จากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับญี่ปุ่นในครั้งนี้ ตีแผ่ให้เราชาวโลกได้เห็นว่า โลกเราถึงกาลแล้วหรือยัง ที่จะเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง สิ่งบกพร่องต่างๆของมวลมนุษย์ชาติของเราที่เคยๆทำมาอย่างหละหลวม เห็นแก่ตัวเป็นส่วนใหญ่ ลืมมองเห็นจุดส่วนกลางคือให้ความสำคัญกับโลกใบนี้ เพื่อเราจะได้อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขไปได้นานเท่านาน
ข่าวที่แพร่กระจายออกไปสู่สายตาชาวโลกมากกว่าข่าวของสึนามิ และแผ่นดินไหว แต่อาจเป็นรองของเรื่องสารกัมมันตรังสีคือ เรื่องความมีวินัยของคนในชาติญี่ปุ่น ที่สามารถพาชาติมุ่งไปสู่การจัดการบ้านเมืองในยามทุกข์เข็ญได้สะดวกและเป็นไปอย่างเรียบร้อยนั้น คนญี่ปุ่นเอง อาจจะไม่รู้สึกถึงความน่าทึ่ง หรือความประหลาดใจของต่างชาติมากนัก เพราะเค้าได้ทำกันมาอย่างเป็นปกตินิสัย และกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่พวกเขาใช้ปฏิบัติและสั่งสอนลูกหลานกันมาจนเนิ่นนานชั่วอายุคนแล้ว
การปลูกฝังเรื่องวินัยของชาวญี่ปุ่นนั้น ทำกันมาตั้งแต่โบราณกาลแล้วก็ว่าได้ ขออ้างอิงถึงประวัติศาสตร์ด้านต่างๆนะคะ ท่านคงเคยได้ยินเรื่องเล่าของชาวซามูไร ที่หากแม้ทำการณ์ใดๆพลั้งพลาดไป สิ่งที่จะต้องรับผิดชอบคือ ต้องทำพิธีฮาราคีรี หรือที่เรารู้จักกันในนาม การคว้านท้องของตัวเองด้วยมีดสั้นนั่นเอง การฆ่าตัวตายเพื่อรับผิดชอบหน้าที่ของตนนี้ ชาวญี่ปุ่นโบราณ(หรืออาจหลงเหลือความเชื่ออยู่ในตอนนี้ก็ยังมีมากค่ะ)ถือว่า เป็นการตายอย่างสมศักดิ์ศรี ขาวสะอาด สมเกียรติ แสดงถึงความบริสุทธิ์ใจ และเมื่อตายไปจึงไร้มนทิลจากการถูกกล่าวหาใดๆทั้งปวง แต่พิธีฮาราคีรี ที่สมบูรณ์จริงๆจะต้องมีอีกคนหนึ่ง คอยบั่นคอให้ด้วย หลังจาก คนที่ทำพิธีคว้านท้องตัวเองด้วยมีดสั้นแล้ว เพื่อช่วยบรรเทาในการตายที่ไม่เจ็บปวดมากนัก การคว้านท้องคือ ใช้มีดสั้นแทงไปที่ท้องด้านซ้าย โดยมือขวา จากนั้นก็ลากมีดทั้งด้ามให้ตัดลำไส้มาทางท้องด้านขวา หลังจากนั้น จะมีซามูไรอีกคนอยู่ด้านหลัง ตัดคอให้ขาดทันทีหลังจากนั้น เพื่อเป็นการลดการทรมานของผู้ทำพิธีฮาราคีรีด้วย แต่ก็มีมากมาย บางโอกาส และการต่อมา ที่การทำฮาราคีรี ที่ไม่มีคนตัดคอให้ นั่นคงด้วยเหตุของการทำพิธีของแต่ละคนด้วยค่ะ
ก๋็ลองคิดดูว่า ขนาดเราแทงมีดที่ท้องตัวเองจะเจ็บแค่ไหน ยังต้องคว้านเพื่อตัดลำไส้อีก นั่นแสดงถึงความแข็งแรงของจิตใจคนค่ะ เมื่อใจเป็นใหญ่ อะไรก็ไม่แกร่งเท่าใจเรา ความเจ็บปวดอาจจะปางตายแต่เทียบกับการความตั้งใจในอย่างใดอย่างหนึ่งของจิตใจคนแล้วมันน้อยนิดนัก
กาลนี้ที่น่าจะเห็นได้คือเรื่องของยากูซ่า หากใครที่ทำหน้าที่ของตัวเองผิดพลาด ผลที่ต้องรับผิดชอบคือ การตัดนิ้วตัวเอง ส่งให้หัวหน้า เพื่อเป็นการขอโทษ โดยวางนิ้วใด นิ้วหนึ่งลง แล้วปักมีดลงข้างซ้ายของนิ้วก้อย หันคมมีดเข้าหานิ้ว จากนั้นก็กดด้ามมีดลง หั่นนิ้วให้ขาด แล้วส่งนิ้วให้หัวหน้า เป็นอันจบสิ้นพิธีการขอโทษ และจะได้รับการยกโทษโดยไร้มนทิลค่ะ
ที่เราอาจเห็นและได้ยินกันบ่อยๆเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายของเจ้าของบริษัทของกิจการใหญ่ หรือแม้กระทั่งนักการเมืองที่ล้มเหลวในชีวิต เมื่อไม่มีทางออกสิ่งที่เค้าทำคือการฆ่าตัวตายเพื่อรับผิดชอบความผิดพลาด ใช่การโป้ปดมดเท็จ หรือก่อกวนโกงกินบ้านเมืองให้วุ่นวายไม่ บางอย่างมันอาจดูเหมือนโง่เขลาสำหรับเรา คนข้างนอกที่มองความคิดนั้น ฉันคนหนึ่งเคยมองแบบนั้น และไม่เคยเห็นด้วยเลย แต่จะเป็นไปได้ไหมคะว่า นั่นคือรากฐานอันละเอียดอ่อนที่คู่กับจิตใจคนญี่ปุ่นมานมนาน จนได้หล่อหลอมให้จิตใจตนในชาติมุ่งมั่นในหน้าที่ของตน และเคร่งครัดต่อวินัยของตัวเองเป็นหนักหนา
