กำลังแสดงผล 1 ถึง 2 จากทั้งหมด 2

หัวข้อ: ผลักออก หรือดึงเข้า

  1. #1
    เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์
    ช่างภาพอิสระ
    สัญลักษณ์ของ ฅนภูค่าว
    วันที่สมัคร
    Feb 2010
    ที่อยู่
    นครโคราช บ้านเกิดกาฬสินธุ์
    กระทู้
    1,206

    ผลักออก หรือดึงเข้า

    ปกติถ้าท่านจะเดินเข้าห้างสรรพสินค้า ข้างหน้าท่านมีประตูกระจกที่เป็นทางเข้าขวางอยู่ ปกติท่านจะผลัก หรือดึงประตูนั้นครับ??

    โดยปกติคนเรามักจะผลักประตูออกมากว่าดึงเข้าหาตัว น้อยคนนักที่จะดึงประตูเพื่อเปิด เปรียบเทียบเหมือนกับคนเราที่เวลาเจอปัญหาต่างๆ ก็มักจะผลักออกจากตัว ไม่ค่อยมีใครที่จะมองกลับมาที่ตนเองซักเท่าไร

    สมมุติว่าท่านกำลังขับรถอย่างรวดเร็ว และจี้ติดรถคันหน้า พอรถคันหน้าเบรก ท่านเบรกไม่ทันชนท้ายรถคันหน้าเข้า สิ่งที่ท่านคิดอยู่ขณะนี้คือ ใครผิด คนส่วนใหญ่ก็จะโทษไปที่รถคันหน้าว่า “ขับรถยังไง ไม่เบรกให้ดีๆ หน่อย” รถคันหน้าก็จะหันมาโทษรถคันหลังว่า “ขับรถยังไง มาชนท้ายคนอื่น” จะมีใครมองบ้างหรือเปล่าว่า นี่เป็นความผิดของเราเอง ถ้าเราขับดีกว่านี้ ก็คงจะไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้น


    หรือในกรณีของการบริหารงานในองค์กร พนักงานที่เราดูแลอยู่นั้น ทำงานไม่ดีนัก ผลงานไม่ค่อยออก ในฐานะที่ท่านเป็นหัวหน้าของเขา ท่านจะโทษใคร ผมเชื่อเลยว่า ส่วนใหญ่จะกล่าวโทษไปที่พนักงานว่า พนักงานสมองไม่ดีบ้าง เรียนรู้ช้าบ้าง หรือไม่ตั้งใจบ้าง แต่ถามหน่อยว่า แล้วท่านในฐานะหัวหน้านั้น ท่านมองกลับมาที่ตัวท่านเองบ้างหรือเปล่าว่า ที่ลูกน้องทำผลงานได้ไม่ดีนั้น เกิดจากตัวท่านด้วยที่ไม่สอนงาน ควบคุมงาน และไม่ให้คำแนะนำที่ดีแก่เขา ปกติคนเรามักจะกล่าวโทษคนอื่นไว้ก่อน และมองตัวเองดีเสมอ ไม่ค่อยมีใครเห็นตัวเองว่าไม่ดี

    ดังนั้นไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ไม่ดีอะไรเกิดขึ้นกับเรา เราจะไม่ค่อยโทษตัวเราเองสักเท่าไร สิ่งที่เราจะหาสาเหตุก็คือ มองออกไปที่คนอื่น หรือไม่ก็มองออกไปข้างนอกตัว มากกว่ามองเข้าหาข้างในตัวเราเอง



    ผลักออก หรือดึงเข้า


    ผมได้อ่านนิทานเรื่องหนึ่งซึ่งเมื่ออ่านจบแล้วผมเกิดความรู้สึกวูบๆ ในใจ ลองอ่านดูนะครับ ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร

    ผลักออก หรือดึงเข้ากาลครั้งหนึ่งมีหญิงสาวคนงานตาบอดคนหนึ่งเลิกงานตอนดึกมากแล้วจะกลับบ้าน
    เจ้านายก็เลยนำเอาไฟนำทางมาให้เพื่อให้เธอส่องทาง
    แต่หญิงสาวกลับพูดว่า “ดิฉันตาบอดจะเอาโคมไฟไปทำอะไร”
    เจ้านายก็ตอบว่า “ที่ให้ถือโคมไฟ ก็เพื่อให้คนอื่นที่เดินผ่านไปมามองเห็นตัวเธอไง จะได้ไม่เดินมาชนไงล่ะ”
    พนักงานสาวตาบอดฟังแล้วรู้สึกว่ามีเหตุผล จึงรับโคมไฟมาถือ จากนั้นก็เดินคลำทางไปเรื่อยๆ เพื่อกลับบ้าน
    พอเดินถึงครึ่งทาง เธอก็ได้เดินชนกับคนคนหนึ่งเข้าอย่างจัง“นี่ ไม่มีตาหรือไง ไม่เห็นโคมไฟที่ฉันถือมาหรือไง สงสัยตาจะบอดนะ” หญิงสาวต่อว่าด้วยความโกรธ
    “เธอน่ะสิที่ตาบอด โคมไฟไม่เห็นจะมีไฟเลย” ชายคนนั้นตอกกลับอย่างโกรธๆ เช่นกัน


    อ่านจบแล้วรู้สึกอย่างไรบ้างครับ ปกติคนเรามักจะรู้เรื่องของตนเองแบบไม่ค่อยจริงจังซักเท่าไร แต่ชอบทำตนเป็นผู้รู้ดีในเรื่องของคนอื่น ชอบที่จะว่ากล่าวตักเตือนคนอื่นๆ ไปทั่ว แต่ลืมที่จะมองกลับมาที่ตัวเองว่า จริงๆ แล้วเราเองรู้จริงๆ หรือไม่จริงกันแน่ยิ่งไปกว่านั้นยังชอบที่จะมองว่าคนอื่นนั้นโง่กว่าตนอีกด้วยครับ


    ท่านพระอานนท์เถระ ได้กล่าวคาถานี้ว่า “ผู้ใด เล่าเรียนมามาก ดูหมิ่นผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนมาน้อย ด้วยการสดับแต่เขาไม่ได้ปฏิบัติ ตามที่ได้เล่าเรียนมาย่อมปรากฏแก่เราเหมือน คนตาบอดถือดวงไฟ ไป ฉะนั้น”

    ผลักออก หรือดึงเข้า

    “คนตาบอดถือดวงไฟ” http://www.our-teacher.com/our-teach...5-blindman.htm

    รักษ์โลก ลดมลภาวะ กรุณาคิดสักนิด ก่อนสั่งพิมพ์ ..

    Save paper, save trees, save space, save money

    Please do not print this email unless you really need to




    ขอขอบคุณ FWM
    Jatuporn Chaichompoo

  2. #2
    ฝ่ายบริหารระดับสูง สัญลักษณ์ของ พล พระยาแล
    วันที่สมัคร
    Mar 2008
    กระทู้
    6,430
    คนเรามักจะเข้าข้างตัวเอง และกล่าวโทษคนอื่นเสมอ นี่เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอนที่เราพบเห็นอยู่เสมอ

    คนเราส่องกระจกมองดูตัวเองทุกวัน แต่มักมองไม่เห็นจุดบกพร่องของตนเอง

    หากเรารู้จุดบกพร่องของตัวเองแล้วยังไม่ยอมแก้ไขให้ดีขึ้น ก็เป็นสิ่งที่น่าสงสาร

    พบจุดบกพร่องของตัวเอง แก้ไขจุดบกพร่องนั้น จึงจะได้ชื่อว่ารู้เท่าทัน

    ดึงเข้าหรือผลักออกในสิ่งอันพึงกระทำ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ถือว่าประเสริฐนักแล

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •