พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550
เป็นกฎหมายใหม่ ที่สมาชิกบางท่านอาจจะไม่รู้ จึงได้เอามานำเสนอเพื่อให้ได้รับทราบทั่วกัน ในสมัยก่อนกรณีที่สามีตบตีภรรยาหรือภรรยากระทืบสามีที่ไม่มีทางสู้(เพราะเมายังไม่สร่าง) ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ แม้กระทั่งเป็นญาติสนิทมิตรสหาย ก็ไม่มีใครเข้าห้ามปรามหรือช่วยเหลือแต่อย่างใด เพราะพวกเราถูกพร่ำสอนมาอย่างดีว่า ผัวเมียตีกันมันเป็นเรื่องธรรมดา ให้หลีกหนีให้ไกลอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยว เมื่อมันตีกันแล้วประเดี๋ยวมันก็ดีกันเอง ถ้าเข้าไปห้ามปรามหรืออธิบายเหตุผลต่างๆเพื่อให้หยุดทะเลาะกัน เวลาเขาดีกันเราก็เป็น...แต่ในปัจจุบันถ้าเราพบเหตุการณ์ดังกล่าวเราสามารถเข้าไปยุ่งได้โดยแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้เขาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายฉบับนี้ได้ให้อำนาจไว้ เอาหล่ะครับ เพื่อเป็นการทบทวนข้อกฎหมายใกล้ตัวที่น่าสนใจ ผมก็จะพูดคุยข้อกฎหมายเหล่านี้มาปรับใช้กับชีวิตประจำวัน ดังนี้ครับ
ความรุนแรงในครอบครัว...ชาวบ้านยุ่งได้
แม้ว่า พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวจะประกาศใช้ตั้งแต่ ปี พ.ศ.2550 แต่หลายฝ่ายก็ออกมายอมรับครับว่าประชาชนยังไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งในกฎหมายฉบับนี้มีทั้งความรุนแรงทางกายและทางใจครับ อย่างความรุนแรงทางกายนั้น คุณผู้อ่านก็คงเห็นสปอร์ตรณรงค์ทางโทรทัศน์ที่ต้องการให้สังคมให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวแล้วใช่ไหมครับ โดยความรุนแรงในครอบครัวไม่ใช่เรื่องเฉพาะผัวเมียอีกต่อไป หากแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนในสังคมด้วย ฉะนั้นเมื่อพบเห็นการกระทำความรุนแรงไม่ว่าจะที่ใด ผู้พบจะต้องไปแจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ได้ทราบ ซึ่งผู้ที่แจ้งจะได้รับการคุ้มครองจากกฎหมาย ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มีอำนาจที่จะเข้าไประงับเหตุในเคหสถานได้ด้วยครับ...ดังนั้นจะไม่มีคำว่า “เรื่องของผัวเมีย ใครอย่ายุ่ง” อีกต่อไป
นอกใจคู่สมรสถึงขั้นติดคุก
ความหมายของความรุนแรงในกฎหมายฉบับนี้ตีความถึง ความรุนแรงในครอบครัวซึ่งหมายถึง การกระทำใดๆ โดยมุ่งประสงค์ให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพ หรือกระทำโดยเจตนาในลักษณะที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพของบุคคลในครอบครัว หรือบังคับ หรือใช้อำนาจครอบงำผิดทำนองคลองธรรมให้บุคคลในครอบครัวต้องกระทำการ ไม่กระทำการ หรือยอมรับการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดโดยมิชอบ ดังนั้นกรณีที่คุณผู้หญิงหรือคุณผู้ชายถูกสามีหรือภรรยาตัวเองนอกใจโดยไม่เต็มใจ (อันนี้คงต้องตีความกันอีก) ย่อมถือเป็นการทำร้ายจิตใจด้วย ถูกต้องไหมครับคุณผู้อ่าน เมื่อเป็นเช่นนี้พฤติกรรมการมีกิ๊ก มีเด็ก มีชู้ มีเมียน้อย (สามีน้อย) ผู้ถูกทำร้ายจิตใจจึงสามารถใช้สิทธิ์ฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมายนี้ได้ โดยโทษสูงสุดคือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับครับผม
แต่เท่าที่ผมได้ศึกษากฎหมายฉบับนี้อย่างละเอียด จะเห็นว่าไม่ว่าคดีจะอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวนหรือชั้นศาล ก็มีแต่บัญญัติว่า ให้อำนาจพนักงานสอบสวนหรือศาลทำการไกล่เกลี่ยหรือประนีประนอมยอมความกันได้ ถ้าฝ่ายที่ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจยินยอม โถ..แม่คุณทูนหัวจะทำกับสามีตาดำๆได้ลงคอเชียวหรือ? แม้กระทั่งการทำร้ายร่างกายจนได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ ตาม ม.295 ที่เป็นความผิดอาญาแผ่นดินที่ยอมความกันไม่ได้ แต่กฎหมายฉบับนี้บัญญัติให้เป็นความผิดอันยอมความได้(Compoundable offence) สถาบันครอบครัวยังยิ่งใหญ่เสมอครับท่าน
Bookmarks