อาสาสมัครคนหนึ่งเขียนไว้ว่า "ผมนำอาหารส่วนของผมให้กับเด็กชายอายุ 9 ขวบคนหนึ่งที่มารอคิวตอนท้ายแถว... ผมประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งว่าเพราะอะไรเขาจึงไม่กินอาหารที่ผมให้ แต่กลับนำไปวางไว้ที่รับแจกจ่ายอาหาร ผมจึงถามเด็กคนนี้ว่า ทำไมเขาไม่กินอาหารที่ผมให้เสียละ..."


ข้างล่างเป็นบันทึกของชาวเวียดนามผู้หนึ่งซึ่งไปช่วยผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวที่เมืองฟูกูชิมา 9 วันหลังจากเกิดวิบัติภัย

เมื่อคืนนี้ ผมถูกส่งไปที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง เพื่อช่วยหน่วยงานอาสาสมัครในการแจกจ่ายอาหารให้กับผู้ประสบภัยพิบัติ

ในหมู่ผู้ที่เข้าคิวยาวรออยู่นั้น ผมสังเกตเห็นเด็กชายอายุประมาณ 9 ขวบคนหนึ่ง ซึ่งใส่เพียงเสื้อคอกลมและกางเกงขาสั้น.

อากาศขณะนั้นหนาวเย็นมาก และเขากำลังยืนคอยอยู่ตอนท้ายแถว ผมเป็นห่วงว่าอาจจะไม่มีอาหารหลงเหลือพอ เมื่อถึงคิวของเขา ผมจึงเดินไปเพื่อคุยกับเขา

เขาเล่าให้ผมฟังว่า แผ่นดินไหวและสึนามิเกิดขึ้นขณะที่เขาอยู่ที่โรงเรียน ในชั่วโมงพละศึกษา พ่อของเขาซึ่งทำงานอยู่ใกล้ๆกันมาหาเขาที่โรงเรียน เขามองเห็นคุณพ่อและรถของเขาถูกน้ำพัดหายไป จากระเบียงบนชั้นสามของโรงเรียน คุณพ่อของเขาคงเสียชีวิตไปแล้ว

เมื่อผมถามเขาถึงคุณแม่ เขาบอกผมว่า ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ริมทะเล ดังนั้นคุณแม่และน้องชายของเขาคงไม่สามารถหลบหนีได้ทัน เขาหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง เพื่อเช็ดน้ำตาเมื่อถูกถามถึงญาติๆของเขา

ผมเห็นว่าเขาคงหนาวอยู่ จึงถอดเสื้อโค๊ทตำรวจแล้วคลุมร่างเขาไว้ ขณะเดียวกับที่ อาหารมื้อเย็นที่เหลือซึ่งซุกอยู่ในกระเป๋าก็หล่นออกมา ผมหยิบมันขึ้นมา แล้วส่งให้เขาพร้อมบอกเขาไปว่า

“น้าเป็นห่วงว่า อาจจะไม่มีอาหารเหลือถึงคิวของเธออีก นี่เป็นส่วนของน้า น้ากินไปแล้วหน่อยหนึ่ง เธอกินส่วนที่เหลือให้หมดเถอะ”

เด็กน้อยยื่นมือมารับอาหาร แล้วค้อมตัวลงกล่าวคำขอบคุณ ผมคิดว่าเขาคงรีบกินด้วยความหิวในทันที แต่... เปล่าเลย

เขาถืออาหารชิ้นนั้น แล้วเดินตรงไปยังหัวแถว ที่ซึ่งมีคนคอยแจกอาหารอยู่ แล้ววางอาหารที่ผมให้กับเขาลงไปในกล่องของอาหารที่กำลังได้รับการแจกจ่าย แล้วเขาก็เดินกลับ มาเข้าแถวในคิวของเขา

ผมประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ผมจึงถามเขาว่าทำไมเขาไม่กินอาหารที่ผมให้เสียละ

เขาตอบผมว่า “เพราะมีคนอีกมาก ที่อาจจะหิวยิ่งกว่าผม ผมวางไว้ที่นั่น ก็เพื่ออาหารจะได้รับการแจกจ่ายอย่างเป็นธรรมให้กับทุกคน”

เมื่อผมได้ฟังคำตอบ ผมต้องหันหน้าไปอีกทางหนึ่งเพื่อร้องไห้ โดยที่คนอื่นๆจะได้มองไม่เห็น

ผมรู้สึกตื้นตันใจ ผมไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กชายอายุ 9 ขวบ ซึ่งยังเรียนอยู่เพียงชั้นประถมปีที่ 3 จะสามารถสอนบทเรียนล้ำค่าแก่ผม ในเวลาคับขันเช่นนี้

มันเป็นบทเรียนแสนสะเทือนใจของความเสียสละ ประเทศใด ที่มีเด็กๆอายุเพียง 9 ปี ซึ่งเรียนรู้ที่จะอดทน ที่จะทนกับความยากลำบาก และเสียสละเพื่อผู้อื่นได้ ต้องเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ประเทศหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

แม้ประเทศนี้กำลังอยู่ในสภาวะที่คับขันที่สุด แต่ประเทศนี้ต้องสามารถฟื้นคืนกลับมาได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นแน่นอน ทั้งนี้ด้วยเพราะประชาชนผู้รู้ที่จะเสียสละตัวเองให้กับผู้อื่น ดังเช่นเด็กชายน้อยๆผู้นี้

__________________
จาก Facebook ของพระไพศาล วิสาโล