กำลังแสดงผล 1 ถึง 1 จากทั้งหมด 1

หัวข้อ: A Little Dream FC A Little Dream FC ติดฝันไว้ปลายสตั๊ดจ์: Match: 1 เปิดตัวขุนพลแข้ง

Hybrid View

คำตอบที่แล้วมา คำตอบที่แล้วมา   คำตอบถัดไป คำตอบถัดไป
  1. #1
    ร่วมถ่ายทอดความรู้สู่สังคม
    วันที่สมัคร
    Sep 2006
    ที่อยู่
    สามเสน ดุสิต กอทอมอ
    กระทู้
    106

    A Little Dream FC ติดฝันไว้ปลายสตั๊ดจ์: Match: 1 เปิดตัวขุนพลแข้ง

    ณ “สต๊าด เดอ ลา บ้านดง (Stade de la Ban Dohng)” สนามฟุตบอลอันทันสมัยสวยงามเข้ายุคด้วยเทคโนโลยีลดโลกร้อนแห่งอาเซียนอันลือลั่นเสียยิ่งกว่าชื่อสโมสร “ดงบูรพา เอฟซี” แห่ง “สัมพันธรัฐ มินวา สามัคคี” ประเทศเพื่อนบ้านของไทยผู้คลั่งไคล้เกมลูกหนังไม่แพ้กัน

    ชัตเตอร์จากนักข่าวท้องถิ่นและระดับประเทศ รวมทั้งผู้สื่อข่าวต่างประเทศต่างรัวกันยิบเพื่อให้ได้ภาพสวยสมใจ

    โค้ชด่อน “อุดรคำไชย แอนโทนี่ หวังมีชัย” อดีตพระเอกนักร้องดาราคนดังผู้ซึ่งบัดนี้ผันตัวมาเป็นโค้ชทีมฟุตบอลกำลังนั่งให้สัมภาษณ์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มตามสไตล์อดีตพระเอกขวัญใจคนทั้งประเทศ

    “ซำบายดีครับพี่น้องนักข่าวสุผู้สุคน ที่ทางสโมสรทางทีมสโมสรของเฮา ได้เชิญทุกๆ ท่านมา ก็เป็นที่ฮู้กันอยู่นั่นละครับ เอาเป็นว่าขอแนะนำขุนพลแข้ง (นักเตะ) คนใหม่แต่ลูกหลานคนเก่าของชาวดงบูรพา สุพันธนา สเตฟาน คำพันดวง หรือ ท้าวพั้นช์ ที่ท่านรู้จักดี อย่างเป็นทางการครับ” อดีตพระเอกแนะนำลูกทีมคนใหม่ตามสไตล์พระเอกเก่าอย่างคล่องแคล่วเหมือนท่องบทมาไม่มีผิดเพี้ยน

    “ซำบายดีคร้าบ อ้ายๆ เอื้อยๆ พี่ๆ น้องๆ นักข่าวทุกท่าน พากินข้าวงาย (อาหารเช้า) แล้วไป่ ฝนฟ้าเป็นจั่งใด๋” แค่ประโยคแรกสำหรับการทักทายทำเอาทั้งห้องแถลงข่าวบรรยากาศชื่นมื่นมาขึ้นมาทันที หนุ่มผมยาวเป็นลอนคลื่นสวย หน้าตาดีวัยเพียง 21 ปี แต่ประสบการณ์เหลือล้น ท่าทางดูจะมีความสุขไม่น้อยที่ได้กลับมาค้าแข้งที่บ้านเกิด

    “เอื้อยๆ อ้ายๆ มากันหลาย มื้อนี้คือสิมีเรื่องอยากถามหลายเนาะครับ แต่ว่าผมบ่กล้าตอบหลายเด๊ะครับ แบบว่าย้าน(กลัว)บ่มีคำตอบไว้ตอบมื้อหน้านั่นหนาครับ อิอิ” ไอ้หนุ่มผมยาวพูดไปขำไป หยอดมุขไป

    บรรยากาศการให้สัมภาษณ์เป็นไปด้วยความคึกคัก จนกระทั่งมาถึงคำถามเด็ด
    “เขาว่าคุณสุพันธนาบ่ประสบความสำเร็จในอาชีพ เลยหวนคืนกลับมาค้าแข้งบ้านเกิดแม่นบ่คะ” เสียงหนึ่งในนักข่าวถาม

    “ฮ่วย ถามแบบนี้ผมสิตอบจั่งใด๋น้อแม่ป้า* มุดขี้ดินหนีซะบ่น้อ อุ้ย เว้าเล่นครับ เปลี่ยนเป็นคำว่า.... ไปบ่ทันฮอดฝันดีกว่าครับ”
    “เอื้อยๆ อ้ายๆ สื่อมวลชนครับ ถึงแม้ว่าฝันนั้นมันอาจสิอยู่ไกลจนไปบ่ฮอด แต่ว่าคนเฮากะบ่ได้ฝันอย่างเดียวกันทุกคืน”
    “ตราบใดที่บ่เลิกเตะฟุตบอล ตราบนั้นผมกะยังสิมีฝันอยู่คือเก่าครับ ย้อนว่าฝันของผมมันได้ติดเอาไว้อยู่ปลายสตั๊ดจ์ตั้งแต่มื้อนั่นแล้วครับ”
    “ขออภัยที่ต้องยกสตั๊ดจ์ขึ้นมาสูงครับ เห็นบ่ครับกระดาษที่ผมติดไว้ปลายสตั๊ดจ์ คู่ที่ผมใส่แข่งตอนอยู่เมืองนอก มีมีข้อความว่า สู้ๆ เด้อ”
    “เชื่อล่ะบ่ครับ กะยังว่าติดฝันไว้ปลายสตั๊ดจ์” การทิ้งทายด้วยเสียงตลกๆ ทำบรรดาสื่อมวลชนถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่

    การแถลงข่าวจบลงด้วยดีพร้อมเสียงหัวเราะของบรรดาสื่อมวลชน

    หลังเสร็จสิ้นกาแถลงข่าวช่วงสายๆ เป็นการเปิดตัวนักเตะใหม่

    พ้นอุโมงค์ใต้อัฒจันทร์ ออกไปคือสนามหญ้าสีเขียว ของสต๊าด เดอ ลา บ้านดง หนุ่มผมยาวหน้าตาดีเจ้าของส่วนสูง 180 เซนติเมตร ในชุดแข่งทีมเหย้าเสื้อและกางเกง สีขาวพร้อมถุงเท้าดำ กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาจากที่นั้น

    “ซำบายดีครับพ่อแม่พี่น้องลุงป้าอาอาว**น้าบ่าวน้าสาว ทุกผู้ทุกคน สต๊าด เดอ ลา บ้านดง สังเวียนเส็ง***แข้ง อันเลิศหรูอลังการที่สุดในภูมิภาคเอเชียตาเว็นออก****เฉียงใต้ ยินดีต้อนรับนักเตะใหม่แต่ลูกหลานคนเก่าของไทบ้านดงบูรพา ‘สุพันธนา สเตฟาน คำพันดวง’ ขอเสียงปรบมือดังซวดๆ ให้ท้าวพั้นช์จักหน่อยแนครับพี่น้อง” น้ำเสียงเลียนแบบพระเอกหมอลำของโฆษกประกาศแนะนำขุนพลแข้งรายใหม่ของทีมด้วยสำบัดสำนวนอันชวนถามหากระโถนจริงๆ


    เฮ! ฮุย! ฮา! ฮูว์!
    เสียงโห่ฮาดังกึกก้องทั่วสนามต้อนรับ “ท้าวพั้นช์” ที่พวกเขาคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นหนุ่มหน้าตาดีมีสาวๆ หมายตาเสียแล้ว

    ยังไม่ทันจบเสียงโห่ร้องร้องลูกกลมๆ สีขาวก็ถูกเท้างัดขึ้นโชว์ลีลาเดาะบอลที่ว่ากันว่าสะดุดสะเด่าที่สุดในลีกยุโรป (เมื่อครั้งไปค้าแข้งที่นั่น) และแล้วเสียงโห่ฮาจากแฟนบอลกว่า 53000 คนเต็มความจุสนาม ก็พลันหยุดลงเงียบกริบไปทั่วสนาม มันเงียบจนน่าขนลุกทีเดียว

    เฮ! ฮุย! ฮา! ฮูว์! กรี้ด กร้าด วี้ดวิ้วววววว
    เสียงโห่ฮาและร้องหวีดว้ายแต๋วแตกดังขึ้นอีกเมื่อลีลาเดาะบอลจบลงด้วยการใช้ข้อพับหลังเข่าขวาจับลูก ก่อนปล่อยลงพื้นและหยุดด้วยฝ่าเท้า

    รอยยิ้มเสน่ห์แย้มออกมาพร้อมการยืนตรงและกรพุ่มมือก้มไหว้โบกมือไปรอบทิศ เลียนแบบนักเทนนิสระดับโลกของประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทยชัดๆ

    “ซำบายดีเด้อท่าน” เสียงผู้นำเชียร์บนอัฒจันทร์ฝั่ง World Wild West ร้องรับไหว้
    “ซำบายดีเด้อท้าว” เสียงลูกคู่จากแฟนๆ บนอัฒจันทร์ขานรับ

    ตกบ่ายแก่ๆ... โค้ชด่อน เรียกขุนพลแข้ง(นักเตะ) มาร่วมกันฝึกซ้อมเป็นวันแรก การฝึกซ้อมจึงเริ่มต้นเบาะๆ ด้วยยืดเส้นยืดสาย และตามมาด้วยของหานการวิ่งเหยาะๆ จากสนามซ้อมท้าย “บ้านดงบูรพา” ชานเทศบาลเมือง “บูรพาไพรสัณฑ์” เมืองเล็กๆ ในเขตปกครอง “อัมราวดี” ซึ่งมีเมือง “ดอนทัน – ศรีพุทรา – อธิวาส” สามเมืองใหญ่เป็นเมืองเอก

    ระยะทางวิ่งนั้นเพียงเบาะๆ 4 กิโลเมตรครึ่ง ไปกลับก็แค่ 9 กิโลเมตร แต่เป็นการวิ่งขึ้น – ลง ภูไพรสัณฑ์เท่านั้น แม้บรรยากาศจะเย็นสบายแต่ทำเอาหลายๆ คนหอบไปเหมือนกัน

    ประมาณ 15 นาที หลังให้ลูกทีมดื่มน้ำและวิ่งเหยาะๆ คลายกล้ามเนื้อ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

    ปรี้ด! เสียงนกหวีดจากโค้ชนั่นเอง เมื่อได้ยินดังนั้นขุนพลแข้งซึ่งรูปร่างส่วนใหญ่ค่อนข้างสูงใหญ่วิ่งมารวมพลกันทันที

    “ต่อไปเป็นการเลี้ยงบอลหลบสิ่งกีดขวาง ลูกอยู่ทางโน้น คนละ 5 รอบไปแถวซ้าย กลับแถวขวา ไปได้!” เสียงสั่งอันเด็ดขาดชัดเจนทำให้บางคนที่หน้าเริ่มถอดสีต้องทำตามอย่างว่าง่าย เนื่องจากทราบกันดี (ยกเว้นพั้นช์) ว่าโค้ชนั้นเด็ดขาดเพียงใด

    โปรแกรมการฝึกซ้อมสิ้นสุดลงประมาณหกโมงเย็น ท้องฟ้าหน้าหนาวมืดเร็วกว่าปกติ มีเพียงแสงจากไฟส่องสว่างริมทาง มีเสียงหรีดหริ่งเรไรร้องระงมบริเวณรอบๆ หนองบูรพา ซึ่งในอดีตเต็มด้วยผักบัวระพา (โหระพา) อันเป็นพืชส่งออกสำคัญของเขตปกครองนี้เลยทีเดียว

    “พั้นช์ ไหวบ่มื้อแลง ไปงานแต่งเฮาบ่” ซิกธ์ หรือ “สหวิชาญ แกเร็ธ แก้วเจ้าตา ผู้ที่หก (The Sixth)” หนุ่มร่างสูงเพรียวผมยาวสลวยเอ่ยชวนเพื่อนรักไปงานแต่งของตนเย็นนี้

    “บ่... บ่ปฏิเสธ แต่สาวนางผู้โชคร้ายแม่นไผน้อ ฮ่าๆๆๆ” พั้นช์เล่นมุขแนวแดกดันกับเพื่อนรักที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆ

    “เว้าได้เว้าไป สาวผู้โชคร้ายวะนี่แหม ไผสิโชคดีปาน ‘น้องอ้อย’ ที่ได้แต่งกับเพลย์เมกเกอร์ดาราเอเชียอย่างท้าวซิกธ์ล่ะ เอิ้ก” ไอ้หนุ่มผมสวยไม่ได้โม้เกินเหตุ เพราะผลงานการลากเลื้อยทำเกมของมิดฟิลด์ตัวรุกรายนี้ระบือกระฉ่อน เมื่อโชว์สุดยอดลีลาพาทีมคว้าแชมป์สโมสรเอเชียถ้วยเล็ก (AFC Cup) ด้วยการเอาชนะทีมสโมสรดังจากประเทศไทยไปขาดลอย 3 – 1 ชนิดหักปากกาเซียนไปหลายสำนักทีเดียว

    “น้องอ้อยขี้มูกกื้ด นั่นตี้ ฮ่าๆๆๆ” พั้นช์หัวเราะร่วน เขาหมายถึง น้องอ้อยคนที่เคยเป็นไข้หวัดขี้มูกเขียวไหลคุ้มบ้านใต้คนนั้น

    “เขาเป็นถึงนางงามระดับเขต เว้าไป อันนั้นมันแค่อดีต บักหำ ไปอยู่อังกฤษคั่วแหม่มไปเท่าใดแล้วท่าน” ซิกธ์เบรกเพื่อนบ้าง

    “แอ้ม! ขออภัย เขาเอิ้นว่ามีสัมพันธ์อันสุดแสนหวาน ฮ่าๆ” พั้นช์ไม่ยอมแพ้เถียงกลับอยู่ดี

    “มันหวานแบบ puppy love ความฮักแบบหมาน้อยเหรอ บักหำ กร้าก” ซิกธ์แซวกลับบ้าง

    ป้าบ! คนแซวโดนเตะก้น ส่วนคนเตะวิ่งนำหน้าไปพร้อมกับหันมาล้อเลียน “อยากรู้ตามมา บักหำน้อย แฮ่ๆ”

    พลั่ก!
    “ว้าย!” เสียงสาววัยรุ่น ดังลั่น เมื่อถูกพั้นช์ที่วิ่งหนีเพื่อนมาเฉี่ยวชนจากด้านหลังจนตัวหมุน เพราะบริเวณทางโค้งเข้าบ้านดงบูรพานั้นเป็นมุมอับประกอบกับเขามัวแต่หัวมองดูคนที่ไล่ตามมา จึงไม่ได้สังเกตทางข้างหน้า

    “โอ๊ะ! ระวัง” พั้นช์ตกใจเมื่อคนที่เขาชนกำลังล้มหงายหลัง เขาพุ่งพรวดเข้าประคองสาวนางนั้นทันดี

    พลันที่แววตาขลับของไอ้หนุ่มผมเป็นลอนคลื่นสีดำขลับสบกับตาสีฟ้าของสาวลูกครึ่งผมน้ำตาลแดงยาวสยาย ทั้งคู่ถึงกับนิ่งค้างกลางอากาศ

    “ฟา เป็นหยังบ่ อ้าว อ้ายพั้นช์” จ่อย หรือ จอร์โจ้ “จรัสพล จอร์โจ้ เดล รอสโซ่” หนุ่มร่างสูงใหญ่ลูกชายเจ้าของสโมสรดงบูรพา และกองหลังตัวหลักของทีมที่เพิ่งแยกทางกันกับพั้นช์และซิกธ์เอ่ยถาม ฟา หรือ “ฟ้าคำหยาด สเตฟานี ดิ มันชินี”ลูกพี่ลูกน้องด้วยเสียงตระหนกขณะที่หันหน้ามาเห็นจังหวะที่ทั้งคู่จ้องกันกลางอากาศพอดี

    “เฮ้ย! พั้นช์ ชนไผเข้าให้หว่า” ซิกธ์ที่ตามมาทีหลังร้องขึ้นเกือบพร้อมกันกับจอร์โจ้

    สติของทั้งพั้นช์และฟากลับคืนมาจึงผละออกจากกันทันที

    “จอร์โจ้ เองเหรอ อ้าว ฟาน้อย กลับมาหนนี้เป็นสาวแล้วนี่” ซิกธ์ถามทันทีเมื่อเห็นหน้าเด็กน้อยลูกพี่ลูกน้องกัน (จอร์โจ้เป็นญาติซิกธ์)

    “เอ่อ ขอโทษหลายๆ เด้อครับ บ่ได้เจตนา เจ็บตรงใด๋บ่” พั้นช์เอ่ยถามด้วยเสียงอ้อมแอ้ม ฟังดูตะกุกตะกัก ไม่เหมือนคนพูดเก่ง

    “บ่เป็นหยังดอกจ้า ฟาแค่ตกใจ อ้ายล่ะเป็นหยังบ่” รอยยิ้มหวานๆ ที่ส่งมาทำเอาพั้นช์นิ่งไปอีกหน

    “บ่เป็นหยังดอกครับ ขอโทษอีกทีเด้อครับ” พั้นช์รีบตอบกลับเมื่อสะดุ้งจากภวังค์

    “จอร์โจ้ มื้อแลงเจอกันงานแต่งบักซิกธ์เด้อ” พั้นช์หันหน้าไปพูดกับจอร์โจ้เป็นการแก้เขินให้ตัวเอง

    “ครับอ้าย แล้วเจอกัน” จอร์โจ้ตอบรับด้วยน้ำเสียงปกติแต่ใบหน้านิ่งเงียบตามประสาคนยิ้มไม่ค่อยเก่ง

    พั้นช์แยกตัวจากสามลูกพี่ลูกน้อง กลับบ้านของตนซึ่งอยู่ประมาณกลางหมู่บ้าน ส่วนสามลูกพี่ลูกน้องนั้นอยู่ทางฝั่งตะวันตกของหมู่บ้าน

    “ลุงพั้นช์มาแล้ว” สองสาวน้อย พิม “พิมพาพร พิ้งกี้ คำพันดวง” และ พลอย “พลอยพรรณ พอลล่า คำพันดวง” หลานสาววัยสี่ขวบและสองขวบเศษวิ่งประสานเสียงเซ็งแซ่มาหาลุงของตน

    “เสียงดีแท้ มาให้ลุงหอมแก้มเลย จุ๊บๆ” พั้นช์เอ่ยทักสองหลานสาววัยทโมนคนละที พร้อมกับจูงแขนสองสาวน้อยเข้าบ้าน

    บรรยากาศข้าวเย็นใต้แสงตะเกียงตามธรรมเนียมของบ้านคำพันดวง อันประกอบด้วย คุณปู่ – คุณย่า ลุงพั้นช์ ลุงพาร์ท พ่อพีท แม่แพม ของหนูพิม หนูพลอย เป็นไปด้วยความชื่นมื่น หลังจากที่ลุงพั้นช์จากบ้านเกิดไปตั้งแต่อายุ 16 ยังไม่เต็ม 17 ปีดี จะกลับบ้านเพียงปีละครั้งเท่านั้น ต่อไปนี้คงไม่ต้องตั้งตารออีกต่อไป

    ก่อนสามทุ่มพั้นช์แต่งองค์ทรงเครื่องไปงานแต่งที่บ้านใต้(บ้านน้องอ้อยของซิกธ์) ขณะที่หลานๆ พากันหลับแล้ว

    “หล่อแล้วอ้ายพั้นช์” เสียงเลียนแบบพระเอกหมอลำของพาร์ทผู้เป็นเจ้าของเสียงโฆษกสนามเมื่อตอนกลางวันแซวขึ้นมาจากลานบ้าน

    “วัยรุ่นลูกสองใจร้อนนะครับ” พีทพ่อของพิมกับพลอยตะโกนขึ้นมาบ้าง

    “โอเช เรียบร้อยแล้วไปกันเลยวัยรุ่น” พั้นช์รีบเดินลงกระไดมาสมทบน้องๆ ทันที

    งานแต่งของซิกธ์กับน้องอ้อยจะเป็นอย่างไรติดตามตอนต่อไป

    ปล.อย่างที่เข้าใจเนาะว่าเว็บนี้คนอิสานอยุ่หลายแต่ต้องอธิบายก่อนสำหรับผู้บ่แม่นอิสานหรือภาษาิอิสานบ่ค่อยแข็งแรงว่าภาษาหลักในการพูดคุยของตัวละครของเรื่องนี้คือภาษาอิสานบ้านเกิดผู้แต่ง (เดี๋ยวไม่ฮา อิอิ)

    *แม่ป้า แปลว่า พี่สาวแฟน เป็นการเรียกของชายแทนตัวหญิงผู้พูดด้วยที่อาวุโสกว่าเล็กน้อยในลักษณะเป็นเหมือนญาติสนิทนั้น ก็เพื่อให้การพูดคุยดูมีความเคารพ สนิทสนมและเป็นกันเอง เป็นกุศโลบายอันดีของบรรพบุรุษ(ของผู้แต่ง)ชาวอิสานในการผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างการสนทนา
    ** อาว คือ อาผู้ชาย ส่วนคำว่า อา นั้น ภาษาอิสาน หมายถึง อาผู้หญิง
    ***เส็ง เป็นภาษาอิสานที่ผู้เฒ่าผู้แก่ชอบใช้ หมายถึง การประชัน การแข่งขัน การขับเคี่ยว น่าจะตรงกับคำว่า Attention ในภาษาอังกฤษ
    ****ตาเว็น = ตะวัน ดังนั้น ตาเว็นออก = ตะวันออก
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ท้าวอ๊าส; 14-09-2010 at 11:01. เหตุผล: ชื่อหัวข้อซ้อนกัน

Tags for this Thread

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •