..ศิลปิน...ปิดวิก

..เสียงรถ ติดป้ายโฆษณา พร้อมเสียงเพลงประกาศผ่านเครื่องขยายเสียง ตระเวนกลางกรุงเทพมหานคร ดูราวเป็นเทศกาล งานเฉพาะถิ่นชาวอิสานบ้านเรา ฟังจากเสียงประกาศที่เป็นสปอตโฆษณา ที่ดูตื่นเต้นเร้าใจ(ฟังไม่ผิดน่าจะเป็นเสียงผู้เขียนซะส่วนมาก..ฮ่า) กับการมาทัวร์ตระเวนปิดวิกใจกลางกรุง ของหมอลำซิ่งดังแห่งยุค เด่นชัย บัวผัน หรืออีกคู่ ศรีจันทร์ วัชราภรณ์ ที่แต่ละคนของแต่ละคู่ถูกดึงไปเข้าค่ายดังแล้วและอีกหลายคู่เบียดบังรัศมี เจ้าพ่อปิดวิกอย่างพี่หำเฉลิมพล มาลาคำ และเจ้าแม่ปิดวิกอย่าง พี่นาง ศิริพร อำไพพงษ์ อย่างเทียบกันไม่ได้ซะแล้วในยุคหมอลำซิ่งฟีเวอร์ยุคนี้ที่ต่างกับยุคลูกทุ่งปิดวิกล้อมผ้าสองปีให้หลัง แต่นั่นก็คืออาชีพของศิลปินคนที่เต้นกินรำกินที่พอมีรายได้แบ่งสันปันส่วน ให้ทีมงานหลายสิบหลายร้อยคน แม้จะฝากความหวังไว้กับแฟนเพลงที่มาเข้าชม และฟ้าฝนที่เป็นใจ เพราะปิดวิกครั้งหนึ่งสถานที่หนึ่งค่าใช้จ่ายที่ลงทุนไปก็ใช่ย่อย ใหนจะการเตรียมงานแผนการโฆษณาประชาสัมพันธ์ แต่ก็โชคดีถ้าได้ศิลปินที่ผู้คนชื่นชอบ อย่างคู่ของ ศรีจันทร์ กับ วัชราภรณ์ ที่บ่าวข้าวจี่ได้ร่วมงานด้วย เริ่มจากการหาสถานที่ ก็ไม่ยากแต่ละแห่งมันก็เป็นสถานที่ ที่ชื่อคุ้นหูกันทั้งนั้น ตัวอย่างเช่น สนามธูปเตมีย์ สี่แยกวังหิน ตลาดกลางซอยวัดเทพลีลา สนามตลาดสดคู้บอน สามแยกบางบอน สนามหน้า สภ สำโรงใต้ วัดเสมียนนารี ตลาดสดบางใหญ่ และอีกหลายสถานที่ทั่วกรุงและปริมณฑล ใครอยู่ใกล้ก็ไปจับมือดึงแขนได้นะครับ..ฮ่า..ค่าสถานที่บางที่ก็ถูกแพง เฉลี่ยแล้วก็ประมาณ 5000 บาทถึง 15000 บาทต่อคืน ค่าสปอตโฆษณา ค่ารถแห่ก็ราว 4000 ถึง 6000 บาทต่องาน ค่าเวที เครื่องเสียงไฟแสงสี แดนเซอร์ นักดนตรี เครื่องปั่นไฟ สังกะสีวัสดุปิดวิก ก็ตก 30000 บาท ถึง 40000 บาท ใหนจะค่าตัวศิลปิน อย่างหมอลำซิ่งคู่ดังก็ตก 20000 บาท ถึง 40000 บาท ต่อคู่ หรือแล้วแต่จะตกลงกันกับผู้จัด หรือถ้าเป็นนักร้องดัง บางทีคนเดียวก็ตกเกือบ 60000 บาทก็มี และยังมีค่าใช้จ่ายแฝงอีกบานทั้งค่าขออณุญาติ ค่าเจ้าหน้าที่ที่คอยมาอำนวยความสะดวกด้านจราจรบ้าง ความปลอดภัยบ้าง รวมค่าใช้จ่ายแล้วแต่ละงานที่ต้องลงทุน เกือบ 150000 บาท ขายบัตรขายตั๋วราคา 80 -100 บาท ถ้าคนดูไม่ถึง 1500 คนเก็บไม่ได้ตามเป้า ทีมงานทุกคนก็ต้องยอมรับผลกระทบร่วมกัน ฮ่า แต่บางงานคนดูมากจนแทบวิกแตกก็มีนะครับ มันก็เป็นรสชาติและ และประสบการณ์ชีวิตที่ต้องเจอหลายคน เลิกทำ และมีบางคนก็ ยังทำอยู่จนถึงทุกวันนี้ เก่าไปใหม่มาตามวัฎจักร ถ้าไม่มีคนทำเลยศิลปินทั่วไปหรือ ที่ไม่มีวงของตัวเองก็ไม่มีโอกาสได้หารายได้ที่พอจะเสริมและเก็บเพิ่ม ถ้ามัวรอเงินขายแผ่น หรือริงโทน ที่ค่ายเจียดให้ต้องบอกว่าเจียดให้คงลำบาก เพราะชื่อเสียงยังไงก็กินไม่ได้ บางคนก็ต้องบอกเลยว่าเวทีนี้ งานปิดวิกอย่างนี้คือความอยู่รอดของศิลปินหลายคน และทุกวันนี้โอกาสที่เริ่มมองเห็นทาง ที่ค่ายใหญ่ๆหันมามองธุรกิจปิดวิก ล้อมผ้า แวดวงลูกทุ่งก็เริ่มมาสนใจการจัดการแสดงสดเพื่อหารายได้จากงานโชว์มากขึ้น แต่ในความโชคดีเช่นนี้ ยังมีการแสดงที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับศิลปินปิดวิก อยู่เนืองๆทำให้บางทีผู้จัดก็หายใจไม่ทั่วท้อง เช่น ฟรีคอนเสริ์ทของเครื่องดื่มชูกำลัง(จริงหรือเปล่าไม่แน่ชัด ฮา) ที่เก็บบัตรผ่านอันน้อยนิด และยังยัดเยียดเครื่องดื่มอย่างว่าให้ผู้ชม โดยไม่ได้ดูว่ามือที่ยื่นรับมีเด็กหรือสตรีมีครรภ์หรือเปล่า ฮา นี่ก็เป็นอีกอย่างที่ยังดูขัดๆในสายตากับ ลูกทุ่งยุคทุนนิยมยุคนายทุนใหญ่ ค่ายใหญ่ยังถือไพ่เหนือกว่า ปลาเล็กกินปลาใหญ่ มีนักร้องหลายคนที่กระเสือกกระสนหนีออกมาจากค่ายใหญ่มาปิดวิกติดดินและ นำชื่อเสียงที่ยังพอได้รับการสนับสนุนจากแฟนเพลงอยู่แลกกับค่าผ่านประตูที่พอจุนเจือตัวเองและลูกวง จู่ๆมีฟรีคอนเสิร์ทจากนายทุนและศิลปินค่ายเดิมมาเปิดอยู่ระแวกใกล้เคียง ซะนี่ อย่างนี้คงเรียกไม่ได้ว่าเป็นการประชัน แต่มันเป็นการประจันหน้ากันมากกว่า..นับวันพื้นที่ของศิลปิน..ปิดวิก คงลดน้อยถอยลงไปตามกาลเวลา..เป็นที่น่าเห็นใจ..........

ขอขอบคุณที่ติดตามอ่าน ...จากใจ บ่าวข้าวจี่