เวลาคุมขังผู้ต้องหาโดยเจ้าพนักงานตำรวจ
รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย การจับ คุมขัง ตรวจค้นตัวบุคคล หรือการกระทำใดอันกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพดังกล่าว จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย” ดังนั้น รัฐจึงมีกฎหมายมารองรับการจำกัดเสรีภาพทางร่างกายอย่างมีขอบเขตเพื่อให้เป็นไปตามหลักการของรัฐธรรมนูญ โดยไม่ลืมจะคุ้มครองและให้ความยุติธรรมแก่ผู้ที่ถูกจำกัดสิทธิดังกล่าวด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกท่านน่าจะรับทราบระยะเวลาที่ตำรวจสามารถคุมขังท่านได้ตามระดับของความผิดที่ถูกกล่าวหา เพื่อใช้ปกป้องและโต้แย้งได้หากเจ้าหน้าที่มิได้ทำตามหลักกฎหมายดังกล่าวกำหนดไว้เมื่อเกิดมีการกระทำผิดขึ้น กฎหมายได้กำหนดขอบเขตในการควบคุมผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดไว้เท่ากับความจำเป็นตามพฤติการณ์แห่งคดี โดยมีการแบ่งเวลาในการควบคุมตัวตามอัตราโทษคดีที่ระบุเป็นข้อกล่าวหาไว้ดังนี้
สำหรับความผิดลหุโทษ ซึ่งหมายถึงคดีที่มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับไม่เกินอัตราข้างต้น เจ้าพนักงานจะควบคุมผู้ถูกจับไว้ได้เท่าเวลาที่จะถามคำให้การ และที่จะรู้ตัวว่าเป็นใคร และที่อยู่ของเขาอยู่ที่ไหนเท่านั้น ตัวอย่างเช่น คดีเสพย์สุราจนเมาครองสติไม่ได้ และประพฤติตัววุ่นวาย ก่อความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านทั่วไปขณะอยู่ในถนนสาธารณะหรือสาธารณสถานใดๆ อันมีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท เมื่อตำรวจจับท่านมา ก็สามารถคุมตัวท่านสอบคำให้การจนกว่าท่านจะมีสติพอบอกชื่อและที่อยู่ปัจจุบัน แล้วอาจทำการเปรียบเทียบปรับโทษแก่ท่านตามแต่ดุลพินิจของตำรวจ เป็นต้น
สำหรับคดีอาญาอื่นๆนอกจากคดีลหุโทษ จักมีระยะเวลาในการควบคุมตัวที่ยาวนานกว่า อันเนื่องจากเป็นการให้เวลาพอสมควรแก่ตำรวจในการสอบคำให้การจากผู้ถูกจับโดยตรง มีหลักเกณฑ์ดังนี้ ห้ามมิให้ควบคุมผู้ถูกจับไว้เกินกว่า 48 ชั่วโมง หรือ 2 วัน นับแต่เวลาที่มาถึงสถานีตำรวจ ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นเพื่อทำการสอบสวน หรือเหตุจำเป็นอย่างอื่น อาจขยายเวลาได้เท่าเหตุจำเป็น แต่รวมกันแล้วต้องมิให้เกิน 3 วัน โดยสรุปคือ ท่านจะถูกควบคุมตัวที่สถานีตำรวจได้สูงสุดไม่เกิน 3 วัน หากต้องการคุมตัวนานกว่านี้ ก็ต้องยื่นคำร้องขอฝากขังต่อศาล ซึ่งมีกระบวนการพิจารณาที่เจ้าพนักงานสอบสวนหรืออัยการต้องชี้แจงเหตุจำเป็นหรืออาจมีการสืบพยานหลักฐานเพื่อประกอบการพิจารณาก็ได้ ศาลจักเป็นผู้พิจารณาโดยพิเคราะห์จากคำร้องและหลักฐานของเจ้าพนักงาน ประกอบกับต้องคำนึงถึงการให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหาด้วยเช่นกัน
เมื่อศาลเห็นชอบในการคุมขังผู้ถูกกล่าวหาต่อไป กฎหมายได้กำหนดขอบเขตของเวลาไว้อีกเช่นกัน หากพ้นกำหนดเวลาไปแล้ว บุคคลนั้นจักได้รับการปล่อยเป็นอิสระ โดยใช้อัตราโทษคดีที่ถูกกล่าวหาเป็นเกณฑ์กำหนดระยะเวลาคุมขัง ดังนี้
ความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 500 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลมีอำนาจสั่งขังได้ครั้งเดียว มีกำหนดไม่เกิน 7 วัน
ความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินกว่า 6 เดือน แต่ไม่ถึง 10 ปี หรือปรับเกินกว่า 500 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลมีอำนาจสั่งขังหลายครั้งติดๆกันได้ แต่ครั้งหนึ่งต้องไม่เกิน 12 วัน และรวมกันทั้งหมดต้องไม่เกิน 48 วัน
ความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป จะมีโทษปรับด้วยหรือไม่ก็ตาม ศาลมีอำนาจสั่งขังหลายครั้งติดๆกันได้ แต่ครั้งหนึ่งต้องไม่เกิน 12 วันและรวมกันทั้งหมดต้องไม่เกิน 84 วัน
อัตราเวลาข้างต้นเป็นอำนาจของศาลโดยเฉพาะ แต่เพื่อคุ้มครองและให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหา กฎหมายได้กำหนดด้วยว่า เมื่อศาลสั่งขังครบ 48 วันแล้ว หากพนักงานสอบสวนหรืออัยการต้องการคุมขังต่อไปโดยอ้างเหตุจำเป็นใดๆ ศาลจะสั่งขังต่อไปได้ต่อเมื่อพนักงานสอบสวนหรืออัยการได้แสดงถึงเหตุจำเป็นและนำพยานหลักฐานมาให้ศาลไต่สวนจนเป็นที่พอใจแก่ศาล อีกทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาแต่งตั้งทนายความเพื่อแถลงข้อคัดค้านและซักถามพยานก็ได้
สิ่งสุดท้ายอันพึงระลึกไว้เกี่ยวกับสิทธิของผู้ถูกกล่าวหา คือ รัฐธรรมนูญกำหนดสิทธิอันชอบธรรมไว้ว่า “ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้” ดังนั้น หากมีการถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอาญาเกิดขึ้น ท่านสามารถใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญข้อนี้ได้เพื่อความเป็นธรรมและความรอบคอบในการตอบคำถามแก่พนักงานสอบสวน อีกทั้งเป็นการป้องกันการทำร้ายเพื่อบีบคั้นผู้ถูกกล่าวหาตามคำเล่าลือของชาวบ้านที่มีมานานในอดีตด้วย ขอเพียงทุกฝ่ายปฏิบัติตามหลักกฎหมาย ย่อมได้รับความยุติธรรมกันถ้วนหน้า
ขอบคุณ ลีลา law จาก magnadream.spaces.live.com
Bookmarks