ภาวนา มีแต่ประพฤติปฏิบัติไปยิ่งเยือกเย็นเป็นสุข มีความสดชื่นเอิบอิ่มใจ พิจารณาอารมณ์ทั้งสองอย่าง แล้วนึกเปรียบเทียบอารมณ์ทั้งหลายต่างๆเหล่านี้ดู จิตจักได้ไม่บริโภคอารมณ์ที่เป็นพิษ เพราะปกติจิตมักไหลลงสู้อารมณ์ที่เป็นกิเลส ถูกอกุศลกรรมเข้าครอบงำจิตมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน จิตชินกับความเลวมากกว่าความดี ดังนั้นเวลานี้จักมาละความเลวกันก็ต้องละกันที่จิต ฝึกจิตให้อยู่กับทาน-ศีล-ภาวนา ให้จิตติดดีมากกว่าติดเลว

    15. การสอบอารมณ์ของจิต เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง อย่าคิดว่าบุญ-ทานไม่ติดแล้ว ฉันไม่เกาะ ถ้าหากสำรวจแล้วจิตยังติดเลวอยู่มากเพียงใด บุญ-ทานยิ่งไม่เกาะ จิตก็ยิ่งเศร้าหมองมากเพียงนั้น เพราะทำบุญทำทานไปก็เหมือนไม่มีผล จิตไม่ยินดี ไม่สดชื่นไปกับบุญ-ทานนั้น หากแต่ทำก็ทำไป จิตไม่ยินดี จิตกลับไม่มีอารมณ์ติดบาปติดอกุศล อย่างนี้นับว่าขาดทุนแท้ๆ พระอรหันต์ท่านก็ยังทำบุญทำทานด้วยความยินดีและเต็มใจทำด้วยความเมตตากรุณา จิตเป็นสุข

    16. คำว่าไม่เกาะ กล่าวคือ ไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ในโลกธรรมทั้ง ๘ ประการ จิตไม่เกาะบุญ-บาปในที่นี้ เนื่องด้วยผลบุญผลบาปไม่สามารถให้ผลแก่จิตใจของท่านอีก (หมายถึงพระอรหันต์) แล้วพวกเจ้าเล่า จิตยังข้องอยู่ในบาปอกุศลเป็นอันมากจักฝึกจิตให้จิตยินดีอยู่ในบุญ-กุศล มีความสุข สดชื่นบ้างไม่ดีกว่าหรือ ดังนั้นจงอย่าพูดว่า ไม่ติดในบุญในทาน เพราะจิตยังติดอยู่ในบาป-อกุศล พระอรหันต์ท่านยังไม่ทิ้งจาคานุสสติกรรมฐาน ท่านมีอภัยทานอันเป็นทานสูงสุด เกิดขึ้นด้วยพรหมวิหาร ๔ เป็นอัปมัญญา ท่านไม่ข้องอยู่ในบาป -อกุศลของบุคคลรอบข้าง เพราะท่านมีอภัยทานอยู่ในจิตเสมอ แล้วพวกเจ้ามีแล้วหรือยัง เพราะฉะนั้น จงอย่าประมาทในอกุศลกรรม รักษาจิตให้เป็นสุขสดชื่น ด้วยการระลึกนึกถึงบุญ (การทำบุญ) การทำทาน หรือรักษาศีล-เจริญภาวนาด้วยจิตยินดีทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพาน ดีกว่าปล่อยให้จิตตกเป็นทาสของบาปอกุศล



    ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

    สี่หมื่นแปดพันพระธรรมขันธ์ เกิดจากจิต จะต้องดับลงด้วยจิต กลับสู่ความเป็นหนึ่งในจิตพุทธะ

    พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั้นแล


    ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท




    ที่มา .tangnipparn.com/Frameset-3.html

  2. #2
    แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ สัญลักษณ์ของ นา ดอกจาน
    วันที่สมัคร
    Mar 2009
    ที่อยู่
    FL,USA
    กระทู้
    229
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิธุจ้าธุจ้าธุจ้า
    ประทับจข้อสิบสี่มาก ตอนนี้เร่งปฏิบัติข้อนี้ค่ะ

  3. #3
    แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ สัญลักษณ์ของ แดนดาหาร
    วันที่สมัคร
    Feb 2010
    กระทู้
    164


    สาธุ สาธุ สาธุ

  4. #4
    แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ สัญลักษณ์ของ ครูไทยไกลบ้าน
    วันที่สมัคร
    Jan 2010
    กระทู้
    103
    สพฺพรติง ธมฺมรติ ชินาติ
    ความยินดีในธรรมย่อมชนะความยินดีทั้งปวง

  5. #5
    Banned

    วันที่สมัคร
    Jul 2008
    ที่อยู่
    Oil Field เพชรบูรณ์/กำแพงแสน
    กระทู้
    469

    พระพุทธศาสนา กับ safety first

    ผมว่าการมีสติ คือการ รู้ตัวอยู่เสมอว่าเจ้าของเฮ็ดหยังอยู่สำคัญมากเลยยิ่งกับการทำงานในพื้นที่อันตรายแล้ว กฏความปลอดถัยยิ่งต้องท่องจำให้ขึ้นใจเลย พลาดแม้วินาทีเดียวกะนำความสูญเสียมาให้เฮาได้เลย หลักคำสอนของพระพุทธองค์ทรง กล่าวไว้บ่มีหยังผิดเลยแม้แต่น้อย...เอาไปใช้ในชีวิต ในหน้าที่การงานแล้วดีนักแล

Tags for this Thread

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •