ทำอย่างไรเมื่อต้องขับรถนานๆ...(อันนี้ บุ๋มบิ๋ม เป็นมาแล้ว..แล้วลองทำได้ผลนะค่ะ อ่านให้จบนะค่ะ)
ทั่วๆไปแล้วอาการปวดบ่า
กระบอกตา คอ หลัง หน้าขา(สะโพก) และน่อง เป็นอาการที่พบได้บ่อย
เรามาลองดูสาเหตุและการบรรเทาอาการเหล่านี้กัน
เมื่อ ขับรถต้องใช้สายตามากไม่สามารถพักสายตาได้
ต้องเพ่งและมองไปข้างหน้าตลอด ถ้าหากแสงแดดจ้าก็จะทำให้ตาต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันการเพ่งสายตามีผลต่อท่าทางของคอ
คือคอต้องตั้งตรงนานๆ ย่อมมีผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อคอ
ทำให้กล้ามเนื้อคอทำงานหนักและเกิดอาการล้าได้
การเมื่อยล้าของคอส่งผลต่อการบีบรัดเส้นประสาทโดยเฉพาะ
ที่ฐานกะโหลกด้านหลังทำให้ปวดศีรษะและกระบอกตาได้
วิธีการแก้ไขปัญหาปวดกระบอกตาและล้าของตาคือ
ต้อง ใส่แว่นปรับสายตาหากมีปัญหาเรื่องสายตาสั้นหรือยาว
จะทำให้ลดการเพ่งในขณะขับรถและหากขับรถในเวลาที่แดดจัดควรใช้แว่นกันแดด
เพื่อลดปริมาณแสงที่อาจทำให้ม่านตาทำงานหนักได้
ขณะ ที่พักรถหรือช่วงติดไฟแดงอาจใช้เวลาเล็กน้อยที่จะมองไปยังต้นไม้ที่มีสี
เขียวหรือหลับตาพักสายตาสักครู่ และหากเป็นไปได้การนวดบริเวณต้นคอและบ่า 2 ข้าง จะสามารถลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อบริเวณนั้นส่งผลให้ความรู้สึกล้าลดลงได้
ในขณะขับรถกล้ามเนื้อบ่าจะทำงานเพื่อยกบ่าและแขนในการควบคุมพวงมาลัย
หาก การจับพวงมาลัยห่างจากตัวมากจะมีผลทำให้ต้องเอื้อมมือยืดแขนไปข้างหน้า
กล้ามเนื้อบ่าและไหล่จึงทำงานมากขึ้นอีกและทำให้เกิดอาการเมื่อยล้ากล้าม
เนื้อบ่าและเกิดกล้ามเนื้ออักเสบได้ในที่สุด ซึ่งสามารถตรวจได้โดยการคลำกล้ามเนื้อนั้นๆ จะพบลำหรือปมแข็งในกล้ามเนื้อ เมื่อกดก็จะมีอาการเจ็บและร้าวได้
ดัง นั้นการปรับระยะและความสูงของพวงมาลัยเป็นสิ่งที่สำคัญ
แต่ต้องเข้าใจว่าในขณะขับต้องทิ้งน้ำหนักแขนส่วนหนึ่งไว้ที่พวงมาลัย
ไม่เกร็งแขนและไหล่ตลอด การเกร็งและยกแขนนี้อาจทำให้การควบคุมพวงมาลัยทำได้ยากกว่าที่ควรจะเป็น
อย่างไรก็ตามคุณสามารถลดอาการตึงและปวดเมื่อยบ่านี้ได้โดยการหมุนไหล่แบบกายบริหารของ เด็กๆ ที่หมุนไหล่มาข้างหน้าและย้อนกลับหลัง โดย ทำเมื่อหยุดพักหรือหากเมื่อยในขณะขับรถท่านสามารถทำการแบะไหล่ไปด้านหลังและ แอ่นตัวมาข้างหน้าหรือทำการหมุนไหล่ข้างเดียวได้ โดยพิจารณาถึงความปลอดภัยในขณะขับขี่เป็นหลัก
สำหรับ อาการปวดเมื่อยหลังเกิดขึ้นได้เนื่องจากท่านั่งเป็นท่าที่หมอนรองกระดูก