ฉะนั้นการมุ่งมั่นปลูกฝังจิตสำนึกของคนในชาติจึงเป็นหัวใจสำคัญ เริ่มตั้งแต่ในเด็กอนุบาลไปเลย การปลูกฝังที่เป็นไปอย่างมีระบบ คือหลักการสำคัญของญี่ปุ่นค่ะ ใช่มุ่งเน้นเรื่องการศึกษา หรือเรียนด้านวิชาการไม่ ตั้งแต่การขึ้นรถบัสต้องเข้าแถวรวมกัน แล้วเดินขึ้นตามลำดับชั้นโตไปหาเล็ก การเดินแถวไปรร.ที่ไม่ต้องมีผู้ปกครองไปส่ง แต่ให้รุ่นพี่เดินถือธงนำรุ่นน้อง.. แม้จะมีจำนวนคนน้อยนิด แต่ก็ต้องเรียงลำดับชั้นป.ก่อนหลัง แล้วก็นั่งตามที่นั่งตามลำดับให้เต็มเบาะในเบาะหนึ่งของรถบัส ห้ามลุกเดินในขณะนั้นก่อนรถจอด ห้ามดื่มเครื่องดื่มและส่งของให้กัน ห้ามยื่นมือออกนอกหน้าต่าง เมื่อมาถึงรร.ก็ลงอย่างเป็นระเบียบพร้อมกล่าวขอบคุณพนักงานขับรสบัสทุกครั้ง พอเข้าถึงอาคารก็ ฝึกวางรองเท้าตัวเองในล๊อคเกอร์ตามชื่อของตัวเอง แล้วก็เดินขึ้นไปห้องแต่ละชั้นของตัวเอง เก็บข้าวของ สัมภาระของตัวเอง ที่ครูเตรียมไว้ให้อย่างเป็นระเบียบ ไม่ให้หลงกัน ไม่ว่าจะเป็น หมวก ถุงใส่ชุดพละ กล่องข้าว และผ้าเช็ดมือ เหล่านี้ ล้วนต้องจัดวางตามที่จัดไว้ให้ทั้งนั้น ไม่รวมกล่องของเล่นในห้องเรียน การเล่นร่วมกัน และการจัดเก็บ เด็กๆถูกฝึกให้กระทำเป็นนิสัยทุกวันจนเป็นความเคยชิน และวินัยในตัวเอง เมื่อเด็กกลับบ้าน เค้าจึงไม่ต้องให้จ้ำจี้จ้ำไชเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ นั่นคือพื้นฐานที่ทางรร.เน้นฝึกเด็กในชาติเพื่อช่วยเหลือตัวเอง ในส่วนของตัวเอง เมื่อเด็กสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในเรื่องวินัยส่วนตัวได้แล้ว ส่วนต่อมาคือส่วนของทางผู้ปกครองคือสอนให้ลูกทำเอง อย่างที่เคยทำที่รร.ทำให้เด็กมีการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง จนเป็นนิสัยและมีระเบียบวินัยแต่เด็ก นั่นคือหน้าที่ของเด็กระดับ ๓- ๖ ขวบค่ะ คือวัยที่เตรียมอนุบาลก่อนเข้าเรียนนั่นเอง
และต่อเมื่อเค้าเข้ารร. ทุกอย่างก็ยังคงปฏิบัติเช่นเดิม และเมื่อจบออกมาทำงาน ไม่ว่าจะเป็นผู้รากมากดีหรือไม่ แม้แต่ผู้ที่ไม่ต้องการศึกษาต่อ ออกมาทำสวนครัวของตัวเอง หรือออกมาสานต่อกิจการของครอบครัว หรือทำงานพนักงานของบริษัท หรือทุกอาชีพ ทุกคนล้วนมีมาตรฐานมาจากรากเดียวกันทั้งสิ้น ไม่ต้องให้ใครหรือไม่จำเป็นต้องมาบอกกล่าวหรือสั่งสอนกันในเรื่องวินัยอีกแล้ว เค้าจึงมีความคิดเป็นของตัวเอง เติบโตและมีคุณภาพด้านความคิดและวินัยความรับผิดชอบ เพราะเค้าปฏิบัติกันมาจนเป็นปกติวิสัยตั้งแต่เล็กจนโตค่ะ
นั่นคือสิ่งสะท้อนที่เราและท่านเห็นกันอยู่ ของชนในชาติญี่ปุ่นในขณะนี้ค่ะ ดิฉันอยากให้บ้านเมืองเราเอาเยี่ยงอย่างบ้าง ไม่ต้องให้เท่าเขา แค่ให้เราตระหนักเห็นและเริ่มช่วยกันปลูกฝังลูกหลานของเราตั้งแต่เด็ก บางทีการเข้มงวดบางอย่าง อาจจะทรมานใจผู้เป็นพ่อแม่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักเราจะเห็นผลผลิตของสิ่งที่เราปลูกฝังแน่นอนค่ะ
นั่นจะเป็นรากฐานที่ฝังแน่นของคนในชาติเราในกาลต่อมาเช่นกันค่ะ ดิฉันหวังสักวัน ว่าบ้านเมืองเราจะเป็นแบบนั้นบ้าง ในอนาคตค่ะ
Bookmarks