ความสุขนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ถ้าจะเป็นพระให้มีความสุข ก็ต้องชัดเจนกับความเป็นพระ ถ้าเราอยากจะเป็นพระด้วยอยากจะเป็นชูเปอร์สตาร์ด้วย อยากจะเดินแบบจีวรด้วย ก็เริ่มไม่สุขแล้ว เป็นพระด้วย อยากมีรถ อยากมีกุฏิ วิหารหลังละล้าน ร้อยล้าน มันจะไม่สุขเลย ตราบใดก็ตามที่ยังไม่มีสิ่งเหล่านั้นครบ หรือสิ่งเหล่านั้นไม่อยู่ในมือ แต่ถ้าเรามีความชัดเจนว่าเราเป็นพระเพื่อที่จะละกิเลส เรามุ่งไปตรงนั้นแล้วกิเลสมันลดน้อยลงๆ ความสุขมันเพิ่มขึ้นๆ
ฉะนั้นนิยามแรกของการมีความสุขก็คือ ขอให้เราเข้าถึงสาระที่แท้จริงของทุกสิ่งที่เราเป็นอยู่ ถ้าเราเป็นพระ โดยมีจุดหมายเพื่อละกิเลส เราก็จะเป็นพระที่มีความสุขมาก
ถ้าเราเป็นนักการเมือง สาระของนักการเมืองก็คือ ทำเพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชน ถ้านักการเมืองคนไหนทำอย่างนี้ การแสดงสปิริตเป็นเรื่องง่ายมากไม่ใช่เพื่อให้ได้คะแนนเสียงหรือผลประโยชน์ของตนเอง ทีนี้ถ้าเราคิดว่าการเมืองหมายถึงเรื่องผลประโยชน์ นักการเมืองคนนั้นจะไม่เป็นสุข
คำว่า "ประโยชน์สุข" เป็นคำที่ในหลวงทรงใช้เมื่อแรกเสวยราชย์ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม ไม่จำเป็นต้องอิงผลประโยช์เสมอไป ในหลวงเสด็จประทับรถยนต์พระที่นั่งผ่านถนนราชดำเนิน ประชาชนยืนสองข้างทางน้ำตาไหล แค่นี้คนไทยก็มีความสุขแล้ว นี่คือความลึกซึ้งของคำว่าประโยชน์สุข แทบไม่เกี่ยวกับเงินเลย
ไม่นานมานี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จเปิดห้องสมุดที่บ้านเกิดอาตมา เพียงแค่ทรงพระดำเนินเข้าไปในวัดชาวบ้านสองข้างทางก็น้ำตาไหล ไม่น่าเชื่อว่าพระองค์จะเสด็จมาเยือนแผ่นดินชายขอบ เสด็จมาได้อย่างไร นี่ก็คือประโยชน์สุขซึ่งลึกซึ้งกว่าผลประโยชน์มาก ฉะนั้นนักการเมือง ทุกคนถ้าใช้คำว่าประโยชน์สุขจะเป็นคนที่มีอนาคต ถ้าใช้คำว่าผลประโยชน์ไม่นานก็จบ
หากเราเป็นนักลงทุน เราจะมีความสุขก็ต่อเมื่อได้กำไร แต่ถ้าเราอยากเป็นนักลงทุนด้วย เป็นนักพรตด้วยมันจะขัดแย้งกันทันที เฉพาะนั้นมันก็ต้องชัดเจนว่าเราเอาอย่างไร ถ้าเป็นนักลงทุน ลงทุนจนประสบความสำเร็จแล้ว อยากจะนึกถึงสังคมบ้าง ก็จะถือว่าเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จสองขั้น ดังเช่น วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นนักลงทุนระดับโลกที่รวยมาศาล รวยจนแซงบิล เกตส์ อ่านประวัติดูปรากฏว่าทำตัวติดดินมากยังขับรถเอง ยังใส่เสื้อผ้าธรรมดา ๆ มีคนไปขอเคล็ดลับในการประสบความสำเร็จ แกก็บอกว่า รู้จักพอ ทำอะไรให้รู้จักประมาณตน นี่คือคนเราถ้ารู้จักแก่นที่แท้จริงของทุกสิ่งที่เราเป็น เราจะไม่หลงประเด็น หากเราไม่หลงประเด็นเราก็จะมีความสุขมาก
ถ้าคุณเป็นสามีแล้วไม่หลงประเด็น เป็นสามีที่ดีก็จะไม่มีทุกข์ ถ้าจับประเด็นผิดแล้วไปมีกิ๊ก แย่เลย เพราะฉะนั้นแก่นของความสุขก็อยู่ตรงนี้นี่เอง เราเป็นอะไรก็ตามเราทะลุแก่นแท้ของสิ่งนั้นให้ได้ แล้วเราก็จะเห็นความสุขเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้แสนง่ายเหลือเกิน
ชีวิตที่เป็นทศนิยมไม่รู้จบเป็นชีวิตที่แสนเหนื่อย เมื่อไรจะถึงเป้าหมายเสียทีก็ไม่รู้ ไปเรื่อยๆ สุดท้ายมารู้สึกตัวเองอีกทีก็เมื่อแก่แล้ว แต่ถ้าเรามีวัตถุประสงค์วางเอาไว้ชัดเจน เมื่อเราไปถึงตรงนั้นปุ๊บเราก็วางวัตถุประสงค์ใหม่ ความสุขก็จะเป็นขึ้นบันไดเราก็จะไต่ขึ้นไปได้เรื่อย ๆ
การเขียนหนังสือของอาตมา ตอนแรกก็ขอแค่ให้ได้เขียนหนังสือก็เลยเขียนบันทึกประจำวัน แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว พอลงมือเขียนในไดอารี่ไม่มีใครมาอ่านเราก็มีความสข แล้วยิ่งมีเพื่อนมาแอบอ่านเราก็มีความสุขแสดงว่ามีคนสนใจอ่าน เลยวางทิ้งเรี่ยราดเพื่อให้เพื่อนมาแอบอ่าน
คิดต่อไปอีกว่าการได้เป็นคอมลัมนิสต์ ก็น่าจะมีความสุขดี ต่อมาคิดอีกว่ามันน่าจะได้รวมเล่ม ก็มีการรวมเล่ม พอรวมเล่มแล้ว มีความสุขต่อไปมันน่าจะมีความอ่านเยอะๆ พอคนอ่านเยอะๆ ก็มีความสุขอีก
เห็นไหมว่า ความสุขเป็นขั้นบันได แต่ถ้าเราไม่วางเป้าหมายอะไรเอาไว้เลย เราไม่สามารถชี้วัดได้เลยว่าความสุขของเราจะเกิดขึ้นเมื่อไร ชีวิตจึงคล้ายกับทศนิยมไม่รู้จบจะไปอย่างไรก็ไม่รู้ แบบนี้ก็เหนื่อย
ที่มา : หนังสือความทุกข์มาโปรดความสุขโปรยปลาย โดย พระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี)
Bookmarks