สันหลังมีแรงกด มากกว่าท่าอื่นๆ แม้ว่าจะมีเบาะพนักพิงก็ตาม แต่หลังที่อยู่ในลักษณะโค้งงอ ย่อมส่งผลต่อแรงดันในหมอนรองกระดูกสันหลัง โดย มีแรงกดด้านหน้าหมอนรองกระดูกมากกว่าด้านหลัง หมอนรองกระดูกจึงมีแนวโน้มที่จะปลิ้นไปทางด้านหลังและอาจเกิดปัญหาของหมอน รองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทได้ เอ็นและกล้ามเนื้อที่อยู่ด้านหลังจะถูกยืดมากกว่าเมื่อหลังอยู่ในท่าตรง
ดัง นั้น สิ่งที่ควรทำเมื่อพักรถคือ ค่อยๆ ลงจากรถ ไม่ลุกแบบพรวดพราดและก่อนจะลุกขึ้นควรทำการยืดตัวและแอ่นหลังประมาณ 3-4 ครั้งก่อน แล้วค่อยลุกขึ้น และเมื่อลุกขึ้นแล้วควรทำการยืดหลังและแอ่นหลังในขณะท่ายืนอีก 10 ครั้ง แล้วถึงจะทำการก้มหลังหรือใช้งานหลังได้ตามปกติ เหตุที่ให้ทำเช่นนี้ เพราะว่าเอ็นที่อยู่ด้านหลังเมื่อนั่งนานๆ จะล้า ขาดความยืดหยุ่นตัวและถ้าก้มบิดตัวหรือใช้งานหลังหนักๆ(เช่น การยกของหนัก) การก้มขณะที่จะลุกจากรถ อาจมีผลต่อการเคลื่อนหรือปลิ้นตัวของหมอนรองกระดูกสันหลังได้
หาก เกิดอาการปวดเมื่อยล้าหลังขณะขับรถคุณสามารถนำหมอนเล็กๆ
สอดไว้ที่หลังส่วนล่างระหว่างเบาะกับหลังของคุณเพื่อให้หมอนเป็นตัวดันให้ หลังแอ่นตัวเล็กน้อย แต่ไม่ควรนั่งพิงหมอนนั้นตลอด เพราะจะเกิดความล้าต่อหลังได้เช่นกัน
การขับรถเกียร์อัตโนมัติ ความเมื่อยล้ากล้ามเนื้อหน้าขาและน่องเกิดได้จากการที่ต้องขยับขาเพื่อการ เหยียบเบรกและคันเร่ง
ขณะที่ถ้าขับรถเกียร์ธรรมดาจะมีอาการเมื่อยล้าขาซ้ายเพิ่มขึ้นเนื่องจากการเหยียบคลัตช์
การแก้ไขหรือลดอาการปวดขณะขับรถสามารถทำได้โดยการหมุนข้อเท้าจิกปลายเท้า กระดกปลายเท้าขึ้น เหยียดปลายเท้าลงให้สุด โดย สามารถทำกับเท้าข้างซ้ายข้างเดียวในขณะขับรถและหากเมื่อหยุดพักแล้วคุณ สามารถทำการหมุนหรือดัดต่อเท้าข้างขวา รวมทั้งทำการยืดกล้ามเนื้อหน้าขาได้ การยืดกล้ามเนื้อหน้าขาทำได้โดยยืนแล้วพับเข่าไปด้านหลังโดยเอามือช่วยจับ เข่างอเข้ามายังก้น
อย่างไรก็ตามการขยับ เขยื้อนออกกำลังกายแบบนี้เป็นการบรรเทาอาการเท่านั้น และหากทำขณะขับรถให้คำนึงถึงความปลอดภัยในการขับขี่เป็นหลักด้วย
สิ่ง ที่จะต้องทำที่สุดคือ การหยุดพักบ่อยๆ เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ
ล้างหน้าล้างตาและทำการออกกำลังกายตามที่ได้กล่าวมา
หรือทำการบิดขี้เกียจก็ได้ในลักษณะเหมือนการบิดขี้เกียจตอนเช้าก่อนลุกขึ้น
มาอาบน้ำ และเมื่อถึงที่หมายแล้ว ควรทำการนอนยกขาสูง
โดยการนอนราบกับพื้นแล้วทำการยกขาแบบงอเข่าเล็กน้อยพาดกับเก้าอี้หรือโซฟา
เพื่อให้เลือดไหลและน้ำเหลืองไหลกลับได้ง่ายขึ้น และทำให้หลังได้พักตัวลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อหลังได้
ที่มา วิชาการดอทคอม
Bookmarks